ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 395 ปิดล้อม
หลังจากหลิ่วหมิงจากไปเป็นช่วงเวลาหนึ่งมื้อข้าว
พลันมีพายุบ้าระห่ำก่อตัวบนทางเดินที่หลิ่วหมิงอยู่ในก่อนหน้านั้น และส่งเสียงดังอื้ออึง เศษหินดินทรายปลิวว่อนจนทางเดินกลายเป็นสีเหลืองไปทั้งหมด เงาสีดำขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามและพุ่งออกจากในนั้น
พออสูรโฉดร่างคางคกยักษ์สองตนที่ยืนขวางทางเข้าเขตแลกเปลี่ยนเห็นเช่นนี้ สีหน้าที่ดูโง่เขลาก็หายไปจนหมดสิ้น มันส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นก็กระโดดตามไป แค่เพียงไม่กี่อึดใจก็หายไปในนั้น
……
ณ ห้องรับรองที่อยู่ด้านบนสุดของพระราชวังเหลืองอร่ามงามตาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากสายแร่ทะลึกหลายพันจั้ง
ห้องนี้มีขนาดหลายสิบจั้ง ภายในกว้างขวางเป็นอย่างมาก บนพื้นไม่เพียงแต่ปูด้วยหยกสีฟ้าอันงดงาม ผนังรอบด้านและเพดานต่างก็มีผลึกหินสีฟ้าแวววับจับตาฝังอยู่
มีคลื่นแสงหมุนวนอยู่บนผลึกหินเหล่านี้ และเปล่งแสงสีฟ้าจางๆ ออกมา ทำให้ในห้องงดงามเป็นอย่างมาก
ภายในห้องเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ดูเหมือนว่าโต๊ะเก้าอี้และเตียงนอนที่สลักมาจากหยก ไม่มีรอยเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย ริมหน้าต่างที่มองเห็นความงามของทะเลลึก มีบุปผาสีฟ้าอ่อนที่ไม่ทราบชื่อวางอยู่หลายกระถาง
ขณะนี้มีหญิงสาวงดงามสวมชุดปักลวดลายเมฆาวารี กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเตียง ผมสีดำของนางยาวเลยบ่า รูปร่างอันงดงามนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
นางก็คือเย่เทียนเหมยนั่นเอง
แต่ครู่ต่อมา นางก็ลืมตาทั้งคู่ และถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น นางทำเหมือนกับว่าไม่สนใจทุกอย่างที่อยู่ในห้อง
มาถึงวันนี้ อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการกระตุ้นจิตวิญญาณตัวก่อนกระบี่เมื่อครึ่งปีก่อนได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ในระหว่างนั้น ราชาปีศาจสมุทรได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แต่แรก ซึ่งไม่เคยมาปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะให้หญิงรับใช้นางหนึ่งส่งกล่องหยกมาให้เป็นระยะๆ ในกล่องหยกมีโอสถสีทองจางๆ ที่ส่งกลิ่นหอมประหลาดๆ ออกมา
เย่เทียนเหมยรู้ว่ามันคือ ‘สุดยอดโอสถ’ ซึ่งเป็นโอสถวิเศษระดับสูงที่พบเจอได้ยากมาก
และนางก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน
ภายได้ความมหัศจรรย์ของโอสถชนิดนี้ นางถึงได้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังไม่ทิ้งผลค้างเคียงใดๆ ไว้อีกด้วย
เย่เทียนเหมยอ้าปากด้วยตาที่เป็นประกาย กระบี่เล็กสีเงินจางๆ พุ่งยิงออกมา หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว มันก็ลอยอยู่ตรงหน้าของนาง จากนั้นก็วางมือทั้งสองไว้บนหน้าตัก และร่ายคาถาขึ้นมา
พริบตานั้น บนตัวของนางมีแสงสีเงินจางๆ ปกคลุมอยู่ ภายใต้การหดและขยายตัวของแสง ทำให้กระบี่เล็กตรงหน้าค่อยๆ สั่นสะท้าน อักขระบนพื้นผิวหมุนวนอย่างช้าๆ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา
เย่เทียนเหมยจ้องมองกระบี่เล็กตรงหน้าด้วยประกายตาเยือกเย็น จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
ครู่ต่อมา กลิ่นไอกระบี่อันมหาศาลก็พุ่งขึ้นฟ้า!
