ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 366 ไล่โจมตี
“คนล่ะ! หรือว่าพวกเขาหนีไปแล้ว?”
ดวงตาดุร้ายของชิงฉินจ้องมองหญิงกระโปรงแดงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในใจเขาเหมือนคาดเดาอะไรบางอย่างได้ น้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความโมโห
“ฮึ! หงซานปล่อยอานุภาพของเหลวพิษออกมาโดยไม่เสียดายพลัง คิดว่าเจ้าคงรู้ซึ้งถึงพิษของมันดี อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ข้าจะคุ้มครองให้เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูพลังก่อนแล้วค่อยวางแผนกันยาวๆ” หญิงกระโปรงแดงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี จากนั้นก็กลายเป็นเงาก่อนหายไป
สีหน้าชิงฉินเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงหลับตาเพื่อโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บ
……
เสียงแผดร้องดังเข้ามาบนท้องฟ้าที่อยู่ห่างหุบเขาเหล็กอัคคีหลายร้อยลี้ รถเหาะทองสัมฤทธิ์พุ่งออกจากก้อนเมฆที่อยู่ไกลๆ
บนรถเหาะ ผู้อาวุโสคิ้วดำกำลังทำท่ามือกระตุ้นรถเหาะจนกลายเป็นแสงสีดำยาวๆ พุ่งทะยานไปด้านหน้า
ห่างจากเขาไปร้อยกว่าลี้ หลิ่วหมิงกำลังทำท่ามือด้วยมือทั้งสองปล่อยวิชาออกมา เพื่อกระตุ้นเรือกลเหาะให้พุ่งไปด้านหน้า ตรงหน้ามีแผ่นกลมๆ สีขาวที่หดขยายอยู่ไม่หยุด จุดแสงสีเงินจำนวนหนึ่งที่อยู่บนนั้นค่อยๆ หายไป
จุดแสงสีเงินเหล่านี้ เป็นยันต์ตรวจสอบที่เขาทิ้งไว้ระหว่างทาง ตอนนี้มันค่อยๆ ถูกกระตุ้นขึ้นมา แสดงว่าคนที่อยู่ด้านหลังกำลังตามมาด้วยความเร็วสูง
สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา พอคำนวณดูเล็กน้อยก็ค้นพบว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะถูกตามทันในไม่ช้า พอถึงเวลานั้น หากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจริงๆ ล่ะก็ ตนเองย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
พอหลิ่วหมิงสัมผัสกับคลื่นจางๆ บนแผ่นค่ายกล ก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาค่อยๆ กางแขนขวาออก จากนั้นก็มียันต์ปรากฏขึ้นในมือผืนหนึ่ง
เขาค่อยๆ ส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้น ลำแสงบนยันต์หมุนปกคลุมเขากับเย่เทียนเหมยไว้
แสงสีทองหายไปทันที ร่างของคนทั้งสองปรากฏออกมา
เพียงแต่ครั้งนี้กลับมีหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยสองคน กลิ่นไอของพวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลย รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันทุกอย่าง แม้แต่เรือกลเหาะที่ใช้เดินทางก็มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด
ต่อมา หลิ่วหมิงทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันพาเย่เทียนเหมยพุ่งหลบหนีไปคนละทิศทาง
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา ร่างของผู้อาวุโสคิ้วดำที่นั่งรถเหาะก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขาขมวดคิ้ว และแสดงสีหน้าลังเลออกมา
“ทำไมถึงมีกลิ่นไอสองกลุ่ม ทั้งยังมาจากคนละทิศทางด้วย…..”
ผู้อาวุโสคิ้วดำจ้องมองกระจกจิตวิญญาณในมือแล้วกล่าวพึมพำออกมา ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าจะตามไปทิศทางใด
ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ ดวงตาของผู้อาวุโสก็เปล่งประกาย พอเขาทำท่ามือและกำหนดทิศทางแล้ว รถเหาะก็สายเป็นสายรุ้งสีดำพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
และขณะนี้ หลิ่วหมิงที่ไปอีกทิศทาง กำลังพาเย่เทียนเหมยที่หมดสติพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
บนเรือเหาะ หลิ่วหมิงจ้องมองคลื่นสั่นไหวบนแผ่นค่ายกลด้วยตาที่เป็นประกาย หลังจากมั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามไปไกลแล้ว ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ดูท่าฝ่ายตรงข้ามคงตามเงาร่างไป ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อฝ่ายตรงเข้าย้อนกลับมาอีกครั้ง คงต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม
……
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน บังอาจใช้วิธีการนี้หลอกลวงข้า”
ผู้อาวุโสคิ้วดำโจมตีเงาร่างของหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยที่อยู่บนเรือเหาะจนแตกละเอียด ดวงตาเผยแววดุร้ายราวกับว่ายังไม่ได้ระบายความแค้นในใจ
จากนั้นก็แช่แข็งเรือเหาะสีดำที่ค่อยๆ สลาย และเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าจนกลายเป็นขี้เถ้า
“ยันต์แบ่งร่างนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาติดตามของข้า ก็ถูกมันหลอกไปด้วย แต่ของที่ล้ำค่าเช่นนี้ คิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงมีไม่มาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้มีเพียงแค่เงาร่างเดียว วิธีการเบี่ยงเบนสายตาเช่นนี้ ถูกข้ามองออกแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่ายังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก!”
