ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 370 ฉากอันน่าประหลาดใจ
“เจ้ายังไม่ปล่อยข้าอีก?”
แม้เย่เทียนเหมยจะรู้สึกอายอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับมาสดใสเหมือนแต่ก่อนแล้ว ขณะเดียวกัน ร่างกายของนางก็เยือกเย็นผิดปกติ และปล่อยกลิ่นไอออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าอีกซักพักร่างของนางก็จะกลายเป็นกระบี่อันแหลมคม
หลิ่วหมิงรับรู้ได้ในทันที ถ้ากอดนางต่อไปล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกฟันเป็นชิ้นๆ เขาจึงคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว และพุ่งถอยไปสิบกว่าจั้งจนไปอยู่ที่บริเวณทางเข้าพอดี
หากเย่เทียนเหมยลงมืออีกเพียงเล็กน้อย เขาก็จะหนีไปอย่างไม่ลังเล
“ฮึ! แม้จะรู้แต่แรกว่าเจ้าใจกล้าไม่เบา แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าล่วงเกินข้าเช่นนี้ เจ้าว่าข้าควรจัดการกับเจ้าอย่างไรดี มันถึงจะระบายความโมโหในใจข้าได้” เย่เทียนยืนตัวตรงแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็น อาการแปลกๆ บนใบหน้าหายไปจนหมดสิ้น
พลังอันน่าตกใจถูกแผ่ออกมา พริบตาเดียว นางก็กลับมาเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่หยิ่งยโสและเย็นชาเช่นเดิม
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็อ้าปากค้าง และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ยินดีรับโทษทุกประการ” จากนั้นก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
แต่เขากลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
เพียงแค่นางไม่กระตุ้นกระบี่บินออกมาสังหารเขา ก็อธิบายได้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงล้มเลิกความคิดที่จะสังหารเขาแล้ว อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไว้ได้
“ฮึ! ยินดีรับโทษ…… ได้! เจ้าคุ้มครองข้าให้ดีๆ หลังจากนี้หนึ่งเดือนกว่า ข้าจะรีบรักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูพลังเวทย์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เย่เทียนเหมยแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา ผ่านไปซักพักถึงสั่งด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
เวลาต่อมา เย่เทียนเหมยหยิบแผ่นค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และวางค่ายกลค่ายชั่วคราวที่มีสีเงินจางๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปในนั้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และนั่งขัดสมาธิลงไป ดวงตาทั้งเปล่งประกายเย็นสะท้าน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นางทำท่ามือด้วยมือเดียว พอค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงสีเงินก็ปรากฏออกมา อักขระหมุนวนอยู่บนม่านแสง และปกป้องนางไว้
หลิ่วหมิงมองไปยังม่านแสงสีเงิน และแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็รีบส่ายหน้าแล้วดึงสายตากลับมา จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงที่เดิมเพื่อทำการฝึกฝนเช่นกัน
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปครึ่งเดือนกว่าๆ
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยนั่งอยู่ในค่ายกล ส่วนหลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล มีกลิ่นไอแข็งแกร่งของเย่เทียนเหมยแผ่ออกมาจางๆ
เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป กลิ่นไอนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินบริเวณค่ายกล กลายเป็นระลอกคลื่นที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นได้ และค่อยๆ ทะลักเข้าไปในนั้น
ขณะนี้หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาโดยฉับพลัน และมองไปยังค่ายกล ขณะเดียวก็แสดงสีหน้าขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้
ค่ายกลฟื้นฟูที่เย่เทียนเหมยวางไว้ ออกจะเกิดการเคลื่อนไหวมากไปหน่อย!
