ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 354 การต่อสู้หมู่ในหุบเขา (1)
แต่ดูเหมือนแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาจะเคลื่อนไหว อากาศบริเวณนั้นก็สั่นสะเทือน ขึ้นมาทันใด พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมา
เงากำปั้นยักษ์สีครามก่อตัวเหนือศีรษะอสูรยักษ์ คลื่นสั่นสะเทือนกระเพื่อมออกไปทั่วทิศ
มีเสียงดัง “โครมคราม!” ขึ้นมาทันที อากาศบริเวณที่เต่ายักษ์อยู่กระเพื่อมออกมาเป็นชั้นๆ แสงสีฟ้าเป็นวงๆ ม้วนตัวไปทั่วทิศ ดูเหมือนจะมีพลังแปลกประหลาดไม่ทราบชื่อแฝงอยู่ในนั้น
พอคลื่นสั่นสะเทือนสีฟ้าม้วนตัวผ่านร่างของเต่ายักษ์ ร่างของมันก็สั่นสะท้านขึ้นมา การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงราวกับออกมาจากดินเลน
ขณะนี้ กำปั้นยักษ์กลางอากาศกระพริบผ่านไป และทุบใส่ร่างมหึมาของอสูรตนนี้
ลำแสงเปล่งออกจากร่างของเต่ายักษ์ท่ามกลางเสียงดังลั่น และตกลงในทะเลทันที ด้วยร่างขนาดใหญ่ของมัน ก่อให้เกิดเป็นคลื่นแตกกระเซ็นไปทั่วทิศ
มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเวทนาดังออกมา!
เต่ายักษ์กลายเป็นเงาสีแดงพุ่งออกจากน้ำทะเล ดวงตาสีแดงเข้มทั้งคู่จ้องมองชายหนุ่มด้วยความโมโห
อสูรตนนี้คำรามออกมาสองที จากนั้นก็ฟาดหางไปกลางอากาศ พอมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาบริเวณนั้น มันก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง
ร่างขนาดใหญ่ของมันพุ่งผ่านอากาศราวกับเขาลูกเล็กๆ
รอยยิ้มของชายหนุ่มชุดขาวยังคงไม่หายไป แววตาของเขาดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นก็ยกแขนขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน นิ้วมือนิ้วหนึ่งค่อยๆ ชี้ไปทางอสูรสมุทรที่พุ่งเข้ามา
แสงสีฟ้าเจิดจ้ารวมตัวกันออกมา พริบตาเดียว นิ้วมือยาวสิบกว่าจั้งก็ปรากฏบนอากาศเหนือตัวอสูรสมุทร มันค่อยๆ สั่นไหวแล้วชี้ลงบนร่างอสูรสมุทร
“เพล้งๆ!” มีเสียงดังออกมาติดต่อกัน อากาศบริเวณที่นิ้วยักษ์เคลื่อนตัวผ่านล้วนถูกแสงสีฟ้าเจิดจ้าปกคลุมไว้ จากนั้นก็หล่นลงบนตัวเต่ายักษ์ด้วยวิธีการอันมหัศจรรย์
ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ร่างขนาดมหึมาตกลงในทะเลอีกครั้ง และยังมีเสียงแตกร้าวของเกล็ดดังออกมา
ขณะที่เต่ายักษ์โผล่ออกจากทะเลอีกครั้ง กลิ่นไอก็ลดลงไปไม่น้อย เกล็ดแข็งแกร่งบนตัวหลายแห่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และยังมีรอยเลือดปรากฏออกมา
ด้วยสติปัญญาที่อสูรตนนี้ถือกำเนิดมาพันปี ตอนนี้จึงรู้ว่าพลังของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนเองได้ ขณะที่ถูกตนเองสะกดรอยในก่อนหน้า เขาก็แค่ระงับกลิ่นไอไว้เท่านั้น
เต่ายักษ์จ้องมองชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่บนฝั่งด้วยสีหน้าหวาดกลัว มันไม่กล้ากระโจนขึ้นมาอีก แต่กลับส่งเรียงร้องแปลกๆ แล้วหนีไปยังทิศทางที่จากมา
ชายหนุ่มชุดขาวยังคงไม่ขยับเขยื้อน ทันใดนั้น กลิ่นไออันน่าตกใจก็ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้า ขณะเดียวกัน เงาร่างพร่ามัวขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากหลัง และพุ่งเข้าหาเต่ายักษ์ที่หลบหนีไป
“ตู๊ม!”