เย่เทียนเหมยที่ถูกแสงสีเงินปกคลุมอยู่ ก็มีกลิ่นไออันน่าตกใจราวกับกระบี่แหลมคมที่ออกมาจากฝัก
……
ขณะเดียวกัน
บนทางเดินที่ค่อนข้างกว้างในสายแร่ใต้ทะเลลึกแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังแกว่งแขนจนดูพร่ามัว กระบี่สีดำบนมือกลายเป็นสายรุ้งสีดำม้วนตัวออกไปฟันอสูรโฉดที่มีรูปร่างคล้ายจิ้งจกออกเป็นสองส่วน ขณะเดียวกัน ก็ขยับแขนข้างที่มีเกล็ดสีแดงปกคลุมอยู่ และปล่อยกำปั้นออกไป มันโจมตีใส่อสูรโฉดที่มีรูปร่างขนาดเล็กอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไป
“ฟู่!”
เส้นสีดำเส้นหนึ่งเจาะทะลุใส่ร่างของอสูรโฉดที่กระเด็นออกไป และตรึงมันไว้กับผนังบริเวณนั้น จากนั้นถึงถอนกลับมาอย่างรวดเร็ว
มันคือแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านหลังหลิ่วหมิงนั่นเอง หลังจากที่มันเล็งเป้าหมายไว้แล้ว ก็พุ่งยิง ‘หางตะขอ’ ตรงหลังใส่จุดตายของอสูรโฉดขนาดเล็กได้พอดี
แม้อสูรขนาดเล็กที่มีปีกตรงหลังจะส่งเสียงคำราม และพยายามบินหนี แต่ไม่นานผิวหนังของมันก็กลายเป็นสีม่วงคล้ำ และล้มลงพื้นไป
ด้วยความร้ายกาจของ ‘หัวอสรพิษ’ แม้ว่าอสูรโฉดเหล่านี้จะสามารถต้านพิษได้ในระดับหนึ่ง แต่หากถูกฉีดพิษด้วยพลังทั้งหมดในขณะที่อ่อนแอล่ะก็ จะไม่สามารถขยับตัวได้ระยะหนึ่ง
หลิ่วหมิงเก็บกระบี่เล็กสีดำกลับมา จากนั้นเกล็ดสีแดงบนแขนก็หดเข้าไปด้านใน
ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามดังมาจากทางเดินมืดๆ ที่อยู่ด้านหลัง
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่ายออกมา หลังจากถอนหายใจแล้วก็กวักมือเรียกแมงป่องกระดูกให้เข้ามาหา แมงป่องกระดูกหดตัวลงจนมีขนาดไม่กี่ชุ่น และตกลงบนไหล่ของเขาอย่างมั่นคง
และตัวเขาเองก็พุ่งยิงออกไปจนกลายเป็นเงา หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ไปปรากฏอยู่ตรงปลายทาง และยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่ออย่างรวดเร็ว
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงบนทางแยกขนาดใหญ่ที่มีทางเชื่อมต่อกันห้าหกสาย
แสงสีเลือดตัดสลับกับพายุกลางอากาศท่ามกลางแสงดาบเงากระบี่ที่เปล่งประกาย มีเสียงคำรามและเสียงระเบิดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงถือกระบี่สีดำรวมตัวอยู่กับทาสเหมืองแร่เจ็ดแปดคน พวกเขาพยายามต้านทานอสูรโฉดสิบกว่าตนที่ปิดล้อมพวกเขาไว้
ในบรรดาทาสเหมืองแร่สามคน คือชายหญิงสามคนที่ส่งข่าวหลิ่วหมิงให้พี่ใหญ่ซาในวันนั้น ขณะนี้ หญิงที่ชื่อชิงฉีกำลังถือดาบกระดูกต่อสู้กับอสูรโฉดร่างสุนัขจิ้งจอก และอีกสองคนที่อยู่ไม่ไกลออกไปกำลังหันหลังชนกันเพื่อต่อสู้กับอสูรโฉดสามสี่ตัว
หลิ่วหมิงถูกอสูรโฉดร่างพยัคฆ์สองตนที่มีพลังป้องกันอันน่าตกใจก่อกวนอยู่ ขณะเดียวกัน เขาก็กวาดสายตามองหาช่องโหว่เพื่อหลบหนีอยู่ตลอดเวลา
