ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 396 ฝูงอสูรโฉด
ขณะที่ชิงฉีหนีไปได้ไม่ไกล อสูรโฉดร่างหมียักษ์ตนนั้นก็พุ่งไปขวางอยู่หน้าปากทางที่นางกำลังหลบหนีทันที มันแผดเสียงคำรามและขยับแขนทั้งสองจนพร่ามัว และก่อเกิดเป็นเงากำปั้นจำนวนมาก
ทุกครั้งที่สั่นสะเทือน มันจะขยายใหญ่และกลายเป็นจันทร์เสี้ยวสีเทาที่ยาวฉื่อกว่าๆ
พริบตานั้น จันทร์เสี้ยวหลายสิบดวงก็กระพือฮือโหมไปหาชิงฉีด้วยอานุภาพอันน่าตกใจเป็นอย่างมาก
ชิงฉีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน นางยกแขนขึ้นมาทันที ยันต์จำนวนมากพุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งยิงไปด้านหน้าขณะเดียวกันนางก็ตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
หลังจากมีเสียงดังตูมตามอยู่ช่วงหนึ่ง ยันต์ตรงหน้าก็พากันระเบิดออกมาเป็นแสงสีแดงแสบตา และต้านทานจันทร์เสี้ยวไว้
อสูรโฉดร่างหมียักษ์เห็นเช่นนี้ ก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นทันที แขนทั้งสองขยับตัวจนจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และพัดกระพือฮือโหมใส่ชิงจี
“ฟู่ๆ!”
จันทร์เสี้ยวสองสามดวงเจาะทะลุร่างของชิงฉีอย่างรวดเร็ว แต่ครู่ต่อมาร่างของนางก็กลายเป็นจุดแวววาว และสลายไป
พอนางปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ขยี้ยันต์ในมืออย่างไม่ลังเล
เมื่อแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา ร่างของนางก็พุ่งเข้าไปในทางด้านหน้าแล้ว
ชิงฉีหันไปมองสหายสองคนทีหนึ่ง และถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หนีหายไป
เมื่ออสูรโฉดร่างหมียักษ์ค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามหลบหนีไปแล้ว มันจึงทุบอกตนเองอย่างบ้าคลั่ง และแผดเสียงคำรามด้วยความโมโห จากนั้นก็พุ่งไปทางที่ชิงฉีหนีไป ขณะเดียวกัน อสูรโฉดหลายตนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตามติดมันไปด้วย
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา กระบี่สีดำในมือสะบัดออกไปอย่างรุนแรงสองสามที ปราณกระบี่สีดำคุกคามจนอสูรโฉดร่างพยัคฆ์ตรงหน้าถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นเขาก็กระโดดไปด้านหลังอสูรโฉดร่างพยัคฆ์อีกตนที่กำลังกระโจนใส่แมงป่องกระดูกอยู่ แขนข้างหนึ่งยื่นออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และจับขาข้างหนึ่งของมันไว้แน่น
เขาออกแรงที่นิ้วทั้งห้าด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก พลังสั่นสะเทือนแปลกประหลาดพุ่งออกจากปลายนิ้ว จากนั้นก็มีเสียงดัง “พลั่ก!” เท้าหลังของอสูรโฉดร่างพยัคฆ์ตนนี้ถูกเขาบิดจนหัก
อสูรโฉดตนนี้บิดตัวแล้วล้มลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด แมงป่องกระดูกอาศัยโอกาสนี้ไปปรากฏตัวอยู่เหนืออสูรโฉด ก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีลงด้านล่างอย่างรุนแรง และรวดเร็ว
อสูรโฉดกระแทกลงพื้นจนพื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ มันส่งเสียงคำรามออกมา แต่ไม่สามารถขยับตัวปีนขึ้นมาได้
พอหลิ่วหมิงลงถึงพื้น เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวทันที ไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง เงามังกรแผดเสียงร้องอยู่ท่ามกลางไอดำ ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย เกล็ดสีแดงปรากฏบนผิวหนังเป็นชั้นๆ
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงกระตุ้นไอดำให้ม้วนตัวแมงป่องกระดูกไว้ และพุ่งไปยังทางเดินที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อเขาปล่อยกำปั้นใส่อสูรสองสามตนที่ยืนขวางทางแล้ว ก็ควักลูกตาอสูรโฉดระดับของเหลวขั้นกลางออกมา จากนั้นอสูรโฉดตนอื่นๆ ก็ถอยออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สายตาที่มองหลิ่วหมิงกลับดูโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม
แต่หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้หนีเข้าไปในทางสายหนึ่ง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และภายในอุโมงค์ กลับมีอสูรโฉดพุ่งออกจากเส้นทางอื่นๆ เป็นจำนวนมาก มีเสียงคำรามและเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น แต่ไม่นานก็เหลือเพียงเสียงคำรามเท่านั้น
……
ครึ่งวันต่อมา
หลิ่วหมิงกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตอยู่บนเส้นทางสายหนึ่ง
จากแผนที่สายแร่ที่อยู่ในสมองของเขา ดูเหมือนตรงหน้าจะไม่มีเส้นทางไปยังเขตแลกเปลี่ยน และก่อนหน้านั้นเขาหนีอย่างทุลักทุเล อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาอยู่ห่างจากเขตแลกเปลี่ยนมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ภายใต้การห้อมล้อมของอสูรโฉด นอกจากจะวิ่งหนีไปยังทางเดินที่ดูว่างเปล่า และพยายามหนีให้พ้นจากการตามล่าของอสูรโฉดที่อยู่ด้านหลังแล้ว เขาก็ไม่มีแผนในการเอาชีวิตรอดที่ดีกว่านี้เลย
จากข้อมูลที่ได้รับมาในก่อนหน้านั้น หลังจากภัยร้ายเกิดขึ้นแล้ว มันจะเกิดขึ้นต่อเนื่องราวๆ สามวัน หลังจากพ้นสามวันไปแล้ว อสูรโฉดก็จะถอยกลับเหวไร้ก้นจนหมด และภายในระยะเวลาหลายเดือนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นแม้แต่เงาของอสูรโฉดมาปรากฏในถ้ำเหมืองแร่เลย
เพียงแค่เขาไม่ถูกอสูรโฉดโจมตีภายในสองสามวันนี้ ต่อให้ไม่สามารถหนีไปยังปากทางเข้าได้ทัน แต่ก็ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน
และตอนนี้ภัยร้ายเพิ่งเกิดขึ้นได้แค่ครึ่งวัน อสูรโฉดที่ตายในเงื้อมมือของเขา ก็มีไม่น้อยกว่าสิบตนแล้ว หากในสถานการณ์ปกติล่ะก็ นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่เลยทีเดียว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับได้แต่หนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสนใจศพอสูรเหล่านี้
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ ไม่นานก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง
และอสูรโฉดร่างคางคกสิบกว่าตนที่อยู่ห่างจากเขาสี่ห้าจั้ง ต่างก็กระโดดตามมาด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิ่วหมิงเลย
หลิ่วหมิงปล่อยกำปั้นโจมตีกลับไปเป็นครั้งคราว จนทำให้อสูรโฉดเหล่านี้กระเด็นออกไปไกลๆ แต่พวกมันก็พลิกตัวขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เข้าไปในฝูงของมัน และไล่ตามอย่างไม่ลดละ
และยังมีเสียงคำรามดังมาจากด้านหลังอสูรขนาดเล็กสิบกว่าตน ประจักษ์ชัดว่ายังมีอสูรโฉดจำนวนมากไล่ตามมา
มิเช่นนั้น เพียงแค่หลิ่วหมิงตัดสินใจกระตุ้นวิชาขี่กระบี่อย่างไม่เสียดายพลังเวทย์ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถสังหารอสูรโฉดระดับของเหลวขั้นต้นเหล่านี้ได้
แต่หากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ จะทำให้อสูรโฉดแห่กันมาปิดล้อมเขาไว้ พอถึงตอนนั้น เขาคงจะต้องตายลูกเดียวเท่านั้น
“ฟู่!”
หลิ่วหมิงพาแมงป่องกระดูกที่อยู่บนไหล่เลี้ยวไปยังเส้นทางบางแห่ง และหายเข้าไปในอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
ครู่ต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน ร่างของเขาหยุดนิ่งราวกับเสาที่ตั้งตรง
ฉากที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้หลิ่วหมิงหน้าเขียวปัด
ภายในอุโมงค์ขนาดใหญ่ราวๆ ร้อยกว่าหมู่เต็มไปด้วยอสูรโฉด
ภายใต้การส่องแสงของหินเรืองแสงสีเขียวที่ฝังอยู่ตามผนังรอบด้าน ทำให้หลิ่วหมิงมองเห็นอสูรโฉดขนาดเล็กประมาณห้าสิบถึงหกสิบตัวที่มีขนาดราวๆ สุนัขได้อย่างชัดเจน พวกมันกำลังเดินไปมาอยู่ในอุโมงค์ และส่งเสียงคำรามด้วยท่าทางที่ดุดันเป็นอย่างมาก
อสูรโฉดเหล่านี้อยู่ภายใต้คำสั่งของอสูรโฉดร่างหมาป่าขนาดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอสูรโฉดทั่วไปสามสี่เท่า พวกมันกำลังผลัดกันโจมตีทางเข้าถ้ำที่อยู่บนผนังอุโมงค์อย่างสุดชีวิต
อสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์ตนนั้น มีสีดำแวววาวทั้งตัว มันยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางอสูรโฉดที่มีขนาดใหญ่แค่หนึ่งในสามของมันเท่านั้น ดวงตาทั้งคู่เปล่งสีแดงออกมา และจ้องมองผนังอยู่ตลอดเวลา มันดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
ขณะนี้ มีเสียงรบราฆ่าฟันกันภายในถ้ำ ทั้งยังมีอสูรโฉดถูกโจมตีจนกระเด็นออกมาราวกับกระสอบทราย แต่ต่อมาอสูรโฉดตนอื่นๆ ก็ทะลักเข้าไป ดูเหมือนกับว่ามีคนอยู่ในนั้น และพยายามต้านทานการโจมตีของอสูรโฉดเหล่านี้อย่างสุดชีวิต
และเส้นทางสองสายที่มุ่งไปยังสถานที่แห่งอื่น กลับถูกอสูรโฉดจำนวนมากปิดกั้นไว้
พริบตาที่หลิ่วหมิงปรากฏตัว อสูรโฉดที่ไล่ตามมาข้างหลังก็พุ่งออกมาตรงทางโค้งพร้อมเสียงคำราม และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
และอสูรโฉดร่างสุนัขที่อยู่หน้าอุโมงค์เหล่านั้น ก็หันมาจ้องมองหลิ่วหมิง ดวงตาแดงก่ำของพวกมันเผยแววดุร้ายออกมา
หลิ่วหมิงเป็นคนเด็ดขาดมาก พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ปล่อยพลังเวทย์ใส่กระบี่สีดำในมืออย่างไม่ลังเล พอโบกสะบัดอย่างรุนแรง มันก็พุ่งยิงออกไปเป็นสายรุ้งสีดำ บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่านมีแสงโลหิตเปล่งประกายออกมา ทันใดนั้น อสูรโฉดร่างสุนัขสี่ห้าตัวที่กระโจนเข้ามา ก็ถูกฟันจนกลายเป็นฝนโลหิต
ขณะที่หลิ่วหมิงกระตุ้นวิชากระบี่บิน เขาก็กระโดดขึ้นมาราวกับตัวหนอน และกลายเป็นเงาร่างตามติดสายรุ้งไป
พริบตาเดียวก็พุ่งมาถึงหน้าถ้ำที่อยู่ไม่ไกล และคว้ากระบี่เล็กสีดำที่คืนสภาพเดิมหลังจากโจมตีแล้วมาไว้ในมือ แขนอีกข้างก็พร่ามัวไปชักดาบกระดูกออกมาอย่างรวดเร็ว
“เต๊ง!” “เต๊ง!” อสูรโฉดสองตนที่กระโจนเข้ามาถูกโจมตีจนร่นถอยออกไป
หลิ่วหมิงขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวในทางเข้าถ้ำหินแล้ว
พอมองเข้าไปในถ้ำ จะเห็นว่าพื้นที่เปิดโล่งตรงทางเข้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีชายฉกรรจ์เผ่ามนุษย์สองคนกำลังยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน แต่ละคนต่างก็ถือค้อนกระดูกขนาดใหญ่ที่มีคราบเลือดติดอยู่ พวกเขากำลังรบราฆ่าฟันอยู่กับอสูรโฉดที่รายล้อม
หนึ่งในนั้นแกว่งค้อนยักษ์โจมตีอสูรโฉดตนหนึ่ง
“ตู๊ม!”
ภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรงของค้อนยักษ์ ทำให้ร่างของมันกระเด็นออกไปทันที และชนใส่ผนังนอกถ้ำจนฝุ่นกระเด็นออกมา ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนก็โบกสะบัดค้อนกระดูกในมืออย่างรวดเร็ว ทำให้อสูรโฉดเหล่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้ไปชั่วขณะหนึ่ง และพื้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยศพของอสูรโฉดจำนวนมาก
แน่นอนว่าทั้งสองก็มองเห็นหลิ่วหมิงที่มาปรากฏตัวในถ้ำโดยฉับพลันเช่นกัน และรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้
“เอ๊! ที่แท้ก็เป็นท่านนั่นเอง เช่นนั้นก็ให้สหายผู้นี้เข้ามาเถอะ!”
หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็มีเสียงร้อง “เอ๊ะ!” ของชายผู้หนึ่งดังขึ้นมา และดูเหมือนเขาจะยอมให้หลิ่วหมิงเข้ามาอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาปล่อยกำปั้นโจมตีอสูรโฉดที่ขวางอยู่ตรงหน้าแล้วกระโดดเข้าไปในถ้ำ
ชายฉกรรจ์ทั้งสองเห็นเช่นนี้ แม้จะมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ขัดขวางการเข้าร่วมของเขา
ขณะที่หลิ่วหมิงเหยียบเท้าเข้าไปในถ้ำได้ไม่นาน อสูรโฉดที่อยู่นอกถ้ำก็ส่งเสียงดังแสบแก้วหูออกมา จากนั้นอสูรโฉดจำนวนมากก็กระโจนเข้ามาในถ้ำและทำการโจมตี
ชายฉกรรจ์ทั้งสองที่อยู่ตรงปากถ้ำเห็นเช่นนี้ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ค้อนกระดูกในมือกลับโบกสะบัดเร็วขึ้นกว่าเดิม เขาอาศัยพื้นที่แคบๆ บีบให้อสูรโฉดเหล่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้
…………………………………