ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 372 ประกาศให้ยอมจำนน
พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวมองมาด้านนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาพอจะคาดเดาได้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวในทะเลชังไห่ผู้นี้ จะจัดการกับพวกเขาอย่างไร
แต่ทว่าขณะนั้นเอง พลันมีเสียงกระซิบกระซาบดังออกมาในกลุ่มผู้คน ผู้แข็งแกร่งเผ่าเจ้าสมุทรระดับผลึกของวังเพลิงดำสองคนที่อยู่ด้านหลังของอู่เหยียนสบตากัน หลังจากแลกเปลี่ยนสายตากันแล้ว ก็ดูเหมือนจะบรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่าง
จากนั้นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นต้นที่มีใบหน้ามุทะลุคนหนึ่งกระแอมไอเบาๆ แล้วก้าวไปด้านหน้า หลังจากเดินวนรอบตัวอู่เหยียน และประสานมือคารวะราชาปีศาจสมุทรแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “ท่านราชาปีศาจสมุทร พวกข้าทั้งสามหารือกันแล้วว่าจะยอมสวามิภักดิ์ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!”
ขณะที่คนผู้นี้กำลังขยับตัวนั้น อู่เหยียนก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากออกมาแล้ว ก็รู้สึกโมโหมาก สีหน้าดูไม่พอใจอย่างถึงขีดสุด แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลังจากชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวได้ยิน เขาก็ยิ้มกว้างมากขึ้น
ชายฉกรรจ์ใบหน้ามุทะลุเห็นราชาปีศาจสมุทรมีท่าทางเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้งนั้น พลันได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นข้างหู
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดขาวไร้โลหิตในทันที ดวงตาเผยแววหวาดผวาจนถึงขีดสุด
“ไม่……”
ท่ามกลางคลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง แสงสีฟ้าเปล่งประกายลงมาโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน จากนั้นก็ม้วนตัวชายฉกรรจ์ใบหน้ามุทะลุเข้าไปในนั้น
อักขระสีทองจางๆ ปรากฏบนพื้นผิวของม่านแสงสีฟ้าทันที มันเปล่งแสงแวววาว และเกิดแสงทรงกลดจางๆ
ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้น แผ่กลิ่นไอแข็งแกร่งออกมาโดยไม่ทันได้คิดอะไร เขาคิดจะปล่อยอาวุธจิตวิญญาณออกมาเพื่อหนีไปจากที่นี่ แต่กลับต้องพบกับเรื่องราวอันน่าตกใจ ราวกับว่าร่างของเขาถูกภูเขาหินที่หนักหมื่นจินกดทับไว้ โดยไม่สามารถกระดิกนิ้วได้เลย
ชายใบหน้ามุทะลุหวาดกลัวจนริมฝีปากสั่นระรัว ขณะที่ดูเหมือนจะพูดอะไรออกมานั้น กลับถูกม่านแสงสีฟ้ากลั้นไว้โดยที่คนอื่นไม่ได้ยินเลย
พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวขยับแขน และกำนิ้วทั้งห้าเบาๆ ก็ก่อให้เกิดสายลมเย็นพัดพาเบาๆ
“เพล้ง!”
ม่านแสงสีฟ้าหมุนตัวขึ้นฟ้าเป็นลายก้นหอย ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในนั้นถูกบิดจนมีรูปร่างที่ไม่อาจคาดคิดได้ แต่กลับไม่ระเบิดออก มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อแสงสีฟ้าอยู่สูงจากพื้นราวๆ ห้าหกจั้ง กลับส่งเสียงดัง “เพล้ง!” แล้วกลายเป็นจุดแสงสลายไปในอากาศ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในนั้นก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
พอเห็นฉากนี้ ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างก็รู้สึกตกตะลึง ผู้ฝึกฝนระดับต่ำหลายคนมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา
พอผู้แข็งแกร่งเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่กับชายฉกรรจ์ใบหน้ามุทะลุในก่อนหน้านั้น เห็นทางฝั่งตนเองได้เอ่ยปากยอมจำนนแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับลงมือสังหารเช่นนี้ กลับทำให้เขาตกใจจนหน้าถอดสี
“ท่านราชาปีศาจสมุทร เหตุใดท่าน…….!”
