ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 377 เม็ดโอสถสีดำ
ขณะที่ราชาปีศาจสมุทรมือประกับหลิ่วหมิงนั้น ลี่คุนสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดอยู่ตลอด
ด้วยระดับความรู้และสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างเขา ย่อมมองออกว่ากระบี่เล็กสีทองที่หลิ่วหมิงพ่นออกมาในก่อนหน้านั้น เป็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ใช้ทำกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ
แต่ที่ทำให้ลี่คุนรู้สึกฉงนก็คือ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิง สร้างจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่มาได้อย่างไร ทั้งยังปล่อยอานุภาพออกมาน่าตกใจเช่นนี้!
แต่พอเขาเห็นตัวอ่อนกระบี่โจมตีเสร็จแล้วก็สลายไป ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากตัวอ่อนกระบี่โดยทำลายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าหลิ่วหมิงจะบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถแสดงการโจมตีเช่นนี้ออกมาได้ แม้กระทั่งหลังจากฟื้นตัวกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ก็ไม่อาจพัฒนาการฝึกฝนสายกระบี่ก็เป็นไปได้
มิเช่นนั้น หากฝ่ายตรงข้ามยังแสดงการโจมตีอันน่าตกใจออกมาได้อีก ต่อไปพอเขาเห็นหลิ่วหมิงล่ะก็ จะหลบหนีไปให้ไกลๆ และลืมเรื่องไข่เทพอสูรให้หมดสิ้น
ตอนนี้เจ้าเด็กนี่ล่วงเกินราชาปีศาจสมุทร แม้จะบอกว่าส่งเขาไปขุดเจาะสายแร่กลางทะเลลึกชั่วคราว แต่คนฉลาดต่างก็รู้ดีว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่พูดแน่นอน
บวกกับตอนนี้เขายังเอาตัวรอดได้ยาก ต่อให้จะมีวิธีการใดๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายทำในตอนนี้อย่างแน่นอน
ส่วนสิ่งที่ลี่คุนคิดอยู่ในใจนั้น หลิ่วหมิงย่อมพอคาดเดาได้บ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มบางๆ และไม่อยากไปใส่ใจมัน
เมื่อเจียหลานกับลี่คุนไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงเท่านั้น
เย่เทียนเหมยยืนขมวดคิ้วจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างๆ เขา
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เย่เทียนเหมยก็โบกแขนเสื้อออกไป หลังจากมีแสงเปล่งประกายแวววาว โอสถสีแดงเพลิงที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกก็ปรากฏบนฝ่ามือ
พอโอสถเม็ดนี้ปรากฏออกมา มันก็ส่งกลิ่นไอจิตวิญญาณอันเข้มข้น แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา โดยเฉพาะผิวภายนอกของโอสถมีอักขระหมุนวนอยู่ และเปล่งแสงสีขาวน้ำนมออกมา ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
“รีบทานลงไปเถอะ!”
เย่เทียนเหมยไม่พูดอะไรมาก พอนางดีดนิ้ว โอสถก็กลายเป็นสายลมหอมพุ่งยิงออกไป
หลิ่วหมิงอ้าปากงับโอสถไว้แล้วกลืนลงไป มันกลายเป็นน้ำลายไหลลงไปในท้อง
เย่เทียนเหมยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบฝ่ามือใส่หลังของเขา นางส่งพลังเวทย์บริสุทธิ์เข้าไปทันที หลังจากทำให้โอสถกระจายไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กลายเป็นพลังลึกลับที่ให้ความรู้สึกเย็น พุ่งผ่านไปตามเส้นชีพจร มันทำการรักษาเส้นชีพจรและร่างกายในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่หยุด
เป็นเช่นนี้กลับไปมาหนึ่งรอบ ร่างของเขาที่กระตุ้นพลังเวทย์จนได้รับผลสะท้อนกลับที่ไม่เหมาะสม ก็ถูกควบคุมไว้ได้
หลิ่วหมิงมีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากหันไปมองใบหน้าประณีตงดงามราวภาพวาดของเย่เทียนเหมยทีหนึ่งแล้ว ก็พูดออกมาเบาๆ
“ขอบคุณ!”
