ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 392 อสูรโฉด
ด้วยระดับความรู้ในการปรุงโอสถของหลิ่วหมิง หากรู้ส่วนประกอบที่แท้จริงของโอสถนี้ ก็ใช่ว่าจะหาวิธีถอนพิษไม่ได้
ขณะที่นั่งสมาธิในเมื่อครู่ เขาได้ใช้จิตกวาดดูข้างใน แม้จะค้นพบว่าไอหมอกดำกัดเซาะเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ตอนนี้มันยังไม่ได้เริ่มกำเริบขึ้นมาจริงๆ
ตอนนี้เขามีโอสถถอนพิษสามเม็ด แม้จะบอกว่ามีฤทธิ์แค่เจ็ดวัน แต่เมื่อหักลบเวลาในการเดินทางกลับสองวันแล้วยังมีเวลาเหลืออีกห้าวัน ซึ่งเพียงพอสำหรับเขาแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็นำโอสถสีดำไปวางบนหน้าผากทันที และเตรียมใช้พลังจิตตรวจสอบดูส่วนประกอบของมัน
เมื่อเขาปล่อยพลังจิตส่วนหนึ่งเข้าไปในนั้น ก็รับรู้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณที่ปรากฏขาดๆ หายๆ ได้อย่างชัดเจน แต่โอสถกลับไม่มีอะไรผิดปกติเลย
หลิ่วหมิงหน้านิ่งเล็กน้อย จากนั้นก็ควบคุมพลังจิตตรวจสอบโอสถอย่างช้าๆ ไม่นานก็รับรู้ถึงพลังสกัดกั้นที่มาจากแกนกลางของโอสถ
พลังจิตของเขาไม่สามารถเข้าไปในโอสถได้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย พลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่าพุ่งออกมาปกคลุมโอสถบนหน้าผากไว้ และพยายามเข้าไปในนั้นให้ได้
ขณะเดียวกัน เรื่องราวอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น
พอโอสถสีดำมีปฏิกิริยาตอบกลับเล็กน้อย พลังสกัดกั้นก็เพิ่มมากขึ้น พริบตาที่มันไม่สามารถต้านทานพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงได้ มันก็เปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที เขาโยนโอสถบนหน้าผากออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
พอโอสถสีดำถูกโยนออกไปจั้งกว่าๆ ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ดังออกมา จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นควันสีเทา และอันตรธานหายไป
พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ดูหน้าเสียเล็กน้อย
ดูท่าราชาปีศาจสมุทรคงจะวางชั้นจำกัดลึกลับบางอย่างไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นทำการแก้ไขได้ พอถูกคนพยายามใช้พลังจิตกระตุ้น มันก็จะระเบิดตัวในทันที
หลิ่วหมิงมีสีหน้าหม่นหมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบถ้วยหยกเล็กๆ ออกมาหนึ่งใบแล้วโยนไปด้านหน้าพร้อมกับร่ายคาถาออกมา เขาปล่อยวิชาใส่ถ้วยหยกติดต่อกัน
ถ้วยหยกเปล่งแสงสีขาวออกมา ไม่นานก็ค่อยๆ หมุนวนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น พอจุดแสงสีฟ้าปรากฏออกมา มันก็ก่อตัวเป็นหยดวารีและจมหายไปในถ้วยหยก
เขาใช้นิ้วคีบโอสถสีดำออกมาอีกเม็ด และใส่ลงไปในถ้วยหยก จากนั้นก็แตะลงบนโอสถ
แต่พอโอสถสีดำเข้าไปในถ้วยหยก มันก็ลอยอยู่บนน้ำ และหมุนวนไปตามถ้วยหยก ทั้งยังเปล่งแสงสีแดงออกมา ราวกับกำลังขานรับถ้วยหยกอยู่ ไม่นานม่านแสงสีขาวก็ปกคลุมถ้วยหยกไว้
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เสียงร่ายคาถาหยุดลง นิ้วที่แตะอยู่จมลงไป และตะโกนคำว่า “แยก” ออกมา