แต่เขาพูดยังไม่ทันจบ สีหน้าของราชาปีศาจเจ้าสมุทรก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที แขนขวาที่เพิ่งปล่อยลงไปถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าคลายออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คว้าออกไปด้านหน้าเบาๆ
“ตู๊ม!”
ปราณพลังฟ้าดินบริเวณนั้นค่อยๆ ทะลักขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ มันดูคล้ายฝ่ามือยักษ์สีฟ้า สามารถมองเห็นรอยบนฝ่ามือยักษ์ได้อย่างชัดเจน มันแผ่คลื่นสั่นสะเทือนอันน่าตกใจออกมา
“ข้ากับเผ่าเจ้าสมุทร มีแค่คำว่าสังหารเท่านั้น ดังนั้น……เจ้าก็ไปตายได้แล้ว!”
พริบตาที่น้ำเสียงแจ่มชัดของราชาปีศาจสมุทรดังออกมา ฝ่ามือยักษ์กลางอากาศกระพริบมาอยู่เหนือศีรษะผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ทันที จากนั้นก็กดลงมาอย่างโหดเหี้ยม
ทันใดนั้น ทุกสิ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ค่อยๆ หยุดชะงักลง ต่อมามีเสียงระเบิดดังขึ้นใต้ฝ่ามือยักษ์ ก่อให้เกิดพายุบ้าระห่ำสีฟ้าม้วนตัวออกไปนอกทิศทาง
คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ ถอยออกไปสิบกว่าจั้ง ดวงตาเผยแววหวาดผวาออกมา ไหนเลยพวกเขาจะกล้ารับมือโดยตรง
ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ใต้ฝ่ามือยักษ์ คิดจะแสดงวิชาหลบหลีกหรือปล่อยอาวุธจิตวิญญาณออกมาต้านทานด้วยใบหน้าซีดขาว แต่พอพลังอันแข็งแกร่งรอบด้านบีบตัวแน่น เขาก็ไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวใดๆ ได้อีก ทำได้เพียงแต่จ้องมองมือยักษ์กลางอากาศร่วงหล่นลงมา
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ท่านประมุขวังเพลิงดำช่วยข้าด้วย!”
อู่เหยียนได้ยินคนผู้นี้ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาเพียงแค่ยืนจ้องมองด้วยแววตาเยือกเย็น
เมื่อครู่ คนผู้นี้ยังยอมสวามิภักดิ์ราชาปีศาจสมุทรอย่างเต็มปากเต็มคำ เวลานี้มีจุดจบเช่นนี้ เขาย่อมไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน
“พู่!” “พู่!”
