ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 380 ผู้พิทักษ์
พอหลิ่วหมิงเดินตามชายฉกรรจ์ชุดดำเข้าไปในสิ่งก่อสร้างสีครามแล้ว ก็ค้นพบว่าข้างในไม่ค่อยใหญ่มาก แต่กลับกว้างโล่ง ใจกลางห้องมีแท่นสูงที่ถูกม่านแสงสีขาวปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา
บริเวณรอบๆ แท่นสูง มีเสาหินตั้งตระหง่านอยู่สี่เสา แต่ละเสาล้วนมีผลึกหินสีดำฝังอยู่เป็นจำนวนมาก มีอักขระหมุนวนอยู่บนพื้นผิว
แท่นสูงนี้เป็นค่ายกลส่งตัวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ
พอทั้งสองเข้าไปในแท่นสูงแล้ว ชายฉกรรจ์ชุดดำก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว มีเสียงดังเบาๆ มาจากค่ายกล และเปล่งแสงแสบตาออกมาจนสว่างไปทั้งห้อง จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงปกคลุมทั้งสองไว้
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนภายในม่านแสง เมื่อแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ร่างของทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เฮ่อๆ! ถึงแล้วเจ้าเด็กน้อย ต่อไปเจ้าก็เสวยสุขอยู่ที่นี่เถอะ!”
หลิ่วหมิงสังเกตดูบริเวณรอบๆ พอได้ยินเสียงหัวเราะของชายฉกรรจ์ชุดดำ ก็รู้สึกเย็นสะท้าน แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ในระหว่างที่ชายฉกรรจ์ชุดดำกล่าวออกมานั้น ทั้งสองก็เดินออกมาจากค่ายกลส่งตัว แต่พริบตาที่เท้าสัมผัสพื้น สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปมาก
เพราะในขณะที่ออกจากค่ายกลนั้น พลันรู้สึกถึงเสียงดัง “ฟู่!” ภายในร่าง กลุ่มแสงสีเลือดที่ซ่อนอยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ พ่นไหมโลหิตที่ดูคล้ายกับเส้นผมจำนวนมากออกมา มันน่าดูน่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มทะเลจิตวิญญาณไว้อย่างหนาแน่น จนไม่สามารถกระตุ้นพลังได้เลยแม้แต่น้อย
พอชายฉกรรจ์ชุดดำเห็นสีหน้าตื่นตกใจของเขา กลับหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น เหมือนกับว่าจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
สีหน้าหลิ่วหมิงดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เขาได้แต่เดินตามชายฉกรรจ์ชุดดำไป หลังจากเลี้ยวไปมาสองสามรอบ ก็มาถึงทางเดินสายหนึ่ง
ทั้งสองเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากด้านหน้า จากนั้นผู้พิทักษ์สวมชุดทะมัดทะแมงสีดำเจ็ดแปดคนก็มองมาทางด้านนี้ ใบหน้าของพวกเขามีลวดลายสีเงินประทับอยู่
ผู้พิทักษ์แต่ละคนมีสีหน้าดุร้าย พอพวกเขาค้นพบการเคลื่อนไหวในด้านนี้ ก็รีบจับอาวุธแล้วรีบมาดู
“คิดจะทำอะไร!”
พอชายฉกรรจ์ชุดดำเห็นท่าทีของคนเหล่านี้ ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที กลิ่นไอแข็งแกร่งบนตัวประทุออกมาในพริบตา จนก่อเป็นคลื่นอากาศแผ่ขยายไปรอบด้าน
พอผู้พิทักษ์ได้ยินเสียงของชายฉกรรจ์ชุดดำ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าดุร้ายหายไป และยืนนิ่งอยู่ในระยะหลายจั้ง
ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในนั้น คารวะชายฉกรรจ์ชุดดำแล้วกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นท่านเจียวฉาน ขอท่านโปรดอภัย! พวกข้ารออยู่นานแล้ว เชิญท่านสั่งการได้!”