ผู้อาวุโสคิ้วดำพูดพึมพำ และกระตุ้นเรือเหาะพุ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
……
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงค่อยๆ หันหน้ามองเย่เทียน และต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
กลิ่นไอของนางขาดๆ หายๆ ดูท่าคงไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นนี้
แม้จะเป็นเช่นนี้ เย่เทียนเหมยที่นอนหมดสติอยู่ ก็ยังดูอันตรายเป็นอย่างมาก ทำให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้โดยง่าย
หลิ่วหมิงละสายตาไปดูรอยสีแดงตรงหัวไหล่ และคราบโลหิตบนดาดฟ้าเรือที่ไม่รู้ว่าปรากฏออกมาตอนไหน
ตอนนั้นเย่เทียนเหมยเพียงแค่ใช้ยันต์กับโอสถระงับบาดแผลตรงหัวไหล่ชั่วคราวเท่านั้น และการกระตุ้นพลังแฝงขี่กระบี่ในก่อนหน้า กลับทำให้ปากแผลเปิดมากกว่าเดิม
แต่เพราะนางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก เพียงแค่กายเนื้อที่แข็งแกร่ง ก็ทำให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็วในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังบังคับเรือเหาะอยู่
แต่พอมองคราบโลหิตเหล่านี้แล้ว กลับทำให้หลิ่วหมิงฉุกคิดวิธีถ่วงเวลาขึ้นมาได้
เขาเสี่ยงเอาเรือเหาะลงพื้น และหยิบธงค่ายกลสีฟ้าออกจากยันต์เก็บของมาปึกหนึ่ง มือทั้งสองทำท่ามือจนอักขระกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีทองละลายเข้าไปในธงเหล่านั้น
หลิ่วหมิงตะคอกเบาๆ พอมือทั้งสองเปลี่ยนท่ามือ ธงค่ายกลในมือก็เปล่งแสงนุ่มนวลออกมา และกระจายไปรอบด้าน จากนั้นก่อตัวเป็นค่ายกลลึกลับตั้งอยู่บนพื้น
“อำพราง!”
พอหลิ่วหมิงตะโกนออกมาอีกครั้ง ค่ายกลบนพื้นก็หายไปโดยไม่ทิ้งอะไรไว้เลย
พอวางค่ายกลเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็โบกมือขวาออกไป หยดวารีบริสุทธิ์ปรากฏบนดาดฟ้าเรือ หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว มันก็ดูดคราบโลหิตที่เกาะอยู่บนนั้นจนหมดสิ้น และกลายเป็นหยดวารีสีแดงลอยลงมา จากนั้นก็หายไปในค่ายกล
เขามองดูจุดที่โลหิตหายเข้าไปด้วยตาที่เป็นประกาย อึดใจต่อมาก็โยนยันต์ที่ซื้อมาจากหุบเขาเหล็กอัคคีออกไปหลายผืน หลังจากที่มันกลบกลิ่นไอของค่ายกลจนหมดสิ้น เขาถึงทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา พอสายรุ้งสีดำกระพริบผ่าน ก็ปรากฏภาพรถเหาะทองสัมฤทธิ์ลอยอยู่เหนืออากาศบริเวณนี้
ผู้ที่อยู่บนรถเหาะก็คือผู้อาวุโสหลิวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“หืม?”
ผู้อาวุโสหลิวลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ดวงตาเปล่งประกายเยือกเย็นออกมา เขาสำรวจบริเวณรอบๆ อยู่ไม่หยุด แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นไอของนางอยู่บริเวณนี้นี่……”
ผู้อาวุโสหลิวขมวดคิ้ว และพูดพึมพำออกมา เขาจ้องมองแผ่นค่ายกลบนมืออย่างไม่เข้าใจ
ขณะที่กำลังคิดจะหมุนตัวจากไปนั้น สีหน้าก็ไปโดยฉับพลัน กลิ่นไอระเบิดออกมาอย่างรุนแรง แท่งสามเหลี่ยมกลายเป็นแสงสลัวๆ หมุนวนรอบตัวเขา
ครู่ต่อมา ค่ายกลที่หลิ่วหมิงวางไว้ในก่อนหน้านั้นก็ถูกกระตุ้น หมอกดำพวยพุ่งล้อมรอบค่ายกลในพริบตา คลื่นสั่นสะเทือนปะทุขึ้นในหมอกดำ
“ให้ตายสิ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะวางค่ายกลอำพรางไว้! รอถูกข้าจับได้ก่อนเถอะ ข้าจะหักกระดูกให้กลายเป็นผุยผงแล้วนำไปโปรย เพื่อระบายความโกรธในใจข้า!”