พอเต่ายักษ์สัมผัสกับเงาร่างขนาดใหญ่ มันก็คุกเข่ากลางอากาศโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะพยายามส่ายหัวอย่างไร ก็ถูกอานุภาพอันน่าเกรงขามทำให้เท้าทั้งสี่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มบางๆ พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีฟ้าก็กระพริบผ่านไปอีกครั้ง
ครู่ต่อมา มีวงแหวนสีฟ้าปรากฏเหนือร่างของเต่ายักษ์ มันค่อยๆ หล่นลงบนหัวที่ดูเหมือนอสรพิษของเต่ายักษ์
เต่ายักษ์เห็นเช่นนี้ กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ แต่ยังคงส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา
ขณะที่วงแหวนตกลงบนหัวเต่ายักษ์ แสงสีฟ้าก็รวมตัวกันแล้วหายเข้าไปในนั้น ต่อมาก็มีตราประทับรูปเกล็ดหิมะสีฟ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าผากของเต่ายักษ์
ชายหนุ่มเห็นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ระหว่างที่เขาสะบัดแขนเสื้อ เต่ายักษ์ก็กลายเป็นแสงสีแดงจมหายเข้าไปในนั้น
ต่อมา เขาหันไปมองชายฝั่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็ค่อยๆ เหาะจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว คำสัญญาหนึ่งเดือนระหว่างวังเพลิงดำกับพวกชิงฉินก็ใกล้จะมาถึง
หอแห่งหนึ่งในหุบเขาเหล็กอัคคี
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ หรี่ลง ใบหน้าเผยแววดีใจออกมา
“คงใกล้ถึงเวลาแล้ว ข้าเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถึงจะมีความเชื่อมั่นมากพ
อ” หลิ่วหมิงกล่าวจบก็กระโดดลงพื้น พอแบมือซ้ายออก ธงค่ายกลขนาดเล็กที่งดงามละเอียดอ่อนก็ปรากฏในมือ เขาโยนมันไปยังมุมต่างๆ ของห้อง และร่ายคาถาออกมา ทันใดนั้น ค่ายกลขนาดเล็กที่มีลำแสงสีเขียว ก็ปกคลุมห้องนี้ไว้
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
เขาพลิกมือขึ้นมาทันที ยันต์ขนาดเท่าฝ่ามือที่เปล่งแสงอบอุ่นก็ปรากฏออกมา
แสงทรงกลดหลากสีหมุนวนอยู่บนตัวยันต์ ขณะที่ลำแสงค่อยๆ หมุนวนในแต่ละรอบ แสงทรงกลดจะหดตัวลงราวกับมีชีวิต
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาจ้องมองยันต์ และค่อยๆ ออกแรงที่มือ จากนั้นยันต์ก็ถูกขยี้จนแตกกระจาย ทันใดนั้น คลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็หมุนวนอยู่เหนือค่ายกล มันหมุนวนตามลำแสงหลากสีอย่างรวดเร็ว
……
วันนี้ ขณะที่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง หอยังถูกไอหมอกจางๆ ปกคลุมอยู่ พอมองออกไปไกลๆ ฉากเช่นนี้ดูราวกับเป็นภาพวาดน้ำหมึกอันยอดเยี่ยมที่จิตรกรสรรค์สร้างขึ้นมา
ขณะนั้นเอง มีเสียงแหลมสูงดังมาจากนอกหุบเขาเหล็กอัคคี เสียงนี้ดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ร้อยกว่าจั้ง
ต่อมา จะเห็นเงาเรือเหาะยาวสิบกว่าจั้ง และถูกม่านแสงสีขาวปกคลุมอยู่ พุ่งมาทางหุบเขาเหล็กอัคคีอย่างรวดเร็ว