ถ้วยเล็กๆ สั่นสะท้าน และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาทันที โอสถบนผิวน้ำเกิดการละลายในทันที บางส่วนเปล่งแสงออกมารำไร ของเหลวสีเขียวกับสีแดงซึมออกมา และพอสัมผัสกับน้ำ มันก็ก่อตัวเป็นสิ่งที่มีสภาพคล้ายกับใยฝ้ายสีน้ำตาลดำ และส่งกลิ่นคาวออกมาจางๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขารีบใช้พลังจิตกวาดดูทันที ขณะเดียวกันก็ตรวจดูสิ่งที่จดจำไว้ในสมองทั้งหมดไปหนึ่งรอบ เขาค้นพบว่าใยฝ้ายสีน้ำตาลดำนี้คือวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ไหมอวี้หยิน’ และในหยดของเหลวสีเขียวกับสีแดงก็มีวัตถุดิบที่ชื่อว่า ‘เกลือป่นเขียว’ กับ ‘หินน้ำมันแดง’ อยู่ในนั้น
ไหมอวี้หยินเป็นวัตถุดิบธาตุหยินที่มีพิษแฝงอยู่ในจำนวนที่แน่นอน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถปรุงเป็นโอสถที่มีผลในการเพิ่มพลังให้กับผู้ที่ฝึกฝนวิชาธาตุหยินได้
สำหรับวัตถุดิบทั้งสองในตอนท้าย กลับเป็นเป็นวัตถุดิบปรุงโอสถที่พบเจอได้ค่อนข้างบ่อย
ขณะที่เขาเตรียมกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อแยกแยะส่วนประกอบของโอสถนั้น กลับค้นพบว่าแสงสีแดงบนพื้นผิวของมันเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ทำให้ถ้วยหยกค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น และดึงนิ้วกลับมาทันที มือข้างหนึ่งหยิบถ้วยหยกขึ้นมา จากนั้นก็เททิ้งด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา โอสถสีดำที่ยังอยู่กลางอากาศก็ก็ระเบิดออกมาเหมือนก่อนหน้านั้น
เวลาแค่ไม่นาน โอสถถอนพิษราชาปีศาจสมุทรทั้งสองเม็ด ก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ต่อให้เป็นหลิ่วหมิงก็ต้องรู้สึกท้อใจเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่ว่าแร่หินที่ใช้แลกโอสถถอนพิษทั้งสองนั้น เขาชิงมาจากคนอื่นล่ะก็ เกรงว่าคงต้องหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถเม็ดสุดท้ายในมือด้วยความลังเล
หากเขารีบทานลงไป ก็รับรองได้ว่าในช่วงหนึ่งเดือนนี้เขาจะไม่เป็นอะไร แต่มันกลับช่วยขับพิษได้ไม่มาก
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือหาวิธีจัดการชั้นจำกัดทั้งสองที่อยู่ในร่าง ซึ่งเขาไม่อยากถูกคุมขังอยู่ที่นี่
พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเสร็จแล้ว ก็ดึงจิตกลับมา เขากัดฟันเสี่ยงอันตรายโดยยังไม่ทานโอสถในทันที
หลังจากเก็บโอสถเข้าไปแล้ว เขาก็นั่งสมาธิต่อ ด้านหนึ่งเขาใช้หินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวทย์ อีกด้านหนึ่งก็ใช้จิตตรวจสอบภายในร่างอยู่เป็นระยะๆ เพื่อดูการเคลื่อนไหวของไอหมอกดำ
หนึ่งคืนผ่านไป
ตอนเที่ยงของวันถัดมา หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พริบตาเดียวก็ต้องงอตัวอย่างฉับพลัน สีหน้าซีดขาวผิดปกติ มือข้างหนึ่งกดท้องไว้แน่น เขารู้สึกเจ็บปวดอวัยวะภายในราวกับถูกเจาะ เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดออกมาบนหน้าผาก
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ต่อให้หลิ่วหมิงจะเป็นคนทรหดแค่ไหน ก็รู้สึกรับไม่ไหวอยู่ดี
ขณะที่เขาพยายามระงับอากาศเจ็บปวดนั้น ก็ได้ส่งจิตกวาดดูภายในร่างอีกครั้ง เขาค้นพบว่าไอหมอกดำบนอวัยวะภายในหนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นมาก การกัดเซาะก็น่ากลัวมากกว่าเดิม ขณะเดียวกันมันก็เริ่มกลืนกินโลหิตภายในร่าง
