ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 353 ชายหนุ่มลึกลับ
หงซานได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที แววตาดูแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่าหลานเซิ่งจี ทำความเข้าใจวิธีเพิ่มความเร็วบนชั้นจำกัดของเรือเหาะได้แล้ว?”
“กล่าวอย่างไม่ปิดบัง หลายปีก่อนข้าได้รับมอบอาวุธกลไกจากมนุษย์ผู้ฝึกฝนใน ‘งานพยากรณ์’ ในแคว้นไห่เยวี่ยและแคว้นอื่นๆ มามากมาย ในนั้นมีเรือกลเหาะระดับธรรมดาอยู่ไม่น้อย เวลาว่างข้าก็จะลองปรับแต่งค่ายกลพายุระห่ำที่ใช้เพิ่มพลังบนตัวผู้ฝึกฝน เพื่อให้ชั้นจำกัดสามารถนำไปใช้กับเรือเหาะได้ หลังจากเรือเหาะชำรุดเป็นจำนวนมาก ก็ขัดเกลาเป็นค่ายกลชั่วคราวได้ ข้าเรียกมันว่า ‘ค่ายกลเหาะระห่ำ’ สามารถทำให้เรือเหาะเพิ่มความเร็วได้มากสุดประมาณสามส่วน” เซียนเซิ่งจีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ากล่าว
“วิเศษไปเลย หลานเซิ่งจีสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลอันดับหนึ่งของเผ่าเกล็ดแดง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้ชักช้า รีบวางค่ายกลเถอะ!” หงซานฟังจบก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
แต่เซียนเซิ่งจีกลับหน้านิ่วเล็กน้อย ผ่านไปซักพักถึงค่อยๆ พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“เป็นเรื่องน่าขบขันแล้ว แม้ว่าค่ายกลนี้จะดี แต่หากจะสำแดงอานุภาพออกมาจนถึงขีดสุด จะขาดผลึกหินธาตุลมระดับสูงไม่ได้ ตอนนี้ข้ามีผลึกหินธาตุลมระดับกลางอยู่เพียงก้อนเดียว และยังเหลือพลังไม่มากแล้ว เกรงว่าคงจะลดอานุภาพไปมาก และไม่รู้ว่าจะประคับประคองไปถึงจุดหมายหรือไม่……”
“ข้ามีผลึกหินธาตุลมระดับสูงอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งแลกกับมนุษย์ผู้ฝึกฝนในการเปิดตลาดของเผ่าเราครั้งนั้น พลังของมันมีเพียงพอ หลานเซิ่งจีดูสิว่าใช้ได้ไหม?” หงซานรีบชิงกล่าวออกมา ทันใดนั้นก็หยิบผลึกหินสีเขียวอ่อนที่มีขนาดราวๆ ลูกกำปั้นออกมา
“เช่นนี้ย่อมดียิ่งนัก! ถ้าอย่างนั้นเซิ่งจีจะเริ่มวางค่ายกลล่ะนะ” เซียนเซิ่งจีรับผลึกหินธาตุลมที่หงซานยื่นให้ด้วยสีหน้าดีใจ
ผลึกหินก้อนนี้มีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา คลื่นพลังอันน่าตกใจกระเพื่อมออกจากในนั้น ซึ่งผลึกหินธาตุลมระดับกลางทั่วไปยากจะเทียบได้
เซียนเซิ่งจีค่อยๆ ถอยออกมาสองสามก้าว จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าดูลังเลขึ้นมา สายตาค่อยๆ กวาดมองไปยังด้านล่าง ดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
ทันใดนั้น นางก็ตบยันต์เก็บของที่อยู่บนเอว แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกมา และหมุนวนหนึ่งรอบก่อนตกมาอยู่ในมือของนาง
ธงค่ายกลสีเขียวอ่อนหกอัน มีขนาดยาวประมาณสองสามฉื่อ มีอักขระจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่
เซียนเซิ่งจีอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ธงค่ายกลโดยไม่กล่าวอะไรให้มากความ
ทันใดนั้นแสงสีเขียวบนธงค่ายกลทั้งหกก็สว่างขึ้นมา
จากนั้นเซียนเซิ่งจีก็สะบัดข้อมือด้วยตาที่เป็นประกาย
ธงค่ายกลในมือกลายเป็นลำแสงสีเขียวหกเส้นพุ่งยิงไปด้านหน้าเรือเหาะ พริบตาเดียวก็จมลงไปด้านล่าง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา เซียนเซิ่งจีค่อยๆ เขม้นตาทั้งคู่ และโยนผลึกหินสีเขียวขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ
เสียงร่ายคาถาดังชัดออกจากปากเซียนเซิ่งจี
ต่อมาฉากอันน่าตกใจก็ได้ปรากฏขึ้น!
