ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 381 ผู้อาวุโสในถ้ำเหมืองแร่
หลิ่วหมิงละสายตากลับมา หลังจากเรียกสติกลับมาได้ ก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
เพราะเขาค้นพบว่า ข้างกายของเขานอกจากจะมีหัวหน้าผู้พิทักษ์ระดับของเหลวขั้นปลายที่เขาเห็นในก่อนหน้ากับผู้พิทักษ์อีกสองคนที่จับตัวเขาแล้ว ด้านหน้ายังมีผู้อาวุโสผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่คนหนึ่ง
ผมของผู้อาวุโสเป็นสีขาวเงิน สวมชุดคลุมค่อนข้างเก่า รอยย่นปรากฏเต็มใบหน้า มีรอยแผลเป็นตรงแก้มทั้งสองด้าน ดวงตาที่ดูขุ่นมัวค่อยๆ หรี่ลง เขาดูเหมือนวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่พลังชีวิตที่แผ่ออกมาแข็งแกร่งยิ่งนัก
ผู้อาวุโสยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาดูกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบด้าน และพลังจิตของหลิ่วหมิงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีการฝึกฝนอยู่ระดับใด
ขณะที่หลิ่วหมิงมองคนผู้นี้อย่างละเอียดนั้น หัวหน้าผู้พิทักษ์ก็ค่อยๆ เดินไปข้างผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม และค่อยๆ โน้มตัวพูดอะไรบางอย่างกับผู้อาวุโสเบาๆ
ผู้อาวุโสลืมตามองมาทางหลิ่วหมิงทันที ดวงตาของเขาเผยแววประหลาดใจออกมา และพยักหน้าเบาๆ จากนั้นผู้พิทักษ์ทั้งสามก็รีบจากไปอย่างนอบน้อม
ขณะนี้จึงเหลือแค่หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสเท่านั้น
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมราชาปีศาจสมุทรถึงส่งเจ้ามาที่นี่ แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว ชีวิตของเจ้าก็อยู่ในกำมือของข้า จุดนี้เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
เสียงของผู้อาวุโสไม่ดังมาก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงกลับแสดงสีหน้าเฉยๆ ออกมา แม้แต่ตาก็ไม่กระพริบ
ผู้อาวุโสเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้โมโหอะไร และกล่าวต่อทันที
“เป็นทาสเหมืองแร่อยู่ที่นี่ มีกฎแค่สองข้อเท่านั้น หนึ่งอย่าได้คิดหนี มิเช่นนั้นถ้าถูกจับได้จะต้องตายทันที ไม่มีการโอบอ้อมอารีโดยเด็ดขาด สอง ทุกเดือนจะต้องส่งหินแร่ตามจำนวนที่กำหนด เพื่อนำมาแลกกับโอสถถอนพิษราชาปีศาจสมุทร มิเช่นนั้นพิษจะกำเริบจนเสียชีวิตภายในสามวัน”
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘โอสถถอนพิษราชาปีศาจสมุทร’ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้เขาถึงรู้ชื่อของโอสถสีดำ ฟังจากคำพูดของผู้อาวุโส โอสถถอนพิษที่พูดถึง มันแค่ช่วยระงับอาการไว้เท่านั้น
พอผู้อาวุโสกล่าวจบ และเห็นหลิ่วหมิงมีสีหน้าครุ่นคิด จึงถามออกมาทันที “มีตรงไหนที่เจ้าไม่เข้าใจหรือไม่?”
หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“หากข้าสามารถหาหินแร่มาได้มากกว่าที่กำหนด จะเป็นอย่างไร?”
ผู้อาวุโสได้ยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หากเจ้าหาหินแร่มาได้มากกว่าที่กำหนด ก็สามารถนำมาแลกของดีที่ข้าได้ แม้ว่าจะเป็นทาส ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายได้ แต่ก่อนอื่นเจ้าหาวิธีอยู่ให้พ้นเดือนแรกก่อนเถอะ!”
พอผู้อาวุโสกล่าวจบก็ไม่รอความคิดเห็นจากหลิ่วหมิง เขาหยิบแผ่นค่ายกลที่มีแสงสีเงินออกมาจากอก มันมีขนาดเท่าสองฝ่ามือ มีอักขระจำนวนมากสลักอยู่บนนั้น
ผู้อาวุโสตบลงบนแผ่นค่ายกล และร่ายคาถาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน มือขวาก็ยกแผ่นค่ายกลขึ้นมา และส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้น
แผ่นกลมๆ เปล่งประกายแสงแสบตาออกมา
มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากม่านแสงสีฟ้าครึ่งวงกลมที่ปกคลุมปากถ้ำ
พื้นดินบริเวณนั้นเริ่มสั่นไหว แสงสีเงินระยิบระยับ จากนั้นค่ายกลอักขระก็หมุนวนออกมาท่ามกลางแสงสีฟ้า
“เปิด!”