ปราณจิตวิญญาณรอบตัวเขา ต่างก็ถูกนางดูดเข้าไปหมด ทำให้เขาไม่สามารถทำจิตให้สงบได้
แต่พอรับรู้ถึงกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่อยู่ในค่ายกล ไม่รู้ทำไมหลิ่วหมิงถึงรู้สึกเบิกบานใจ
“คิดว่าพลังของนางคงฟื้นฟูมามากกว่าครึ่งแล้ว”
เขาจ้องมองอักขระที่หมุนวนบนม่านแสงสีเงิน และพูดพึมพำออกมา สีหน้าเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย
เขาเองก็ไม่เคยค้นพบว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น ตำแหน่งของเย่เทียนเหมยที่อยู่ในใจเขา ก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่หลิ่วหมิงหลับตาฝึกฝน ฉากอันหอมหวานในวันนั้น มักจะปรากฏในสมองของเขาอยู่เสมอ
แม้หลิ่วหมิงจะเคยผ่านความทุกข์ทรมานและความล้มเหลวที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้ แต่กลับไม่เคยสัมผัสหญิงสาวอย่างแนบชิดเช่นนี้มาก่อน
ทรวดทรงสวยงามและนุ่มนวลของเย่เทียนเหมย ตราตรึงอยู่ในสมองเขาโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะฉากที่ทั้งสองกอดกันแนบชิด ยังติดตามาจนถึงวันนี้ ทำให้หลิ่วหมิงยากจะลืมเลือนได้
เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อระงับความร้อนรุ่มในใจ จากนั้นก็มองไปยังค่ายกลด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะสามารถฟื้นคืนพลังได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่
ตอนที่เขาพบเย่เทียนเหมยนอกหุบเขาเหล็กอัคคีนั้น เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นด้วยลักษณะนิสัยของนาง หากไม่จำเป็นจริงๆ คงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้น้อยอย่างเขาแน่นอน
และจากนั้นผู้อาวุโสคิ้วดำก็ตามไล่ล่ามาตลอดทาง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อรักษาชีวิตของทั้งสองไว้ นางฝืนกระตุ้นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ออกมา จนทำให้ผู้อาวุโสคิ้วดำได้รับบาดเจ็บและร่นถอยไป
ต่อมาก็หมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นขึ้นมาก็โจมตีหลิ่วหมิงด้วยความโมโห
เย่เทียนเหมยเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน ร่างกายก็ไม่อาจแบกรับความทรมานนี้ได้
หากได้รับอันตรายถึงจุดสำคัญ และทิ้งภัยแฝงที่ไม่อาจรู้ได้ ต่อไประดับการฝึกฝนอาจจะลดลง หรืออาจจะไม่ก้าวหน้าก็เป็นไปได้!
แม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนหนักแน่นมาโดยตลอด แต่ช่วงนี้ก็อดที่จะทุกข์ร้อนไม่ได้!
บ่ายวันนี้ ความเงียบสงบภายในถ้ำกลับถูกเสียงอุทานเบาๆ ทำลาย
“เอ๊ะ!” เสียงนี้มาจากค่ายกลที่มีแสงทรงกลดสีเงินปกคลุมอยู่
ค่ายกลหยุดหมุนวนในทันที ขณะเดียวกันม่านแสงสีเงินรอบด้านก็สลายไป
ไม่รู้ว่าเย่เทียนเหมยที่นั่งอยู่กลางค่ายกลลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คิ้วโค้งงอทั้งสองค่อยๆ ขมวดขึ้นมา แสงแวววาวเปล่งประกายอยู่ในดวงตาอันงดงาม นางดูตกใจเล็กน้อย
แต่ไม่นาน นางก็ยกแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากโบกไปทางอากาศแล้ว ก็ตะโกนคำว่า “เก็บ” ออกมา
ต่อมามีเสียงตะคอกเบาๆ ดังก้องภายในถ้ำ ม่านแสงที่ปกคลุมร่างนางอยู่ค่อยๆ สั่นสะท้าน และเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา อักขระลอยวนอยู่ในลำแสงอย่างช้าๆ
ครู่ต่อมา แสงสีเงินสลายไปทันที เผยให้เห็นธงจำนวนมาก พอนางโบกแขนเสื้อ ธงก็ค่อยๆ กลายเป็นแสงกระพริบวับแวม และหายไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงถูกทำให้ตกใจจนได้สติตั้งนานแล้ว พอเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ
แต่เขายังไม่ทันเอ่ยปาก กลับเห็นสีหน้าของเย่เทียนเหมยเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง สีหน้านางดูตื่นตระหนกอย่างเหลือเชื่อ
พอนางทำท่ามือ กลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ประทุออกจากร่าง และพอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา มันกลายเป็นลำแสง และม้วนตัวหลิ่วหมิงไว้ พริบตาเดียวก็พุ่งทะลุออกไปทางด้านบนของถ้ำ
หลังแสงระยิบระยับกระพริบผ่านไป ทั้งสองก็มาอยู่บนท้องฟ้า
ขณะที่เผยร่างออกมาอีกครั้ง หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกมืดไปแปดด้าน แต่เย่เทียนเหมยกลับมองออกไปไกลๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองตามเย่เทียนเหมย แต่นอกจากจะมีเมฆขาวไม่กี่ก้อน กับดวงอาทิตย์ที่แผดแสงจ้าลอยอยู่ตรงขอบฟ้าแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเตะตาปรากฏออกมาเลย
หลิ่วหมิงกระพริบตาปริบๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามเย่เทียนเหมยนั้น ก้อนเมฆตรงขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ พวยพุ่งขึ้นมาในฉับพลัน จากนั้นก็บังเกิดเสียงดังโครมคราม
เสียงนี้ดูคล้ายกับเสียงฟ้าร้อง และยังดูคล้ายเสียงม้าหมื่นตัวที่วิ่งห้อตะบึงกันอย่างอุตลุด แม้จะอยู่ไกลจากทั้งสองมาก แต่ก็ได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้าน เขาไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่กลับมองเย่เทียนเหมยด้วยความสงสัย
“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องระวังตัวให้ดี ข้าอาจจะไม่สามารถดูแลเจ้าได้”
เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างราบเรียบ สีหน้าเยือกเย็นผิดปกติ น้ำเสียงกลับชัดและไพเราะเป็นอย่างมาก ทำให้หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา
“ทราบ!”