“ฮึ! ข้าไม่ได้มาที่นี่แค่ไม่นาน พวกเจ้าก็อ่อนระโหยโรยแรงถึงเพียงนี้ หากครั้งหน้ายังพูดแบบนี้อีก อย่าข้าว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เห็นผู้พิทักษ์ยินยอมปฏิบัติตามเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ชุดดำก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา และเก็บกลิ่นไออันแข็งแกร่งเข้าไป
หลิ่วหมิงสังเกตผู้พิทักษ์เหล่านี้เงียบๆ และค้นพบว่าพวกเขามีระดับการฝึกฝนไม่ค่อยสูงมากนัก ส่วนมากจะอยู่ที่ระดับของเหลว คนที่เป็นหัวหน้าคงมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
ชายฉกรรจ์ชุดดำพูดอะไรต่ออีกเล็กน้อย เมื่อคนที่เป็นหัวหน้ากล่าวตอบรับแล้ว ก็มองหลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย “นายท่าน คนนี้คือทาสเหมืองแร่ที่มาใหม่ใช่ไหม ให้จัดการเหมือนเดิมหรือไม่?”
ขณะนี้ ชายฉกรรจ์ชุดดำกลับส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ได้ เจ้าเด็กนี่เป็นคนที่ราชาปีศาจสมุทรส่งมาไว้ หลังจากอธิบายกฎให้เขาฟังแล้ว ก็ส่งไปในถ้ำเหมืองแร่ก็พอ”
พอผู้พิทักษ์คนนั้นได้ยิน ก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมา แต่กลับพยักหน้าตอบรับโดยไม่กล้าคัดค้าน
เมื่อชายฉกรรจ์เดินมาข้างตัวหลิ่วหมิง และเตรียมจะพูดอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ดังมาจากเอว เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พอพลิกฝ่ามือ สิ่งของที่มีแสงสีขาวน้ำนมก็ปรากฏในมือ
พอหลิ่วหมิงมองออกไป ก็มองเห็นแผ่นค่ายกลรูปกลมรีที่สร้างมาจากหยก มันดูแวววาวมาก มีลวดลายลึกลับประทับอยู่บนพื้นผิว และแผ่คลื่นสั่นสะเทือนเบาๆ
หลังจากชายฉกรรจ์ชุดดำหยิบแผ่นค่ายกลออกมาแล้วก็มองมันทีหนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน พอพูดกำชับไปสองสามประโยคแล้ว ก็เดินเข้าไปในค่ายกลส่งตัวอีกครั้ง และกระพริบหายไป
พอผู้พิทักษ์ที่เป็นหัวหน้าเห็นชายฉกรรจ์ชุดดำจากไปแล้ว สีหน้านอบน้อมก็หายไปทันที เขาหันกลับไปมองหลิ่วหมิงที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งด้วยสีหน้าดุร้ายเช่นเดิม
“นำเขาไป!”
พอผู้พิทักษ์โบกมือ ก็มีเงาร่างสองเงาเคลื่อนไหวข้างตัวของเขา และมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันก็จับไหล่หลิ่วหมิงไว้แน่น พอออกแรงที่นิ้วทั้งห้า หลิ่วหมิงก็รู้สึกเย็นยะเยือกราวกับว่ามันเป็นตะขอเหล็ก
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องจัดการตามกฎจริงๆ หรือ?”
