ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 397 ซินหยวน
ถ้ำไม่ใหญ่มาก มีขนาดราวๆ สิบกว่าจั้ง
นอกจากมีเตียงหินอยู่ในถ้ำสองสามเตียงกับถุงที่กองอยู่ด้านข้างสองสามถุงแล้ว ก็ไม่มีอะไรจัดวางอีก
สิ่งที่หลิ่วหมิงเห็นตั้งแต่แรกคือใบหน้าผอมแห้งที่มีคิ้วเข้ม และดวงตาขนาดใหญ่ที่มีแววความท้อแท้แฝงอยู่
เขาก็คือชายหนุ่มร่างผอมกระหร่องก่องที่หลิ่วหมิงเจอตอนเข้ามาในถ้ำเหมืองแร่ใต้ดินใหม่ๆ
ขณะนี้เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงที่ตั้งอยู่ตรงกลาง กระบองเหล็กยาวสองจั้งกว่าๆ วางพิงอยู่บนผนังด้านหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นกระบองอยู่ห่างจากมือชายหนุ่ม สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย และสังเกตดูฝ่ายตรงข้ามอีกสองสามที
เขาค้นพบว่าเสื้อผ้าสีเทาบนตัวของชายหนุ่มขาดรุ่งริ่ง และยังมีคราบเลือดปรากกฏอยู่รำไร ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของอสูรโฉดหรือของตัวเขาเอง
แต่ดูจากสภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส
ด้วยพลังระดับชายหนุ่มยังได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ คิดว่าก่อนหน้านั้นคงผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
ภาพอสูรโฉดร่างหมาป่าสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าอสูรโฉดที่ล้อมรอบ ปรากฏขึ้นในสมองของหลิ่วหมิงทันที
และด้านข้างของชายหนุ่มก็มีชายสามสี่คนนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ชายหนุ่มใช้โอสถถอนพิษดึงเข้ามาเป็นพวกนั่นเอง แม้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น แต่กลับมีกายเนื้อแข็งแกร่งเหมือนอีกสามคนที่เหลือ พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ก็แค่มองดูด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อ
ชายหนุ่มร่างผอมก็สังเกตดูแมงป่องกระดูกบนไหล่หลิ่วหมิงสองสามที และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“สหายหลิ่วสามารถมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย ดูท่าในตอนแรกข้าคงดูเบาเจ้ามากไปหน่อย”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่รู้ตัวเร็ว วิ่งหนีได้เร็ว และดวงค่อนข้างดีก็เท่านั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ สหายยอมบอกชื่อแซ่ได้หรือยัง?” หลิ่วหมิงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ข้าชื่อซินหยวน หลังจากมาตกทุกข์อยู่ที่นี่เมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ก็ถูกพี่น้องสองสามท่านยกให้เป็นหัวหน้าชั่วคราว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คิดว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้ว” ชายหนุ่มร่างผอมที่ชื่อ ‘ซินหยวน’ หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา แต่ดูเหมือนว่าการหัวเราะนี้ จะกระทบต่ออาการบาดเจ็บจนต้องไอออกมา
“ที่แท้ก็คือสหายซิน สถานที่แห่งนี้ถูกอสูรโฉดล้อมไว้หมดแล้ว เมื่อรวมกับฝูงอสูรโฉดที่ตามข้ามาแล้ว มันมีจำนวนน่าตกใจมาก คงไม่อาจบุกออกไปได้ แต่เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นว่าอสูรโฉดที่อยู่ที่นี่ มีอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์สีดำเป็นจ่าฝูง หรือว่าอาการบาดเจ็บของท่านจะเกี่ยวข้องกับอสูรตนนี้?” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนถามออกไป
“ไม่ผิด! ข้าถูกอสูรตนนี้โจมตีจนได้รับบาดเจ็บ มันมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย ทั้งยังสามารถหดขยายรูปร่างได้ ก่อนหน้านั้นมันแฝงตัวอยู่ในกลุ่มอสูรโฉดทั่วไป ข้าไม่ทันระวังจึงถูกมันลอบทำร้าย ดีที่พี่น้องคนอื่นๆ ช่วยไว้ได้ทัน และโชคดีที่เข้ามาที่นี่ได้ จึงได้อาศัยสภาพพื้นที่ในการยืนหยัดต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าสหายหลิ่วจะหนีมาที่นี่ด้วย ดูท่าคงจะมีวาสนากับพวกเราไม่น้อย” ซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วาสนาเช่นนี้ไม่มีจะยังดีกว่า!” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น