หลิ่วหมิงตอบรับเบาๆ จากนั้นก็ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าอีกซักพักจะเกิดอะไรขึ้น
ผ่านไปไม่นาน เสียงโครมครามก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และทั้งสองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ม่านแสงหลากสีจำนวนมากกำลังปรากฏตัวท่ามกลางก้อนเมฆที่พวยพุ่ง และม้วนตัวมาด้านนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ม่านแสงนี้ก็ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเห็นได้อย่างชัดเจน ที่แท้ม่านแสงนี้ก่อตัวจากลำแสงราวๆ สิบกว่าลำ และมีเงาร่างจำนวนหนึ่งอยู่ภายในลำแสงเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกมาก!
“เป็นไปได้อย่างไร?”
หลิ่วหมิงร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะว่าเงาร่างในลำแสงที่อยู่ด้านหน้าล้วนเป็นคนที่หลิ่วหมิงรู้จัก ซึ่งก็คือเจียหลาน เซียนเซิ่งจี หงซาน และคนเผ่าเจ้าสมุทรนั่นเอง
ขณะนี้พวกเขามีสีหน้าตื่นตกใจ และกระตุ้นวิชาพุ่งมาทางด้านนี้อย่างบ้าคลั่ง โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังเลย
และลำแสงอื่นๆ ที่อยู่ข้างพวกเขา ล้วนมีพลังน่าตกใจยิ่งกว่ามาก กลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกมาท่ามกลางลำแสงที่หมุนวนรอบตัว
พวกเขาบ้างก็ขี่อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหา บ้างก็ใช้วิชาเคล็ดเฉพาะทำเป็นสายรุ้งยาว บ้างก็ขี่พายุบ้าระห่ำ ขณะที่ห้อตะบึงมา อากาศบริเวณรอบๆ ก็สั่นสะเทือน เสียงพายุพัดพาราวกับเสียงฟ้าร้อง
ในนั้นมีมนุษย์ เผ่าเจ้าสมุทร และเผ่าปีศาจ การแต่งกายของพวกเขาเป็นชุดคลุมยาวสีดำทั้งหมด บริเวณหน้าอกต่างก็มีรูปเปลวไฟสีทองประทับอยู่ จากที่ได้เห็นได้ยินมาในหุบเขาเหล็กอัคคี หลิ่วหมิงก็แน่ใจว่าพวกเขาเป็นคนระดับสูงของวังเพลิงดำ
ซึ่งพูดได้ว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก
และผู้อาวุโสหน้าดำที่ขี่หุ่นวิหคยักษ์สีทองอร่าม มีลักษณะน่าเกรงขามมาก กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และดูเหมือนผู้แข็งแกร่งของวังเพลิงดำคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างจะมีเขาเป็นผู้นำ
และหุ่นวิหคตัวนั้นมีขนาดสามสิบถึงสี่สิบจั้ง มีปีกสีดำปกคลุมเต็มตัว ซึ่งไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอันใด มันเปล่งแสงโลหะออกมากลางอากาศ มองดูแล้วดูแหลมคมมาก เวลาที่กระพือปีกทั้งสอง พายุบ้าระห่ำก็พัดพาจนเกิดเป็นระลอกคลื่น ร่างของมันกลายเป็นแสงวับแวม พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวในระยะสิบกว่าจั้ง ความเร็วของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก
……………………………………