ผลึกหินที่ลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าออกเป็นวงๆ
ขณะเดียวกัน มีอักขระสีเขียวจางๆ จำนวนมาก พุ่งออกจากพื้นผิวตรงส่วนหน้าของเรือที่ธงค่ายกลหายไป และอักขระเหล่านี้ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลแสงที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ล้อมรอบผลึกหินสีเขียวไว้พอดี
ค่ายกลแสงเปล่งประกายตามจังหวะการร่ายคาถา แสงสีเขียวค่อยๆ ห่อหุ้มเรือเหาะทั้งลำไว้ พริบตาเดียวเรือเหาะสีขาวก็กลายเป็นสีเขียวจางๆ ทันที
พอเซียนเซิ่งจีเห็นเช่นนี้ สีหน้าที่ขาวซีดก็ดูผ่อนคลายเล็กน้อย แต่สายตายังคงหนักแน่นไม่เปลี่ยน นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ เคล็ดวิชาถูกปล่อยเข้าไปในค่ายกล และถูกดูดเข้าไปจนหมดสิ้น
เรือเหาะสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นก็พุ่งยิงออกไปด้วยความเร็วที่ต่างจากก่อนหน้านั้นมาก
แม้จะพูดได้ว่าหงซานผู้นี้เป็นผู้มีความรู้กว้างไกล แต่พอเห็นฉากตรงหน้าก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ ถึงหันมากล่าวกับเซียนเซิ่งจี
“เรือเหาะรวดเร็วเช่นนี้ อีกสองวันคงถึงหุบเขาเหล็กอีคคี ไม่ต้องกังวลว่าเวลาจะกระชั้นชิดจนเกินไป”
เซียนเซิ่งจีพยักหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
“พลังของชิงฉินและชื่อลี่ สองผู้แข็งแกร่งระดับผลึกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พอถึงหุบเขาเหล็กอัคคีแล้ว พวกเราก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง”
“หากไม่ลอบโจมตี ต่อให้ชิงฉินกับชื่อลี่จะมีสามหัวหกแขน ก็ไม่สามารถทำร้ายลี่คุนได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่ไปทันเวลา โอสถเทพที่ข้านำมาจากเผ่า ก็สามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้แล้ว” หงซานทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น การเดินทางมาเกาะตะพาบน้ำครั้งนี้ พวกเราได้จัดซื้อหินแร่จากเขาหมื่นสมบัติมาจำนวนเพียงพอแล้ว รอจัดการเรื่องทางด้านเจียหลานเสร็จ ก็ไปรายงานกับราชวงศ์พร้อมกัน” เซียนเซิ่งจีกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“พูดถึงเรื่องนี้ ประกอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาผลึกก่อนหน้านั้น คิดว่าหญิงเผ่ามนุษย์ที่สังหารหลานทั้งสามของข้า จะต้องเป็นเย่เทียนเหมยอย่างแน่นอน นางอาศัยสถานะผู้ฝึกฝนกระบี่ของตนเอง สังหารหลานของข้าเช่นนี้ มันจะรังแกกันมากไปแล้ว” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“อาสาม งานใหญ่ต้องมาก่อน! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือจัดการเรื่องราชาปีศาจสมุทรก่อน เพื่อป้องกันปัญหาที่แทรกซ้อนเข้ามา เรื่องของเย่เทียนเหมยไว้ค่อยพูดทีหลัง” เซียนเซิ่งจีส่ายหน้าแล้วพูดเกลี้ยกล่อม
หงซานครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ ถึงถอนหายใจและพยักหน้าออกมา
“ช่างเถอะ แค้นนี้จะต้องมีโอกาสชำระอย่างแน่นอน ไม่ต้องรีบร้อนในตอนนี้ พวกเราเพิ่งสวามิภักดิ์ราชวงศ์ชังไห่ไม่นาน การครั้งนี้ไม่อาจผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด”
เซียนเซิ่งจีเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ด้วยความรักที่หงซานมีต่อหลานทั้งสาม นางกลัวจริงๆ ว่าเขาจะหัวร้อนไปยุแหย่เย่เทียนเหมยที่มีพลังไม่อาจคาดเดาได้ผู้นั้น
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ปัญหาของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก
…….
