ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 351 เจรจาลับในป่า
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าคือเจียหลาน เขาย่อมรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ส่วนเจียหลานก็แสดงสีหน้าดีใจ และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ศิษย์น้องหลิ่ว เกรงว่าครั้งนี้คงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่เจียหลาน ตั้งแต่จากกันครานั้น พวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกันในสถานที่ที่ห่างไกลอวิ๋นชวนถึงหมื่นลี้”
เจียหลายได้ยิน ก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ไม่ได้เจอศิษย์น้องมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ ศิษย์น้องก็ทะลวงเขตแดนของเหลวจิตวิญญาณได้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก”
“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น ศิษย์พี่เจียหลานก็เข้าสู่เขตแดนของเหลวแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่ศิษย์พี่หาข้าเจอได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าการพบกันในครั้งนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
อย่างที่รู้ว่าช่วงระยะเวลานี้ หลิ่วหมิงอาศัยร่างชายฉกรรจ์หน้าดำ เข้าออกสถานที่ต่างๆ ในหุบเขาเหล็กอัคคีมาโดยตลอด และเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน เขายังตั้งใจเปลี่ยนเสียงของตนเองด้วย ตามหลักแล้วเผ่าเจ้าสมุทรที่มาจากภายนอก ไม่อาจสืบมาถึงตัวเขาได้
“บอกตามตรง ข้ามีพรสวรรค์มหัศจรรย์ที่คนอื่นไม่รู้ สามารถแยกแยะคนจากน้ำเสียงได้อย่างง่ายดาย และจดจำไว้ในสมองได้นานหลายสิบปี และคนที่ถูกข้าจดจำน้ำเสียง ต่อให้จะอาศัยพลังอะไรในการเปลี่ยนเสียง ก็ไม่สามารถปิดบังข้าได้ ตอนที่ศิษย์น้องเสนอราคาในงานประมูลของเหยียนเจวี๋ย ข้าก็จำศิษย์น้องได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนั้น ไม่เอื้ออำนวยให้เราทักทายกันเท่านั้น” เจียหลานกระพริบตาปริบๆ แล้วโปรยยิ้มออกมา ประจักษ์ชัดว่านางค่อนข้างภูมิใจกับพรสวรรค์ของตนเองมาก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะมีความสามารถเช่นนี้ ศิษย์พี่เจียหลานมาหาผิดคนหรือเปล่า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่สถานะเผ่าเจ้าสมุทรของศิษย์พี่ในตอนนี้ กับเรื่องที่ขโมยหัวราชาปีศาจในตอนนั้น ข้าไม่ได้ลงมือกับท่านตั้งแต่แรก เพราะนับว่าเห็นแก่ไมตรีจิตในตอนนั้น” หลิ่วหมิงพยักหน้า และตอบปฏิเสธกลับไป
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ฟังเงื่อนไขก่อนแล้วค่อยปฏิเสธก็ยังไม่สาย เพียงแค่ศิษย์น้องยอมยื่นมือเข้าช่วย ข้าจะให้เผ่าเจ้าสมุทรคุ้มครองเจ้าไปจากหุบเขาเหล็กอัคคีอย่างปลอดภัย” เจียหลานกล่าว
“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร? หากข้าอยากไปจากหุบเขานี้ ก็สามารถไปได้ตลอดเวลา ใยต้องให้เผ่าของท่านคุ้มครองด้วย?” หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนศิษย์น้องจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังถามอีก หากเจ้าสามารถไปจากหุบเขาเหล็กอัคคีได้ตลอดเวลา ใยต้องหน่วงเหนี่ยวด้วยเล่า แล้วคนที่แอบติดตามเหล่านั้นมาจากไหนกัน? แม้จะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีเจตนาร้ายอะไร แต่ระดับการฝึกฝนก็ไม่เบาเลย หากศิษย์น้องคิดจะไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” เจียหลานเลิกคิ้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้จะขัดขวางข้าได้หรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก ผ่านไปซักพักก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ศึกตรงชายแดนแคว้นต้าเสวียนในปีนั้น ศิษย์น้องมีชื่อเสียงมาก แม้ข้าจะอยู่ในเผ่าเจ้าสมุทร ก็พอจะได้ยินชื่อเสียงอยู่บ้าง ถ้าลำพังแค่คนที่แอบติดตามมาเหล่านี้ ศิษย์น้องอาจจะไม่ต้องใส่ใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังของพวกเขาคือใคร? ไม่แน่อาจเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ฝ่ายตรงข้ามที่มีการฝึกฝนระดับนี้ ศิษย์น้องยังจะไม่สะทกสะท้านอีกหรือ?” เจียหลานค่อยๆ กล่าวออกมา
“หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แน่นอนว่าข้าไม่อาจต้านทานได้ แต่ผู้ฝึกฝนระดับนี้จะลงมือกับข้าได้อย่างไร หรือว่าเป็นเพราะโซ่ตรวนสะกดวิญญาณเพียงชิ้นเดียวหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเชื่อมากนัก
“อันนี้ต้องถามศิษย์น้องเองแล้วล่ะ! บางทีอาจมีคนอยากได้โซ่ตรวนสะกดวิญญาณก็ได้ หรือศิษย์น้องอาจจะมีอะไรบางอย่างที่พวกเขาอยากได้ แต่อย่างไรก็ตาม ศิษย์น้องต้องยอมรับว่าผู้ที่สามารถบังคับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเหล่านี้ได้ภายในอึดใจเดียว อาจเป็นเฒ่าประหลาดระดับผลึกเหล่านั้น ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้มาก” เจียหลานกลั้นยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ได้ยินศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ หากข้าไม่ช่วยท่านล่ะก็ ดูเหมือนว่าคงไม่สามารถมีชีวิตออกไปจากหุบเขาเหล็กอัคคีได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่อยากให้ข้าช่วยอะไร ก็พูดมาก่อนเถอะ!” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“คิดว่าศิษย์น้องคงเคยได้ยินชื่อของชิงฉินกับชื่อลี่ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่เป็นคนของราชาปีศาจสมุทร คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งอีกคนอยู่ในที่ลับ ทั้งสองซ่อนตัวอยู่บริเวณที่พวกเราพักอยู่ สถานการณ์เช่นนี้เป็นภัยต่อพวกเรามาก แต่ข้าก็ได้ส่งข่าวออกไปให้เผ่าเจ้าสมุทรอีกกลุ่มที่อยู่บนเกาะตะพาบน้ำให้มาช่วยแล้ว อีกไม่นานกำลังสนับสนุนคงจะมาถึง แต่ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ผู้อาวุโสลี่บาดเจ็บสาหัส นอนหมดสติ ชีวิตน่าเป็นห่วงมาก ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนถึงจะได้ สำหรับเผ่าเจ้าสมุทรในอวิ๋นชวนอย่างพวกเราแล้ว ไม่อาจขาดผู้ฝึกฝนระดับผลึกไปได้” พอกล่าวถึงจุดนี้ เจียหลานก็หยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
“หมายความว่าอย่างไร! ศิษย์พี่จะให้ข้าไปช่วยผู้อาวุโสลี่หรือ?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
อย่างที่รู้ว่าเผ่าเกล็ดเงินอย่างลี่คุนผู้นี้ เคยตามล่าเขาพันลี้ และเกือบจะเอาชีวิตของเขาไปได้ อีกอย่างไข่เทพอสูรที่ตกอยู่ในมือเขาใบนั้น น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ด้วย
ตอนนี้นางกลับอยากให้เขาไปช่วยผู้อาวุโสลี่ผู้นี้ สำหรับเขาแล้วช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
“ไม่ผิด ข้าได้หาคนตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสลี่แล้ว ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่สูญเสียพลังไปมาก แต่ยังถูกพลังสะท้อนกลับจนทะเลจิตวิญญาณกับชีพจรวุ่นวายไปหมด จำต้องหาผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งสองคนลงมือพร้อมกัน ถึงจะระงับอาการบาดเจ็บได้ และรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว หนึ่งในสองคนนั้น ข้าสามารถรับหน้าที่ได้ ส่วนอีกคนคงได้แต่มาขอให้ศิษย์น้องช่วยแล้ว เพียงแค่ศิษย์น้องยอมช่วยรักษาชีวิตของผู้อาวุโสลี่ไว้ พอกองกำลังสนับสนุนของเผ่าเรามาถึง ก็สามารถพาศิษย์น้องออกจากหุบเขาไปพร้อมกันได้” เจียหลานพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมดภายในอึดใจเดียว จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงตาไม่กระพริบ และรอคอยคำตอบอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงฟังจบก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา ผ่านไปซักพักถึงส่ายหน้ากล่าวกับเจียหลาน
“บอกศิษย์พี่อย่างไม่ปิดบัง ปีนั้นข้ากับผู้อาวุโสลี่ของเผ่าท่านมีเรื่องบาดหมางกันเล็กน้อย แต่ข้าจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียด เฮ่อๆ! หากตอนนี้ข้าช่วยเขาฟื้นขึ้นมา เกรงว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอันดับแรกคือสังหารข้า! ส่วนเรื่องไปจากหุบเขาเหล็กอัคคี ข้ามีวิธีของข้า ไม่จำเป็นต้องพึ่งกำลังจากเผ่าของท่าน”