ขณะที่ฝ่ามือยักษ์กดลงมา ปราณแกร่งที่ห่อหุ้มร่างกับร่างของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้ ก็กลายเป็นหมอกโลหิต และกระจายหายไปในอากาศ
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ราชาปีศาจสมุทรก็กวาดสายตามองกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยแววตาเยือกเย็น
สายตาของเขาแหลมคมราวกับคมกระบี่ มันทิ่มแทงจนผิวหนังรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา คนกลุ่มนี้ต่างก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้าสบตาเขา
สุดท้ายกลับมีแค่อู่เหยียนกับเย่เทียนเหมยที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังเย่เทียนเหมย มีระดับการฝึกฝนอยู่ในช่วงท้ายๆ และอานุภาพที่ราชาปีศาจสมุทรแผ่ออกมา มันแข็งแกร่งเกินไป โชคดีที่มีเย่เทียนเหมยช่วยเขาต้านทานพลังส่วนมากเอาไว้ได้ ดังนั้นนอกจากจะหลบสายตาด้วยความหวาดกลัวแล้ว ก็ไม่ได้รับพลังของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง
พอมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของคนอื่นๆ ราชาปีศาจสมุทรก็ละสายตากลับมาด้วยความพอใจ และกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงมามาก
“วันนี้ได้พบกับทุกท่านในสถานที่แห่งนี้ นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน ข้ารู้สึกยินดีมากนัก วันนี้นอกจากเผ่าเจ้าสมุทรแล้ว เผ่าอื่นๆ เพียงแค่ยอมจำนนต่อข้า ข้าสามารถไว้ชีวิตพวกเจ้าได้”
พอได้ยินคำพูดนี้ หงซาน ลี่คุน และเผ่าเจ้าสมุทรที่เหลือต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก แต่หลังจากสบตากันทีหนึ่งแล้ว กลับไม่คิดจะบุ่มบ่ามทำอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกล่าวจบ ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร เขาเอามือไขว้หลังยืนรออย่างเงียบๆ
และทางด้านชิงฉิน ชื่อลี่ และคนอื่นๆ ก็จ้องมองกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และกำลังคิดอะไรบางอย่างด้วยตาที่เป็นประกาย
ส่วนใจของหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ร่วงหล่นลงไปแล้ว
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ หากไม่ตอบรับล่ะก็ สามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้เลย แต่หากตอบรับล่ะก็ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องวางชั้นจำกัดไว้ในร่าง และชีวิตของพวกเขาก็จะอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม
และขณะนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าธรรมดาคนหนึ่ง ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หลังจากกัดฟันแล้ว ก็เอ่ยปากถามชายหนุ่มชุดขาวอย่างระมัดระวัง
“ข้าน้อยยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หากราชาปีศาจสมุทรช่วยคลายข้อสงสัย ข้าน้อยจะยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน”
พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวได้ยิน ก็ยังคงมีสีหน้าปกติ เพราะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาจึงพูดออกมาเบาๆ “พูด!”
ชายวัยกลางคนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่คนอื่นๆ กลับสบตากันด้วยความประหลาดใจ
“ได้ยินมาว่าฝ่าบาทผ่านด่านแก่นแท้แล้ว และต่อมาร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ทราบว่าข่าวลือนี้จริงเท็จประการใด?”
ชายวัยกลางคนจ้องมองชายหนุ่มชุดขาว ดูเหมือนว่าเขาอยากได้คำตอบจากสีหน้าของราชาปีศาจสมุทร และคนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ก่อนหน้านั้น โลกภายนอกเล่าลือกันว่า แม้ราชาปีศาจสมุทรตรงหน้าจะผ่านด่านแก่นแท้มาได้ แต่อาวุธจิตวิญญาณทั้งหมดถูกทำลายไปสิ้น ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และสูญเสียพลังไปมาก
แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างล้วนเป็นการกล่าวที่ไม่มีมูล กลิ่นไอบนตัวเขาราวกับทะเล ไหนเลยจะมีอาการบาดเจ็บสาหัส และยิ่งไปกว่านั้นยังใช้เวลาเทียบเท่ากับการยกแขนยกขา ก็สามารถกักขังทุกคนไว้ ณ ที่แห่งนี้ได้
ดังนั้นในขณะที่ทุกคนคาดเดาด้วยความสงสัย ราชาปีศาจสมุทรก็ยิ้มบางๆ แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา
“ร่างกายของข้าเป็นอย่างไรนั้น ทุกท่านรับรู้ไม่ได้หรอกหรือ? หรือว่าทุกท่านยังไม่ตายใจ คิดจะสอบถามความแข็งแกร่งของข้าแล้วร่วมมือกันต่อต้านข้าหรือ? หากอยากรนหาที่ตายล่ะก็ ลงมือกับข้าแล้วจะรู้เอง!”