“เฮ่อๆ! นอกเสียจากว่าสหายจะบุกออกไป มิเช่นนั้นคงต้องอยู่ในนี้สักระยะหนึ่ง ตอนนี้สถานการณ์คับขันมาก ข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความแล้ว ตอนนี้สหายหลิ่วกับพวกเราต่างก็มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากอยากมีชีวิตรอดล่ะก็ เกรงว่าจะต้องออกแรงเล็กน้อย”
“พี่ซินจะให้ข้าทำอะไรบ้าง?” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ง่ายมาก! ในเมื่อสหายหลิ่วบุกเข้ามาที่นี้ได้ แสดงว่าจะต้องมีพลังไม่ธรรมดา และภัยร้ายในครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้น หากยึดตามความเคยชินที่ผ่านมา ยังเหลือเวลาอีกสองวันกว่า ในระหว่างเวลานี้จำเป็นต้องให้สหายและพี่น้องของข้าผลัดกันป้องกันการโจมตีของอสูรโฉด! สหายคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซินหยวนมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็รีบรับปากโดยไม่ต้องคิด
ขณะนี้ อสูรโฉดที่อยู่นอกถ้ำมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นยังมีระดับของเหลวขั้นปลายด้วย และแต่ละเส้นทางก็ถูกพวกมันปิดกั้นไว้จนแม้แต่น้ำก็ไม่สามารถไหลผ่านไปได้
นอกจากเขาจะปักหลักอยู่ที่นี่กับชายหนุ่มจนกว่าภัยร้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
แม้ชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ซินหยวน’ ดูเหมือนจะเสียพลังไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่สหายของเขาแต่ละคนก็ดูเหมือนจะมีกายเนื้อที่ไม่ธรรมดา เพียงแค่ดูแลไม่ให้ทางเข้าถูกโจมตีจนพังทลาย และผลัดเปลี่ยนกันมาฟื้นฟูพลังล่ะก็ คงยืดเวลาไปได้นานมากขึ้น
“ดีมาก สหายหลิ่วเป็นคนปราดเปรื่องยิ่งนัก ไม่ต้องพูดจาอะไรไร้สาระอีกแล้ว แต่ว่าเจ้าหนีมาตลอดทางคงเสียพลังไปไม่น้อย ตอนนี้นั่งลงพักสักหน่อย รอพวกเขาผลัดกันครบหนึ่งรอบแล้ว ค่อยถึงตาของสหายหลิ่ว” ซินหยวนเห็นหลิ่วหมิงเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมาก ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป เขาเก็บแมงป่องกระดูกเข้าไปในถุงหนังเพื่อให้มันได้พักผ่อน จากนั้นก็หาที่ว่างแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป
“เจิ้งหย่ง หัวตัน พวกเจ้าทั้งสองไปเปลี่ยนสักหน่อยเถอะ!” ซินหยวนหันไปกล่าวกับชายสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล หนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น
ทั้งสองตอบรับและลุกขึ้นมา หลังจากชักอาวุธที่ทำมาจากกระดูกออกมาจากเอวแล้ว ก็เดินไปที่ปากถ้ำ
ครู่ต่อมา ชายฉกรรจ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำก็เดินเข้ามาด้านใน แต่ค้อนกระดูกที่พวกเขาถืออยู่นั้นชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าตรงแขนและหัวเข่าขาดรุ่งริ่ง จนมองเห็นบาดแผลเล็กๆ อยู่รำไร
แขนข้างหนึ่งของคนที่อยู่ข้างหลัง ก็ดูคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างเจาะจนเกิดเป็นรูขนาดเท่านิ้วโป้ง โลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาไม่ขาดสาย และส่งกลิ่นคาวออกมา
“อสูรโฉดร่างคางคกเหล่านั้นรับมือได้ยากมาก มันไม่เพียงแต่เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่มุมการโจมตีของลิ้นก็แปลกประหลาดยิ่งนัก” ชายฉกรรจ์ที่แขนได้รับบาดเจ็บมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย หลังจากพูดจบแล้วก็ล้มลงพื้นไป