ขณะนั้นเอง พอทาสเหมืองแร่เผ่าอสูรที่กำลังต่อสู้กับเสือดาวดำด้วยมือเปล่าได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นเหนือศีรษะ เขาก็รีบยกแขนขึ้นมาด้วยความตกใจ และโยนโล่กระดูกขึ้นไปด้านบน
ขณะเดียวกัน ก็กัดฟันขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนแตกกระจาย และกลายเป็นม่านแสงปกป้องตัวเขาไว้
แต่พอเขาได้ยินเสียงดัง “เพล้ง!” หนามแหลมคมสีเขียวร้อยกว่าแท่ง ก็พุ่งยิงออกจากร่างอสูรโฉดร่างตั๊กแตนจนปกคลุมเต็มท้องฟ้า และร่วงลงมา
ในระหว่างที่แสงสีเขียวเปล่งประกาย โล่กระดูกก็ส่งเสียงแหลมดังราวกับถูกโลหะกรีด จากนั้นก็แตกกระจายออกมาเป็นชิ้นๆ หนามสีเขียวจำนวนมากหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ม้วนตัวไปเหนือศีรษะทาสเหมืองแร่เผ่าอสูรต่อ
มีเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา!
แม้ทาสเหมืองแร่เผ่าอสูรจะชักดาบออกมาโบกสะบัดกลางอากาศ แต่ภายใต้การทิ่มแทงของหนามสีเขียวอันแหลมคม เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ร่างของเขาและม่านแสงที่ปกคลุมอยู่ก็แตกกระจายออกมาจนกลายเป็นหมอกโลหิต
หลังจากที่อสูรโฉดร่างตั๊กแตนหล่นลงมาแล้ว มันก็กระโดดขึ้นบนผนังด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และพุ่งไปยังเป้าหมายที่อยู่ด้านล่าง
อีกด้านหนึ่ง เผ่าเจ้าสมุทรที่มีรูปร่างผอมสูง กำลังเผชิญหน้ากับอสูรโฉดร่างหมาป่าและอสูรโฉดร่างหมูอยู่ ง่ามกระดูกโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง แลดูชำนาญเป็นอย่างยิ่ง แต่พอได้ยินเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา เขาก็รู้สึกตัวสั่นระริก และรีบมองไปยังปากทางที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อคิดจะหนีไปที่นั่น
มือทั้งสองจับง่ามกระดูกไว้แน่น และสะบัดใส่อสูรโฉดร่างหมาป่าจนกระเด็นไปทางซ้าย จากนั้นก็ใช้ง่ามกระดูกยันพื้นเอาไว้ และดีดตัวขึ้นจากพื้น
เขาเตะอสูรโฉดร่างหมูที่กระโจนมาทางด้านหลัง และดีดตัวพุ่งออกไปด้านหน้าสามสี่จั้ง จากนั้นก็ควักยันต์แปะลงบนตัวอย่างไม่ลังเล และพุ่งยิงไปยังปากทางท่ามกลางแสงสีเขียวที่ปกคลุมอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะที่เขากำลังหลบหนีไปได้สิบกว่าจั้ง พลันมีพายุก่อตัวขึ้นด้านหน้า จากนั้นเงาร่างยักษ์พร่ามัวมาก็ขวางอยู่ตรงหน้า
คนเผ่าเจ้าสมุทรที่มีรูปร่างผอมสูงเผยแววตาดุร้ายออกมา ความเร็วของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเร็วขึ้นกว่าเดิมสองส่วน ขณะเดียวกันยังอ้าปากพ่นโลหิตใส่ง่ามกระดูกในมือ จากนั้นง่ามกระดูกก็เปล่งแสงและขยายใหญ่ขึ้นมา
มันคืออาวุธจิตวิญญาณ!