ซึ่งผู้ที่อยู่บนเรือเหาะก็คือเซียนเซิ่งจีกับหงซาน และเผ่าเจ้าสมุทรที่รีบเดินทางมาหุบเขาเหล็กอัคคีนั่นเอง
หลังจากหงซานทำลายชั้นจำกัดบนอากาศของหุบเขาเหล็กอัคคีอย่างไม่เกรงใจแล้ว เรือเหาะก็พุ่งเข้ามาในหุบเขาเหล็กอัคคี
ขณะนี้ นักรบโลหิตเหล็กของวังเพลิงดำ ทำราวกับมองไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ยังคงลาดตระเวนตามท้องถนนต่อไป แต่ก็พากันหลีกทางให้เรือเหาะโดยไม่ได้นัดหมาย
หงซานยืนอยู่ด้านหน้าเรือเหาะด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมและน่าเคารพ เขากวาดสายตามองลงไปด้านล่างอยู่ไม่หยุด
“ในที่สุดก็มาถึง” เซียนเซิ่งจีจ้องมองสิ่งก่อสร้างแน่นขนัดที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา แผ่นค่ายกลสีทองปรากฏขึ้นในมือ
มือหยกอันเรียวเล็กทำท่ามือขึ้นมา และชี้ไปยังแผ่นค่ายกล แสงสีทองเปล่งประกายอยู่บนนั้น อักขระลอยไปมา หัวลูกศรสีทองอร่ามอันหนึ่งก่อตัวขึ้น และชี้ไปยังถนนเส้นหนึ่ง
“อาสาม พวกผู้อาวุโสลี่อยู่ที่นั่นแล้ว พวกเราลงไปเถอะ” เห็นเช่นนี้ เซียนเซิ่งจีก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และกล่าวกับหงซาน
หงซานพยักหน้า จากนั้นเซียนเซิ่งจีก็บังคับเรือเหาะให้พุ่งยิงไปยังทิศทางที่หัวลูกศรชี้
……
ภายในห้องหินที่มีขนาดกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งของหุบเขาเหล็กอัคคี คนชุดดำสวมหน้ากากสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
“กำลังสนับสนุนของเผ่าเจ้าสมุทรมาถึงหุบเขาแล้ว ดูเหมือนว่าสัญญาหนึ่งเดือนจะเหลืออีกครึ่งวัน” หนึ่งในคนชุดดำกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้น พวกฉิงชินคงไม่ยอมให้พวกเขาพบกันโดยง่าย คงจะทำการโจมตีล่วงหน้า พวกเราควรจะออกหน้าขัดขวางหรือไม่?” คนชุดดำอีกคนได้ยินก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“มาถึงเวลานี้แล้ว พวกเรายังต้องลงมืออะไรอีก? คอยมองอย่างเงียบๆ เถิด!” คนชุดดำที่อยู่ตรงกลางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับคนทั้งสอง
ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ห้องหินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
……
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หงซานกับเซียนเซิ่งจีและคนเผ่าเจ้าสมุทร ก็ร่อนลงหน้าบ้านที่เจียหลานพักอยู่
แต่ทว่าขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแผดร้องพร้อมกับแสงสีดำพุ่งมาจากข้างบ้าน พอมีเสียงดัง “ตุบ!” มันก็กลายร่างเป็นชายฉกรรจ์ชุดดำหัวล้านครึ่งหัว ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของหงซานและคนอื่นๆ
หลังจากที่ชายฉกรรจ์ปรากฏตัวได้ไม่นาน แสงหลบหลีกสีแดงก็พุ่งยิงมาจากหลังบ้าน หลังหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้ว ก็หล่นลงข้างกายชายฉกรรจ์ชุดดำ และกลายร่างเป็นหญิงใบหน้างดงาม