จากนั้นเขาก็หลับตาสำรวจดูสถานการณ์ภายในร่าง
ขณะนี้ในเส้นชีพจรมีรอยร้าวปกคลุมอยู่หนาแน่น อวัยวะภายในขยับตำแหน่งเล็กน้อย แม้แต่ทะเลจิตวิญญาณที่มีพลังเวทย์หนาแน่น ก็แห้งเหือดไร้ซึ่งพลังเวทย์ใดๆ
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างขมขื่น มันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก หากไม่ใช่ว่ากายเนื้อของตนเองแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันล่ะก็ คงเสียชีวิตไปนานแล้ว
ตอนนี้มีโอสถของเย่เทียนเหมยช่วยรักษาอาการบาดเจ็บไว้ได้ แต่หากอยากฟื้นฟูกลับมา ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด
แต่พอเขานึกถึงการโจมตีที่มีพลังเหนือความคาดหมายเมื่อครู่ ก็รู้สึกใจสั่นสะท้านขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าการระเบิดตัวของตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง จะทำร้ายระดับแก่นแท้อย่างราชาปีศาจสมุทรได้
แม้จะบอกว่าเป็นการระเบิดของวิญญาณของตัวอ่อนกระบี่ที่ทำลายตัวเอง แต่เขาก็เชื่อว่า ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ระดับผลึกทั่วไป จะกระตุ้นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ให้ระเบิดตัว แต่ไม่สามารถทำร้ายราชาปีศาจสมุทรได้อย่างแน่นอน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งที่บันทึกไว้นี้ล้ำเลิศเป็นอย่างมาก อีกด้านหนึ่งพิสูจน์ได้ว่า ปรมาจารย์ลิ่วยินที่สร้างเคล็ดวิชาขี่กระบี่ปราณแกร่งนี้ มีระดับการฝึกฝนสูง จะต้องไม่ใช่ระดับผลึกอย่างแน่นอน มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่มีระดับการฝึกฝนไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจสมุทร แม้กระทั่งอาจจะอยู่เหนือกว่าระดับแก่นแท้ก็เป็นไปได้
มิเช่นนั้นการโจมตีในก่อนหน้านั้น จะมีอานุภาพมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร
เย่เทียนเหมยจ้องมองหลิ่วหมิงที่ก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างอยู่ แววตาของนางดูเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย พอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิง
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ก็มีเงาร่างสองเงาพุ่งออกมาจากม่านแสงสีฟ้าตรงด้านหลัง
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองด้วยความตกใจ เขาค้นพบว่าผู้ที่มาก็คือชิงฉินกับชื่อลี่นั่นเอง
ชิงฉินจ้องมองทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมา
“พวกเจ้าทั้งสองมัวแต่ทำอะไรอยู่ที่นี่? คิดจะฝืนคำสั่งราชาปีศาจสมุทรหรือ?”
แต่แววตาของเขาในขณะที่กวาดมองหลิ่วหมิงนั้น กลับเผยท่าทีหวาดกลัวออกมา
ประจักษ์ชัดว่ากระบี่ในเมื่อครู่ ประทับอยู่ในหัวเขาอย่างลึกซึ้ง
เย่เทียนเหมยเลิกคิ้ว และจ้องมองทั้งสองอย่างเยือกเย็น แต่ไม่มีท่าทีจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ชิงฉินเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เยือกเย็นขึ้นมา และพูดขู่ทันที
“ทำไม หรือว่าท่านเซียนเย่จะฝ่าฝืน ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
พอกล่าวจบ แรงกดดันมหาศาลก็ถูกปล่อยออกจากร่างของชิงฉิน
ชื่อลี่เผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม เพียงแต่แววตาส่วนลึกที่จ้องมองเย่เทียนเหมย เผยแววเย็นยะเยือกที่ไม่สามารถตรวจจับได้ง่าย
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็แสดงใบหน้าเยือกเย็นออกมา พอขยับนิ้วมือ กระบี่เล็กสีทองก็ปรากฏบนฝ่ามือ
“ไปเถอะ! เพียงแค่มีชีวิตอยู่ ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้”
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันคว้าแขนของนางไว้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ร่างของเย่เทียนเหมยสั่นสะท้าน หลังจากหันไปมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และจ้องมองฝ่ามือบนแขนของตนเองแล้วก็ เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ พยักหน้า
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงได้คลายมือออก และลอยไปยังแสงสีฟ้าตรงด้านหลังโดยไม่ต้องรอให้ชิงฉินกับชื่อลี่พูดอะไรออกมาอีก
เย่เทียนเหมยตามเข้าไปด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นเช่นเดิม
……
ท่ามกลางม่านแสงสีฟ้า ไม่รู้ว่ามีเรือเหาะยาวหลายสิบจั้งปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรือเหาะเป็นสีดำทั้งลำ แสงสีทองจางๆ เปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว แค่มองก็รู้ว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นจำกัดที่ไม่ธรรมดา
“เปิด!”
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังสังเกตเรือเหาะอย่างละเอียดนั้น ไม่รู้ว่ามีแผ่นป้ายขนาดเท่าฝ่ามือ และมีลวดลายปกคลุมไปทั่วปรากฏอยู่บนมือซ้ายชิงฉินตั้งแต่เมื่อไหร่
บนแผ่นป้ายมีเกล็ดหิมะสีฟ้าสลักอยู่ ไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุอันใด มันมีสีฟ้าทั้งตัว ดูเหมือนมีระลอกน้ำหมุนวนอยู่ในนั้น ดูคล้ายๆ กับหินหยก
พอชิงฉินขยับแขน แสงสีฟ้าจางๆ ก็พุ่งยิงออกจากแผ่นป้าย และจมหายไปในแสงสีทองบนผิวเรือเหาะ จุดแสงปรากฏออกมาจากในนั้น และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็กลายเป็นร่องทางเข้า
พริบตาเดียว คนทั้งสี่ก็หายเข้าไปในเรือเหาะ
ผ่านไปซักพัก ทั้งสี่ก็อยู่ในห้องโถงใหญ่บนเรือที่ตกแต่งอย่างประณีต ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวหันหลังให้กับพวกเขา และกำลังจ้องมองภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนอยู่
“ราชาปีศาจสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ คนมาถึงแล้ว!” ชิงฉินกับชื่อลี่ค่อยๆ โค้งตัวแล้วกล่าวออกมา
“พาพวกเขาไปจัดการให้เรียบร้อย ใช่สิ! อย่าได้เสียมารยาทกับท่านเซียนเย่อีก!” ราชาปีศาจสมุทรกล่าวโดยไม่หันหน้ามามองเลย
“ทราบ!”