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่จับตัวหลิ่วหมิงไว้ หันมากล่าวกับหัวหน้าผู้พิทักษ์อย่างระมัดระวัง
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงแววตาลังเลออกมา แต่กลับพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแบบผ่านๆ อย่าให้เลยขอบเขตจนเกินไป เพราะคนผู้นี้เป็นคนที่ราชาปีศาจสมุทรได้เลือกไว้ พวกเราระวังไว้จะดีที่สุด พอเขาอยู่ด้านล่างนานพอ ก็จะยอมมอบของดีบนตัวให้พวกเราเอง”
เสียงหัวเราะของคนที่เป็นหัวหน้ายังไม่ทันสิ้นสุด ผู้พิทักษ์ทั้งสองที่จับหลิ่วหมิงไว้ ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปค้นตัวหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาไม่มีพลังเวทย์เหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงไม่กล้าทำการต่อต้านใดๆ แต่ดวงตากลับฉายแววเยือกเย็นออกมา เขาแอบจดจำใบหน้าของคนเหล่านี้ไว้
ผ่านไปสักพัก หนึ่งในนั้นก็ค้นเจอกระบี่จันทราทองคำในแขนเสื้อของหลิ่วหมิง
เขาจับกระบี่จันทราทองคำไว้ในมือ และสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ จนก่อเกิดเสียงดังลั่นขึ้นมา ตัวกระบี่เปล่งแสงจางๆ และไอจิตวิญญาณอันเข้มข้นออกมา แค่มองก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดา
ผู้ที่เป็นหัวหน้าเห็นเช่นนี้ ก็เบิกตากว้าง และแย่งกระบี่จันทราทองคำจากมือผู้พิทักษ์คนนั้นมา หลังจากจับเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ก็เผยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่ง ผู้พิทักษ์สองคนที่จับตัวหลิ่วหมิงอยู่ ก็ค้นตัวหลิ่วหมิงต่ออย่างรวดเร็ว
ผ่านไปซักพัก อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำถึงกลางที่เขาได้มาจากการสังหารคู่ต่อสู้ ยันต์จิตวิญญาณ โอสถ รวมไปถึงเกราะหนังมังกรแดงที่สวมอยู่ก็ถูกค้นออกมา
พอผู้ที่เป็นหัวหน้าเห็นเกราะหนังมังกรแดง ก็ใช้กระบี่จันทราหยกในมือกรีดลงบนนั้น
“เต๊งๆ!”
พริบตาที่กระบี่จันทราทองคำปะทะกับเกราะหนังมังกรแดง มันส่งเสียงโลหะกระทบกันดังออกมา และทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ บนเกราะหนังเท่านั้น
“สมบัติอย่างดี! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมีของดีมากถึงเพียงนี้!”
ผู้พิทักษ์เหล่านี้จ้องมองกระบี่จันทราทองคำกับเกราะหนังมังกรแดงในมือของชายวัยกลางคนด้วยความตื่นเต้น แววตาของพวกเขาดูละโมบขึ้นมา
หลังจากที่พวกเขาค้นอย่างขะมักเขม้น ผลึกกลมๆ ย่อส่วนที่ได้มาจากเหยียนเจวี๋ย กับยันต์เก็บของที่เก็บวัสดุล้ำค่าก็ถูกค้นออกมา
แต่หลังจากที่พวกเขาใช้พลังจิตกวาดดูหัวบินกับแมงป่องกระดูกที่อยู่ตรงเอวแล้ว กลับไม่ได้สนใจพวกมันเลย
จากนั้น พวกเขาก็แบ่งสิ่งของที่ค้นออกมาได้ต่อหน้าต่อตาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นคนเหล่านี้แย่งสิ่งของจนหน้าดำหน้าแดง เขาก็ยิ้มในใจอย่างเยือกเย็น หลังจากที่ส่งพลังจิตกวาดดูหอยสังข์ย่อส่วนที่ซ่อนอยู่บนแขนแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
โชคดีที่โซ่ตรวนสะกดวิญญาณ ทรายทองคำร่วง โล่เก้ากะโหลก และสิ่งของล้ำค่าอื่นๆ ต่างก็ถูกซ่อนอยู่ในนั้น ด้วยระดับการฝึกฝนของพวกเขา ไม่สามารถค้นพบมันได้