ในฉับพลันนั้น ผู้อาวุโสหลิวก็เริ่มกระตุ้นพลังทั้งหมดของแท่งสามเหลี่ยม เพื่อรับมือกับค่ายกลตรงหน้า
พอเขาสัมผัสกับมันก็รู้ได้ทันทีว่า เป็นแค่ค่ายกลกักขังเท่านั้น ไม่มีอานุภาพการโจมตีใดๆ เลย ถึงอย่างไรก็ตาม หากจะออกไปจากค่ายกลนี้ให้ได้ ก็ต้องเปลืองพลังเล็กน้อย!
แต่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก พริบตาเดียวก็เรียกแท่งสามเหลี่ยมออกมา เขากระตุ้นเปลวไฟแห่งน้ำแข็งจนกลายเป็นทะเลเพลิงกว้างสุดลูกหูลูกตา และเผาไหม้ออกไปทั่วทิศ
แต่ชั่วเวลาครึ่งก้านธูป หมอกดำที่อยู่ในค่ายกลก็เบาบางอย่างถึงที่สุด วัสดุที่ใช้ในการวางค่ายกลค่อยๆ สลายไปจนหมดสิ้น
เงาร่างของผู้อาวุโสโผล่ออกมาจากค่ายกล เขาจ้องมองแผ่นค่ายกลในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นก็หยิบรถเหาะออกมา มันกลายเป็นสายรุ้งสีดำพุ่งยิงไปกลางอากาศ
……
หลิ่วหมิงกำลังนั่งโคจรลมปราณอยู่ พลันรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นค่ายกล พอมองดูแล้วก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสี
ขณะที่เขาวางค่ายกลนั้น ก็ได้วางยันต์ตรวจสอบไว้ระหว่างทางด้วย และขณะนี้ พวกมันต่างก็พากันระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้แผ่นค่ายกลสั่นสะเทือนไม่หยุด
ดูท่าตอนนี้ผู้อาวุโสคิ้วดำคงตามเข้ามาใกล้แล้ว
ฝ่ายตรงข้ามสมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ฝีไม้ลายมือก็ไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมองเงาร่างของเขาออกอย่างรวดเร็ว และยังทำลายค่ายกลด้วย
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมา สุดท้ายเขาก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อหยิบยันต์ผืนหนึ่งออกมา
แสงจางๆ หมุนวนอยู่บนยันต์ อักขระเรียงตัวอย่างมีกฎเกณฑ์ พอมองก็รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววเจ็บปวดออกมา จากนั้นก็กัดลิ้นพ่นโลหิตใส่ยันต์ และขยี้มันจนระเบิด
พริบตาเดียว พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกไป มันผลักดันจนเรือเหาะค่อยๆ สั่นสะเทือน ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะนี้ถึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เพราะเขาสูญเสียโลหิต และก่อนหน้านั้นยังแสดงวิชากับวางค่ายกลอยู่ไม่หยุด
แต่เขายังไม่ทันได้พักฟื้นฟูพลังเวทย์กับโลหิตบริสุทธิ์ที่สูญเสียไปเมื่อครู่ ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นไออันแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝนระดับผลึก ที่อยู่ห่างจากเขาแค่เจ็ดแปดลี้
สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมา เขาทำท่ามืออีกครั้งเพื่อยกระดับความเร็วของเรือเหาะ
แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้แปลกใจก็คือ แม้กลิ่นไอนี้จะมีแรงกดดันสูงเช่นเดิม แต่ดูเหมือนว่าจะนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
เขายังไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสหลิวจะมาไม้ไหนกันแน่ ถึงได้ส่งเสียงมาหาเขา
“สหายผู้นี้ ใยต้องข้าตามเจ้าหนีเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าเห็นอายุยังน้อย แต่การฝึกฝนไม่ธรรมดา คิดว่าคงมีพรสวรรค์ไม่เบา ช่างน่านับถือยิ่งนัก ไม่สู้พวกเราหยุดพูดคุยกันหน่อยดีไหม?”
ขณะที่หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าจิตดิ่งลึกลงไป พลันรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านหลังมีเมตตาและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง
“แย่แล้ว! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเฒ่านี่จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาพลังจิต เกือบจะเชื่อคำพูดของเขาแล้ว” แต่ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของตัวเองกระตุ้นให้ตื่นตัวขึ้นมา สีหน้าของเขาดูหวาดผวามาก
……………………………………