หงซานกับเซียนเซิ่งจีคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าทั้งสองจะต้องมาปรากฏตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“ชิงฉิน ชื่อลี่ ในที่สุดท่านทั้งสองก็ยอมปรากฏตัว เดิมทีผู้น้อยกะจะไปเยี่ยมเยียนถึงที่ แต่ดูท่าตอนนี้คงจะไม่จำเป็นแล้ว” เซียนเซิ่งจีหัวเราะออกมา แต่แววตาของเขาไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย มีเพียงแต่แววเย็นยะเยือกเท่านั้น
“ฮึ! ที่แท้ก็เป็นพวกเผ่าเจ้าสมุทร! ข้ารออยู่ในหุบเขาเหล็กอัคคีมานานจนจะทนไม่ไหวแล้ว ดีมาก! ตอนนี้ที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จัดการพร้อมกันเลยเถอะ!” ชิงฉินทำเสียงฮึดฮัด และไม่คิดจะพูดจาให้มากความอีก หลังจากตะคอกออกมาแล้ว ก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอสูรยักษ์สีดำหัวมัจฉาร่างวิหคก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
พออสูรยักษ์ตนนี้ขยับตัวเบาๆ อากาศบริเวณรอบๆ ก็บิดเบี้ยวขึ้นมา
อสูรยักษ์ที่ชิงฉินกลายร่างมานี้ ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าครั้งก่อนที่เผชิญหน้ากับลี่คุนถึงสามส่วน
“ฮึ! กะอีแค่ปีศาจเร่ร่อนตนหนึ่ง กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงผลลัพธ์ที่ล่วงเกินคนของเผ่าข้า” หงซานทำเสียงฮึดฮัด พอสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีแดงก็พุ่งออกจากตัวอย่างรวดเร็ว และรวมตัวกันเหนือศีรษะของเขาด้วยเสียงดัง “โครมคราม!” จากนั้นก็กลายเป็นมือยักษ์
ฝ่ามือยักษ์ยาวยี่สิบกว่าจั้ง บนนั้นมีไหมสีทองตัดสลับกันไปมา จนกลายเป็นค่ายกลที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าถูกเพิ่มความสามารถพิเศษบางอย่างไว้
ต่อมา ท่ามกลางเสียงดัง “โครมคราม!” หงซานกับชิงฉิน สองผู้แข็งแกร่งระดับผลึกก็ต่อสู้กัน
อีกด้านหนึ่ง ชื่อลี่ไม่ได้รีบร้อนลงมือ แต่กลับจ้องมองเซียนเซิ่งจีด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงมีแววขี้เล่นปนอยู่ด้วย
“ดูจากการฝึกฝนไม่เกินระดับของเหลวของผู้น้อยอย่างเจ้า หากยอมจัดการตนเองล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าไปอย่างสบาย ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานมากนัก หากยั่วข้าให้โมโหล่ะก็ คงไม่ใช่แค่เสียชีวิตง่ายๆ เท่านั้น”
ขณะที่นางปรากฏตัวออกมา พลังจิตอันแข็งแกร่งก็รับได้รู้ว่า การฝึกฝนของเซียนเซิ่งจีกับกลุ่มเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ด้านหลัง อยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น ดังนั้นย่อมจัดการได้อย่างสบาย
“แม้ท่านจะมีพลังน่าตกใจ แต่ในเมื่อข้าน้อยกล้ามาถึงที่นี่ ย่อมเตรียมตัวมาแล้ว” เซียนเซิ่งจีรับรู้ได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวที่หญิงกระโปรงแดงปล่อยออกมา แต่นางกลับกล่าวด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นก็โบกมือไปด้านหลัง
……………………………………