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ผู้พิทักษ์เหล่านั้นก็แบ่งสมบัติกันเสร็จ ผู้ที่เป็นหัวหน้าเดินมาหาหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่ได้สมบัติจากหลิ่วหมิงมามากมายถึงเพียงนี้ เขาจึงไม่ได้สร้างความลำบากใจให้หลิ่วหมิงอีก แต่กลับค่อยๆ โบกแขน จากนั้นกระบี่เหล็กสีดำที่ยาวฉื่อกว่าๆ และมีกลิ่นไอค่อนข้างอ่อน ก็ปรากฏในมือของเขา และโยนมาทางหลิ่วหมิง
“เฮ่อๆ! อย่าบอกว่าพวกข้าให้เจ้าเข้าถ้ำเหมืองแร่ตัวเปล่าล่ะ ด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้ อาวุธจิตวิญญาณระดับนี้ก็เพียงพอที่จะใช้ป้องกันตัวแล้ว”
หลิ่วหมิงรับกระบี่เหล็กไว้ เพียงแค่กวาดตาดูก็รู้ว่ามันเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น หลังจากเลิกหางคิ้วขึ้น เขาก็เก็บกระบี่เข้าไปด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
จากนั้นหัวหน้าผู้พิทักษ์ ก็หยิบธงสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากตัว และร่ายคาถาออกมาเบาๆ
ธงที่ราบเรียบพลันเปล่งแสงแสบตาออกมา
หัวหน้าผู้พิทักษ์ค่อยๆ แกว่งมันเบาๆ ทันใดนั้น ไอหมอกสีดำก็พวยพุ่งออกมา และม้วนตัวห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้
สายตาหลิ่วหมิงมืดลงทันที มีเสียงพายุดังขึ้นข้างหู เขารับรู้ได้ลางๆ ว่าเท้าทั้งสองค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นก็ถูกผู้พิทักษ์ทั้งสองพาเหาะไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกว่าเสียงพายุข้างหูหยุดลง มือทั้งสี่ที่จับตัวเขาอยู่ก็คลายออกมา ไอดำตรงหน้ากระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง ตอนนี้เขาค้นพบว่าตนเองอยู่บริเวณถ้ำสีดำขนาดใหญ่ ดูเหมือนรอบด้านจะมืดสลัวมาก แต่ความชื้นในอากาศมีมากกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
หรือว่าหลิ่วหมิงจะอยู่ในส่วนที่ลึกลงไป
เขาคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว และกวาดสายตามองดูรอบด้าน
ภายในถ้ำมีไอหมอกสีดำจางๆ ล่องลอยอยู่ ข้างในลึกมาก มีพื้นที่ราวๆ สามสิบถึงสี่สิบจั้ง พื้นบริเวณรอบๆ เป็นสีดำมืด และมีอักขระเล็กๆ สลักอยู่บริเวณรอบๆ
หน้าปากถ้ำมีอสูรยักษ์ไม่ทราบชื่อที่มีหนามเต็มตัวนอนหมอบอยู่
อสูรยักษ์ตนนี้มีรูปร่างอัปลักษณ์ มีหัวเป็นหมูร่างเป็นช้าง มีขนาดราวๆ สิบจั้ง มองดูไกลๆ ดูคล้ายเขาลูกเล็กๆ หนามรอบตัวมันงอกออกมาราวกับกระดูก มีสีขาวเงิน และเปล่งแสงเย็นสะท้านออกมา ดูเหมือนมันจะสามารถแทงทะลุทุกสิ่งได้
แม้อสูรตนนี้จะหลับตาสนิท และนอนไม่ขยับเขยื้อน แต่ในขณะที่มันหายใจกลับแผ่กลิ่นไอที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึก
พอหลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสเล็กน้อย ก็รู้สึกเย็นสะท้าน
นอกจากนี้ บริเวณถ้ำยักษ์ยังมีหุ่นมนุษย์สิบสองตัวยืนก่อตัวเป็นค่ายกลประหลาดๆ
หุ่นเหล่านี้สูงใหญ่มาก สูงราวๆ คนสองคนต่อตัวกัน พวกมันสวมชุดเกราะที่ดูแวววาวราวกับหยก ในมือถือขวานสองคมที่เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ พวกมันยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และเปล่งแสงสีฟ้าออกมา
พอมองดูอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าผิวของเสื้อเกราะเหล่านี้ มีเส้นสีทองที่ดูคล้ายเส้นผมจำนวนมาก เส้นเหล่านี้ปกคลุมอยู่บนอักขระ และก่อตัวเป็นค่ายกลมหัศจรรย์ เห็นได้ชัดว่ามันดูลึกลับเป็นอย่างมาก
……………………………………