พอชายหนุ่มชุดขาวกล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเขาก็แผ่คลื่นสังหารออกมา ราวกับว่าเตรียมจะลงมือสังหารชายวัยกลางคนให้สิ้นซาก
และพอผู้คนในที่เกิดเหตุเห็นเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บ้างก็แอบตำหนิอยู่ในใจว่า ผู้ที่สอบถามพูดจาบุ่มบ่ามไปหน่อย หากทำให้เขาโมโหขึ้นมาล่ะก็ จะส่งผลให้คนอื่นๆ ต้องรับโทษไปด้วย
ชายวัยกลางคนรู้สึกเย็นสะท้านในใจ ขณะที่กำลังจะอ้าปากอธิบายนั้น ราชาปีศาจสมุทรก็กล่าวคำพูดที่ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป
“เดิมทีกะจะรอให้พวกเจ้ายอมจำนนแล้ว ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ในเมื่อตอนนี้กลับเป็นห่วงร่างกายของข้าถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกทราบซึ้งใจยิ่งนัก ดังนั้นตอนนี้ข้าได้เปลี่ยนความคิดแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเจ้าเล็กน้อย นอกจากเผ่าเจ้าสมุทรที่ต้องสังหารให้สิ้นซากแล้ว เพียงแค่เผ่าปีศาจยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ข้าจะไว้ชีวิต ส่วนมนุษย์และเผ่าอื่นๆ เพียงแค่รับฝ่ามือข้าได้หนึ่งฝ่ามือ ก็จะอนุญาตให้สวามิภักดิ์ข้าได้”
นอกจากเผ่าปีศาจทั้งสองที่แสดงสีหน้าดีใจออกมาแล้ว พอคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พวกเขาแอบกร่นด่าความไร้ยางอายของราชาปีศาจสมุทรอยู่ในใจ
อย่างที่รู้กันว่า ราชาปีศาจสมุทรเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ พลังเวทย์ของเขาหนาแน่นมาก เมื่อเขาควบคุมปราณจิตวิญญาณฟ้าดิน มันเหนือชั้นกว่าผู้คนในนี้มาก
และผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองในเมื่อครู่ ก็ถูกอานุภาพอันน่าหวาดกลัวของฝ่ามือทำให้เสียชีวิตไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ เขาจะให้ทุกคนรับมือเขาโดยตรง มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเล่า
แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจว่า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากออกมาแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเลี่ยง
หากไม่รับฝ่ามือของเขาล่ะก็ คงต้องตายลูกเดียวเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามคงจะลงมือสังหารพวกเขาในทันที
หากรับปากล่ะก็ อาจมีชีวิตรอดก็เป็นได้ ถ้ายังไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร
พอเย่เทียนเหมยได้ยิน ดวงตาแวววาวของนางก็เปล่งประกายออกมา ฝ่ามือที่หดอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นขึ้นมา
หลิ่วหมิงฟังจบก็หน้าเขียวปัดอย่างช่วยไม่ได้
ระดับการฝึกฝนของเขากับราชาปีศาจสมุทรห่างชั้นกันมากนัก ดูเหมือนจะไม่มีหวังในการรับฝ่ามือของราชาสมุทรได้แม้แต่น้อย นอกเสียจากว่า……
“ราชาปีศาจสมุทร ท่านเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ตอนนี้ยังเป็นเจ้ายุทธจักรเพียงหนึ่งเดียว คิดจะใช้วิธีการเช่นนี้ ทำให้พวกข้าลำบากใจหรอกหรือ!” อู่เหยียนกล่าวกับชายหนุ่มชุดขาวด้วยตาที่เป็นประกาย
พอราชาปีศาจสมุทรฟังจบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปากออกมา ชิงฉินที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะออกมาเบาๆ และกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ไหนเลยราชาปีศาจสมุทรจะเคยทำให้ทุกท่านลำบากใจ ฝ่าบาทได้ให้โอกาสทุกท่านแล้ว แต่ทุกท่านกลับแอบคิดไม่ซื่อ ตอนนี้ยังต้องการอะไรอีก?”
“ข้าว่า ฝ่าบาทจัดการคนพวกนี้ให้หมดจะดีกว่า จะได้ลดปัญหาลง!” ชื่อลี่ที่อยู่อีกข้างหัวเราะออกมาเบาๆ และกล่าวออกมา
……………………………………