ในเขตแดนไม่ทราบชื่อแห่งหนึ่งบนเกาะตะพาบน้ำ หญิงสาวชุดขาวกำลังขี่กระบี่บินอยู่กลางอากาศด้วยความรวดเร็ว
นางมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ ราวกับว่าไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียว แต่ก็ไม่สามารถปิดบังใบหน้าอันงดงามของนางได้ เพียงแค่สาบเสื้อบริเวณหน้าอกกลับมีรอยสีแดงเข้มที่ดูเตะตา
นางคือเย่เทียนเหมย ที่ขี่กระบี่หลบการตามล่าจากหมาซู่ผู้นั้น
เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส นางจึงไม่อาจขี่กระบี่ในที่สูงได้ ทำได้เพียงบินอยู่ในระยะต่ำๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความเร็วของนางก็ยังน่าตกใจเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปหลายสิบจั้ง
เย่เทียนเหมยหันกลับไปมองด้านหลังทีหนึ่ง ก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างของผู้ใดเลย แต่ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่ง กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หมาซู่ตามติดอยู่ในระยะสิบกว่าลี้ ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของนางเล็กน้อย จึงไม่กล้าตามติดมากนัก
เย่เทียนเหมยเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา นางรู้ความคิดของหมาซู่อย่างชัดเจน เขาเห็นนางพยายามกระตุ้นกระบินให้เหินเวหาทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงคิดจะรอให้พลังเวทย์ของนางหมดก่อนแล้วค่อยลงมือ
พอนางคิดมาถึงจุดนี้ ก็กัดฟันในทันที แววตาที่ดับมืดลงได้เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ทำท่ามือกระตุ้นกระบี่ให้พุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเย่เทียนเหมยหายไปไม่นาน รถเหาะทองสัมฤทธิ์รูปทรงสี่เหลี่ยมก็พุ่งยิงเข้ามา หมาซู่ยืนอยู่บนนั้นด้วยสีหน้าดุร้าย เขาจ้องมองเย่เทียนเหมยที่กำลังหลบหนีด้วยแววตาเยือกเย็น และดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ดูเหมือนเจ้าสารเลวผู้นี้ จะไปทางหุบเขาเหล็กอัคคี หรือนางจะมีที่พึ่งพาอยู่ที่นั่น หรือว่ารีบร้อนจนไม่ทันได้เลือกเส้นทาง? ฮึ! แต่ว่าเจ้าเหยียนเจวี๋ยก็อยู่ในหุบเขาด้วย การที่หรูอวี้ถูกฆ่า เขาก็ต้องเกี่ยวพันไปด้วย ก็ดี! จะได้ขอความเห็นจากเขา”
พริบตาเดียว เรือเหาะก็ทะยานตามติดเย่เทียนเหมยไป
……
ชายฝั่งทะเลบนเกาะตะพาบน้ำที่ห่างไกลผู้คน คลื่นทะเลสีครามกำลังซัดสาดใส่ก้อนหินยักษ์อย่างบ้าระห่ำ
“ตู๊มๆ!” เสียงดังราวกับสามารถฉีกแก้วหูของคนได้ พลังเสียงน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ขณะนี้ ลำแสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวทะเลที่อยู่ไม่ไกล เมื่อจ้องมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่าลำแสงกลุ่มนี้ห่อหุ้มชายหนุ่มคนหนึ่งไว้
ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสะโอดสะอง ผิวขาวบริสุทธิ์ ชุดคลุมยาวสีขาวหิมะที่สวมอยู่สะบัดตามแรงลมราวกับใบเรือ พอมองออกไปดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาดใจ
ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา พอเท้าของเขาแตะลงบนผิวทะเลเบาๆ น้ำก็ควบแน่นเป็นวงกลม พอเหยียบลงไปเบาๆ ร่างของเขาก็ปรากฏห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง อากัปกิริยาเยือกเย็นผิดปกติ ราวกับว่าเดินตามผิวน้ำไปเรื่อยๆ
พอเขาเหยียบเท้าลงบนฝั่ง ก็หันกลับไปมองทิศทางที่จากมา และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ตามมานานขนาดนี้ ควรจะออกมาได้แล้ว!”
แต่ทางด้านนั้นคลื่นทะเลยังคงซัดสาด มองไม่เห็นความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดขาวก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา และชี้นิ้วออกไป
ลำแสงสีฟ้ากระพริบผ่านไป และจมหายเข้าไปในคลื่นทะเลที่ซัดสาด ทำให้เกิดระลอกคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศบริเวณนั้น
ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ตู๊ม!”
เสียงคำรามแปลกประหลาดดังมาจากใต้น้ำ ผิวทะเลตรงหน้าชายหนุ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง น้ำทะเลสีครามพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ไม่หยุด
พายุบ้าระห่ำม้วนเอาก้อนหินยักษ์บนชายฝั่งพุ่งยิงมาทางชายหนุ่ม แต่พอมันเข้าใกล้ชายหนุ่ม ก็ต้องระเบิดออกมาเป็นผุยผง
จากนั้นกลุ่มแสงสีแดงขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากผิวทะเล สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มันเป็นอสูรสมุทรยักษ์ที่สูงห้าสิบกว่าจั้ง มีสีแดงเข้มทั้งตัว ร่างของมันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดเท่าโคมไฟ เกล็ดของมันเปล่งสำแสงเจิดจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ส่องสะท้อนลงมา
อสูรสมุทรตนนี้ ไม่เพียงแต่มีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่ยังดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ร่างของมันดูคล้ายเต่าถึงเก้าส่วน มีกระดองแข็งๆ หัวดูคล้ายอสรพิษ หางดูคล้ายมังกร
“ตู๊มๆ!”
ขณะที่สิ่งมีชีวิตขนาดหึมาปรากฏตัว เท้าทั้งสี่ก็เหยียบลงบนากาศเบาๆ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาติดต่อกัน อากาศใต้เท้าดูบิดเบี้ยวขึ้นมา
พลังที่อสูรตนนี้ใช้ มีอานุภาพยากจะคาดเดาได้!
“อสูรเต่ายักษ์ระดับผลึกขั้นต้น มีอายุพันปีพอดี อืม! น่าสนใจ!” ชายหนุ่มจ้องมองอสูรตนนี้ และกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาค่อยๆ เหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
……………………………………