ผู้อาวุโสตะคอกเบาๆ และยกแขนปล่อยวิชาใส่ค่ายกลอักขระ
ระลอกคลื่นสีเงินจางๆ ที่ปรากฏออกมานอกค่ายกล เริ่มมีรอยร้าวปรากฏออกมา
พอผู้อาวุโสสะบัดแขนเสื้อพลังอันมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านจากนั้นก็ถูกพลังมหาศาลผลักไปในค่ายกล
พอดวงตาของเขามืดลง ร่างของเขาก็ตกลงไปด้านล่างอยู่ไม่หยุด
……
ขณะเดียวกัน ภายในพระราชวังใต้ทะเล
ราชาปีศาจสมุทรที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ?” ราชาปีศาจสมุทรถามอย่างราบเรียบ
ดูเหมือนลี่คุนจะรู้แต่แรกแล้วว่าราชาปีศาจสมุทรจะต้องถามเช่นนี้ เขาจึงพูดยืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ราชวงศ์ชังไห่ได้เปลือกที่ท่านสลัดออกไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้กำลังวางแผนแสดง ‘วิชาเจ็ดดาราชิงวิญญาณ’ เพื่อลอยทำร้ายเจ็ดจิต-หกวิญญาณของท่าน”
“เฮ่อๆ! โชคดีที่เฒ่าประหลาดเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ยังหาวิชานี้พบ!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวได้ยินคำว่า ‘วิชาเจ็ดดาราชิงวิญญาณ’ ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
วิชาต้องห้ามโบราณนี้ เขาเคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่เงื่อนไขการแสดงวิชานี้โหดร้ายยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ต้องรวบรวมผู้แข็งแกร่งระดับผลึกให้ครบเจ็ดคน ยังต้องใช้สิ่งที่เชื่อมต่อกับสายเลือดของผู้ที่แสดงวิชา และยังต้องใช้วัสดุล้ำค่าจำนวนมากถึงสามารถแสดงออกมาได้
และวิชาต้องห้ามนี้ได้หายสายสูญไปจากเขตทะเลชังไห่หลายปีแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าทางด้านราชวงศ์ชังไห่ได้วิชานี้มาได้อย่างไร และเตรียมการไปถึงขั้นไหน แต่ในเมื่อลี่คุนพูดออกมา ก็ใช่ว่าจะไม่มีมูลเอาเสียเลย
ราชาปีศาจสมุทรครุ่นคิดอยู่ในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป จากนั้นก็ถามลี่คุนต่อ
“เจ้ายังมีเรื่องอื่นที่ไม่ได้บอกข้าหรือไม่?”
พอลี่คุนรับรู้ถึงสายตาอันเยือกเย็นก็รีบ เอ่ยปากด้วยใจที่สั่นสะท้าน
“ตามที่ข้าทราบมา วันที่ราชวงศ์ชังไห่เตรียมสู้รบขั้นเด็ดขาดกับท่าน พวกเขาจะแสดงวิชานี้ในฉับพลัน และหลังจากพลังของท่านลดน้อยลง ก็จะสังหารท่านทันที เป็นเพราะข้าไม่ได้มีสายเลือดของราชวงศ์ชังไห่ จึงรู้เพียงแค่นี้”
“รอถึงวันสู้รบขั้นเด็ดขาดถึงลอบทำร้ายข้า! พวกเขาช่างคิดหาวิธีการได้ดีจริงๆ!” ราชาปีศาจสมุทรทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ลี่คุนก็ถอยออกไปจากพระราชวังอย่างนอบน้อม
ราชาปีศาจสมุทรจ้องมองหลังของลี่คุนด้วยแววตาเยือกเย็น
ไม่รู้ว่าชิงฉินมาปรากฏตัวอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และถามออกมาด้วยสีหน้ากังวล
“ฝ่าบาท หากที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริง ท่านมีแผนการรับมืออย่างไร?”
“วางใจเถอะ ข้ามีแผนในใจ วิชาต้องห้ามเช่นนี้ไหนเลยจะแสดงได้โดยง่าย? ต่อให้จะแสดงออกมาได้ ข้าเองก็ย่อมมีวิธีรับมือ”
ได้ยินราชาปีศาจสมุทรกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้ ชิงฉินถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
“ราชาปีศาจสมุทร คนมาถึงแล้ว!”
ขณะที่ชิงฉินกับราชาปีศาจสมุทรกำลังพูดคุยอยู่นั้น เสียงชื่อลี่ก็ดังแทรกเข้ามา
พอเสียงสิ้นสุดลง ราชาปีศาจสมุทรก็เห็นชื่อลี่ที่สวมชุดสีแดงทั้งตัว กำลังพาเย่เทียนเหมยเข้ามาในห้องโถง
ขณะนี้เย่เทียนเหมยได้เปลี่ยนมาสวมชุดที่มีลวดลายเมฆาวารี ท่าทางฮึกเหิม ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายทำให้ดูงดงามขึ้นมามาก แต่สีหน้ายังคงเยือกเย็นเช่นเดิม นางมีท่าทีที่ทำให้คนอยากออกห่างไปพันลี้
ราชาปีศาจสมุทรเห็นเย่เทียนเหมยมาถึง ก็ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น จากนั้นก็โบกมือเพื่อบ่งบอกให้ชิงฉินกับชื่อลี่ถอยออกไป
“ท่านราชาปีศาจสมุทร ข้าน้อยทูลลา!”
ชิงฉินเห็นเช่นนี้ก็รับรู้ได้ทันที เขาตอบรับอย่างไม่ลังเล พอเห็นชื่อลี่มีท่าทีลังเล ก็รีบส่งสายตาให้กับนาง จากนั้นก็พานางออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว
เย่เทียนเหมยยืนห่างจากราชาปีศาจสมุทรสามจั้ง นางจ้องมองชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวตรงหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
พอราชาปีศาจสมุทรเห็นใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวตรงหน้า ก็แสดงสีหน้าชื่นชมออกมา
“ไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ ท่านพอใจห้องที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้หรือไม่?” ผ่านไปซักพัก ราชาปีศาจสมุทรก็เป็นคนทำลายความเงียบในห้องก่อน น้ำเสียงดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก
……………………………………