พอเขาโยนมันออกไปด้านหน้า ง่ามกระดูกยักษ์ก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งยิงออกไป
ขณะนั้นเอง เงาร่างพร่ามัวตรงหน้าก็เริ่มก่อตัวกัน ที่แท้มันก็เป็นอสูรโฉดร่างหมียักษ์ที่สูงราวๆ ห้าหกจั้ง
พอแสงสีดำเปล่งประกาย ง่ามยักษ์ก็มาถึงตรงหน้าอสูรตนนี้ แต่มันกลับไม่คิดที่จะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
มือทั้งสองของอสูรโฉดตบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พอมีเสียงดัง “ป๊าบ!” ง่ามกระดูกก็ถูกประกบอยู่บนฝ่ามือทั้งสอง และออกแรงกดพร้อมกัน
“พลั๊ก!” ง่ามกระดูกกลายเป็นผุยผงภายในพริบตา
ต่อมาอสูรโฉดร่างหมียักษ์ก็พร่ามัวขึ้นมา ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าโล่แสงที่คนเผ่าเจ้าสมุทรได้สร้างไว้ และมือทั้งสองก็ตบไปด้านหน้าอีกครั้ง
คนเผ่าเจ้าสมุทรมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกแค่ว่าอากาศรอบด้านดูอึดอัดขึ้นมา จากนั้นก็ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
“อ๊าก!” เสียงร้องอย่างเวทนายังไม่ทันสิ้นสุดลง คนเผ่าเจ้าสมุทรก็ถูกฝ่ามือทั้งสองบีบอัดจนระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิต
คิดไม่ถึงว่าอสูรโฉดร่างหมียักษ์ตนนี้ จะมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย!
พริบตาเดียว ก็มีทาสเหมืองแร่สองคนเสียชีวิตต่อหน้า ทำให้คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี และเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
เมื่อหญิงสาวที่ชื่อชิงฉีเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ซีดขาวขึ้นมาเป็นอย่างมาก นางขยับตัวหลบการโจมตีของสุนัขจิ้งจอกไว้ได้ และตะโกนพูดกับพวกพ้องทั้งสองในฉับพลัน
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ พวกเราทั้งหมดคงต้องถูกอสูรโฉดฆ่าตายเป็นแน่ โม่ชี เสี่ยวอู่ พวกเราแยกย้ายกันหนี”
พอพูดจบ นางก็กระโดดไปด้านหลัง และหยิบยันต์ออกมาสองผืน หลังจากขยี้จนแตกกระจายไปผืนหนึ่งแล้ว มันก็กลายเป็นหมอกดำปกคลุมอสูรโฉดร่างสุนัขจิ้งจอกไว้
ส่วนยันต์สีส้มอีกผืนก็ถูกแปะไว้บนตัว จากนั้นแสงสีส้มก็ห่อหุ้มร่างของนาง และพุ่งไปยังปากทางสายหนึ่ง
ชายหนุ่มอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง และทำการโจมตีอย่างรุนแรงจนอสูรโฉดล่าถอยออกไป จากนั้นพวกเขาก็กระโดดหนีไปยังเส้นทางที่อยู่ด้านข้างทันที
แต่ครู่ต่อมากลับมีอสูรโฉดเจ็ดแปดตนพุ่งออกมาจากทางเดินอีกสายหนึ่ง และล้อมรอบทั้งสองไว้
ทั้งสองรีบทำการต้านทานด้วยความตกใจ พริบตาเดียวก็ตกอยู่วงล้อมของอสูรโฉดอีกครั้ง
…………………………………