หลิ่วหมิงกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด และคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว หลังจากจดจำสถานการณ์ภายในร่างแล้ว ถึงรีบหยิบโอสถถอนพิษออกมาทาน
พอโอสถเข้าไปในลำคอ มันก็กลายเป็นลูกไฟกลมๆ หล่นลงไปในท้อง ต่อมาก็กลายเป็นสีต่างๆ ที่มีพลังแตกต่างกัน และไหลไปยังไอหมอกดำ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป
หลังจากสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปพักหนึ่ง เขาก็ลืมตาทั้งคู่ และถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
หลังจากกลืนโอสถถอนพิษเม็ดนั้นเข้าไปแล้ว มันก็สามารถระงับพิษไว้ได้
ด้วยเหตุนี้ แม้หลิ่วหมิงจะแยกแยะส่วนประกอบอีกสองชนิดในโอสถถอนพิษได้ ซึ่งก็คือ ‘หรงเหยียน’ กับ ‘เหนาอวี้’ แต่เขากลับไม่สามารถรู้ที่มาของส่วนประกอบที่เหลือได้
หลังจากผ่านความเจ็บปวดทรมานไปหนึ่งรอบ ทำให้อาการบาดเจ็บภายในร่างสาหัสกว่าเดิม โลหิตก็สูญเสียไปไม่ใช่น้อย
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ หลิ่วหมิงได้แต่กลืนโอสถลงไปหลายเม็ด และหยิบหินจิตวิญญาณออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาหลายก้อน จากนั้นก็เริ่มนั่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บ
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ทันใดนั้นแมงป่องกระดูกที่อยู่หน้าถ้ำ ก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา
หลิ่วหมิงลืมตาด้วยความตกใจ และปล่อยพลังจิตออกไปดูนอกถ้ำ แต่แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ฟู่!”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วกลายเป็นเงาร่างกระโจนออกไปนอกถ้ำทันที
ขณะที่ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏบนทางเดินนั้น ดวงตาทั้งคู่กลับเขม้นมองทางเดินที่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไม่รู้ว่ามีไอหมอกสีขาวเทาปรากฏบนทางเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เพียงแต่จะมีคลื่นอากาศผันผวนอยู่ในนั้น แต่ยังมีอสูรยักษ์สีดำที่ดูคล้ายหมาป่าแต่ไม่ใช่หมาป่า กำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายทันที เขาขยับแขนโดยไม่ต้องคิด จากนั้นกำปั้นลูกหนึ่งก็โจมตีออกไป
“ตู๊ม!”
พลังไร้รูปบางโจมตีกลุ่มหมอกอย่างรุนแรง
อสูรยักษ์ที่เพิ่งหลุดออกมาหลบไม่ทัน จึงได้แต่ส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นร่างของมันก็กระเด็นออกจากไอหมอกไปไกลสามสี่จั้ง
แต่ครู่ต่อมา อสูรตนนี้ก็สะบัดหัวด้วยความรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้าของอสูรยักษ์อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเงาร่างห้าเงาหมุนวนรอบตัวอสูรยักษ์อย่างบ้าคลั่ง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทันใดนั้นเงาดาบสีขาวสองสามเงาก็ฟันลงบนตัวอสูรยักษ์พร้อมกัน
แต่นอกจากจะทำให้มันร่นถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง และส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บได้จริงๆ ทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวแดงบนผิวหนังสีดำของมันเท่านั้น
…………………………………