ชิงฉินกับชื่อลี่โค้งตัวคารวะและตอบรับพร้อมกัน จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันพาเย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงออกไปนอกห้องโถง
พอมาถึงประตู ชื่อลี่กับชิงฉินก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นชื่อลี่ก็พาเย่เทียนเหมยไปยังส่วนหน้าของเรือ
เย่เทียนเหมยเดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันไปดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ใบหน้าดูกังวลเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่กลับส่ายหน้าให้นาง จากนั้นก็ถูกชิงฉินผลักไปยังส่วนท้ายของเรือ
……
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา หลิ่วหมิงถูกพามาในห้องเล็กๆ ที่ค่อนข้างเปลี่ยวหลังหนึ่ง ดูเหมือนข้างในจะมีพื้นที่ไม่กี่จั้งเท่านั้น
มีเก้าอี้เรียบง่ายจัดวางอยู่สองสามตัว รอบด้านล้วนมีไม้กระดานล้อมรอบ พื้นไม้กระดานมีม่านแสงสีน้ำตาลเหลืองปรากฏอยู่ อักขระเล็กๆ จำนวนมากหมุนวนอยู่ในนั้น และแผ่คลื่นสั่นสะเทือนจิตวิญญาณออกมาบางๆ
หลังจากสำรวจดูอย่างไม่ใส่ใจไปหนึ่งรอบแล้ว สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ยังไม่เปลี่ยน แต่กลับยิ้มในใจอย่างขมขื่น
ชั้นจำกัดมากมายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าราชาปีศาจสมุทรต้องการตรวจสอบดูการเคลื่อนไหวของทุกคน โดยไม่กลัวว่าจะถูกทุกคนค้นพบ นิสัยใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเขา สามารถมองเห็นได้จากจุดนี้
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญไปรอบหนึ่งแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และนั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที เขาหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกจากยันต์เก็บของ หลังจากทานเข้าไปแล้ว ก็เริ่มโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บ
ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก หากไม่ระมัดระวัง มีโอกาสเป็นได้สูงว่าระดับการฝึกฝนลดขั้นลงได้
สำหรับเขาในตอนนี้ สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือระงับอาการบาดเจ็บให้ได้ และฟื้นฟูพลังเวทย์มาจำนวนหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังหลับตาโคจรพลังนั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าประตู
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมา และมองไปทางประตู พอมีเงาร่างเคลื่อนไหว ร่างของชิงฉินก็มาปรากฏในห้อง
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงมองมา เขาก็เผยรอยยิ้มดุร้าย และเดินไปตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างช้าๆ ทันใดนั้น เขาก็ขยับแขนขวาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และทุบใส่หน้าท้องหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
“ตุ๊บ!”
ท้องหลิ่วหมิงร้อนขึ้นมา เขารับรู้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาดที่มาจากกำปั้นของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน แม้เขาจะมีกายเนื้อแข็งแกร่ง แต่ก็หน้าซีดขาวลงไปมาก ขณะเดียวกัน เส้นเอ็นก็นูนขึ้นมา เหงื่อเย็นผุดขึ้นตรงหน้าผาก แต่ทว่าเขายังไม่ทันหายจุก ชิงฉินกลับพุ่งกำปั้นเข้ามาอีกทีอย่างไม่ลังเล
“เด็กน้อย รสชาติกำปั้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เขาจ้องมองหลิ่วหมิงที่โค้งตัวงอเป็นกุ้งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ต่อมาเขาค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา โอสถสีดำปรากฏอยู่ในมือ พอกระตุกข้อมือ มันก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งเข้าไปในปากหลิ่วหมิง
จากนั้นมือขวาก็โจมตีอย่างรุนแรง
ภายใต้ความเจ็บปวด หลิ่วหมิงอ้าปากออกมาทันที จากนั้นโอสถก็เข้าไปในท้อง
พอโอสถสีดำเข้าไปในปากก็ละลายทันที จากนั้นกลายเป็นพลังที่มีกลิ่นเหม็นคาว ละลายเข้าไปในอวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว
“เจ้าให้ข้ากินอะไร?”
หลิ่วหมิงพยายามยืนขึ้นมาอีกครั้ง พอรับรู้ถึงสิ่งแปลกๆ ที่อยู่ในร่าง ก็ไม่ได้แสดงท่าทีโมโหออกมา แต่กลับถามด้วยท่าทีที่สงบ
“อีกสักครู่ เจ้าก็จะรู้เอง!” ชิงฉินเห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
……………………………………