ฟังหลิ่วหมิงกล่าวจบ สีหน้าของเจียหลานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป นางรู้ว่าศิษย์น้องผู้นี้เป็นคนระมัดระวังมาโดยตลอด ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถช่วยลี่คุนได้ นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาโดยไม่คิดจะฝืนใจฝ่ายตรงข้ามอีก
“ในเมื่อศิษย์น้องกับผู้อาวุโสลี่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า แต่หากเปลี่ยนใจล่ะก็ สามารถมาหาข้าตรงที่พักได้ตลอดเวลา เพียงแค่ศิษย์น้องยอมช่วยผู้อาวุโสลี่ ข้าจะรับประกันความปลอดภัยให้ศิษย์น้องอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณความหวังดีของศิษย์พี่ หากถึงคราวคับขันจริงๆ ข้าย่อมพิจารณาถึงเรื่องนี้ อีกอย่างไมตรีจิตที่ศิษย์พี่ให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณในปีนั้น ศิษย์น้องจดจำอยู่ในใจมาโดยตลอด น่าเสียดายที่สถานะของข้ากับท่านในตอนนี้แตกต่างกัน ไม่สามารถปฏิบัติต่อกันเหมือนแต่ก่อนได้ ครั้งนี้เป็นเพราะสถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ ข้าไม่ลงมือกับศิษย์พี่อย่างแน่นอน แต่หากพบกันในครั้งหน้า ศิษย์น้องไม่อาจรับประกันได้ว่าจะทำเช่นนี้ได้” หลิ่วหมิงพยักหน้า และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
พอเจียหลานได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็ดูหม่นหมองลง ผ่านไปซักพักถึงถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ที่ข้าให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณกับเจ้าในปีนั้น เป็นเพราะว่าเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ส่วนเรื่องจะลงมือหรือไม่นั้น เพียงแค่ศิษย์น้องคิดว่าสามารถทำได้ก็ลองลงมือดู ใช่สิ! ที่ข้าขโมยหัวราชาปีศาจในตอนนั้น คงทำให้อาจารย์เดือดร้อนไม่น้อย ไม่ทราบว่าตอนนี้อาจารย์ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ อาจารย์ท่านเอาใจข้าทุกอย่าง ข้ายังคงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ที่ข้าขโมยหัวราชาปีศาจไป ก็เพื่อเผ่าของข้า แต่หากให้ข้าลงมือกับอาจารย์ ข้าเจียหลานไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ แม้ตอนที่ข้าทำเรื่องนั้นสำเร็จ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ศิษย์น้องคงยังไม่รู้สินะ แท้จริงแล้วข้ามีเลือดมนุษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง มิเช่นนั้นคงไม่อาจแฝงตัวเข้าไปในนิกายปีศาจได้อย่างราบรื่น”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศิษย์พี่วางใจเถอะ แม้ตอนนั้นอาจารย์อาปิงจะถูกลงโทษเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นมามาก
“ดีมาก! หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าก็วางใจได้แล้ว อิๆ! เห็นแก่ที่ศิษย์น้องยังเรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ และบอกความจริงกับข้า ข้าก็จะบอกข่าวเรื่องหนึ่งกับศิษย์น้องด้วยเช่นกัน คนที่ติดตามเจ้ามานั้น มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าเป็นคนของวังเพลิงดำ” เจียหลานพยักหน้าแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“ศิษย์น้องหลิ่ว หลายวันก่อนที่ข้าจะมาพบเจ้า ข้าได้แอบเข้าใกล้คนที่ผลัดเปลี่ยนกันติดตามเจ้า และก็ยินคำพูดของพวกเขาสองสามประโยค หากข้าฟังน้ำเสียงไม่ผิดล่ะก็ หนึ่งในนั้นคงเป็นคนของวังเพลิงดำ และปรากฏตัวในงานประมูลวันนั้นด้วยใบหน้าอีกแบบหนึ่ง ข้าคิดว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก ศิษย์น้องก็คงจับต้นชนปลายได้” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าพอจะรู้ที่มาของคนเหล่านี้แล้ว ไมตรีจิตนี้ ภายหน้าข้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา และพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
“ได้รับไมตรีจิตจากศิษย์น้องในครั้งนี้ นับว่าข้าไม่ได้มาเสียเปล่า เอาอย่างนี้เถอะ! อย่างไรซะไมตรีจิตครั้งเดียวก็ต้องตอบแทน สองครั้งก็ต้องตอบแทน ดังนั้นข้าจะถือโอกาสช่วยเจ้าจัดการคนที่แอบติดตามเจ้ามา เพื่อที่ศิษย์น้องจะได้ไม่ต้องออกแรงมาก ซึ่งอาจยุแหย่ให้คนอื่นๆ เข้ามาได้” เจียหลานกลอกลูกตาไปมา จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงฟังจบ ก็กวาดสายตามองไปนอกม่านแสง และไม่กล่าวอะไรออกมา
……………………………………