พอชายฉกรรจ์ที่เดินนำหน้าได้ยินเสียงล้มลงพื้น ก็รีบหันมาดูด้วยความตกใจ หลังจากพาเขาไปนอนบนเตียงหิน และทานโอสถถอนพิษไปหนึ่งเม็ด ทุกคนถึงได้รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด
อสูรโฉดร่างคางคกขนาดเล็กที่ตามเขามาในก่อนหน้านั้นรับมือได้ยากจริงๆ โชคดีที่ตลอดทางเขาไม่ไปยุ่งกับอสูรโฉดเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นคงเกิดปัญหามากกว่าเดิม
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็หน้าเสียเล็กน้อย ตอนนี้มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ สถานการณ์ย่อมเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ขณะที่เขากระแอมไอเพื่อจะพูดอะไรออกมานั้น ก็มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังมาจากหน้าถ้ำ จากนั้นก็มีเสียงคนอีกคนตะโกนขึ้นมา
“หัวตันโดนพิษเข้าแล้ว รีบมาช่วยข้าคนหนึ่งเร็ว!” พอเสียงนี้ดังเข้ามาในถ้ำ สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ข้าจะไปรับมือสักหน่อย ข้ารู้จักอสูรโฉดชนิดนี้อยู่บ้าง คงจะรับมือได้ไม่ค่อยยาก”
ซินหยวนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ดวงตาของหลิ่วหมิงก็เป็นประกาย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อชักดาบกระดูกบนเอวออกมาแล้ว ก็เดินไปหน้าปากถ้ำทันที
“ใช่สิ! ข้ายังมีโอสถอยู่ขวดหนึ่ง คงจะมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของสหายซินอยู่บ้าง”
แต่พอเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็สะบัดแขนเสื้อไปด้านหลังโดยไม่หันหน้ากลับไป ทันใดนั้น ขวดเล็กสีเขียวที่สูงสองสามชุ่นก็ถูกโยนออกไป
พอเขาขยับตัวสองสามทีก็ไปปรากฏตัวที่หน้าปากถ้ำ จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา และอสูรโฉดก็คำรามออกมาไม่หยุด……
ซินหยวนรับขวดเล็กสีเขียวไว้ได้ หลังจากมองดูจนหลิ่วหมิงหายลับตาไปแล้ว ก็เปิดจุดขวดออกมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากดมดูเล็กน้อย ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ซินหยวนมีสีหน้าซาบซึ้งใจเล็กน้อย
ด้วยประสบการณ์ของเขา แทบจะยืนยันได้ทันทีว่ามันเป็นโอสถระดับสูงอย่างแน่นอน
และภายในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ อย่าว่าแต่โอสถรักษาอาการบาดเจ็บระดับกลางเลย ต่อให้เป็นโอสถระดับต่ำก็พบเจอได้น้อยมาก
ปกติสิ่งของล้ำค่าและหายากที่บรรดาทาสเหมืองแร่แลกมาจากผู้พิทักษ์ จะมีโอสถรักษาอาการบาดเจ็บที่มีมูลค่าสูงที่สุด
พอชายหนุ่มกวาดสายตาดูแล้วค้นพบว่า ในขวดเล็กๆ มีโอสถสีเขียวมรกตอยู่สองเม็ด เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม
เพราะฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำเหมืองแร่มาหลายเดือนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้มูลค่าของโอสถระดับสูงเหล่านี้
หลังจากสีหน้าของซินหยวนเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง และมองดูชายฉกรรจ์ที่นอนอยู่เตียงข้างๆ แล้ว ก็เทโอสถออกมาให้เขาทานอย่างเงียบๆ และตนเองก็ทานอีกเม็ดที่เหลือ จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ไม่มาก และเริ่มกลั่นพลังของโอสถเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ขณะที่ชายอีกคนเดินโซซัดโซเซเข้ามาในถ้ำ หลิ่วหมิงที่อยู่หน้าปากถ้ำก็ใช้เงากระบี่ปกคลุมอสูรร่างคางคกสองตนไว้
ชายอีกคนที่อยู่ด้านข้าง ก็โบกกระบี่กระดูกต้านทานการโจมตีของอสูรโฉดอย่างสุดชีวิต
“ระวัง!”
หลังจากหลิ่วหมิงฟันอสูรโฉดสองตนจนร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผล และร่นถอยออกไปแล้ว เขาก็กวาดสายตาไปยังชายหนุ่มผู้นั้น แต่ก็ต้องตะโกนออกมาในฉับพลัน
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนบริเวณด้านหลังอสูรโฉดร่างหมาป่าที่ถูกโจมตีจนกระเด็น จากนั้นเงาร่างสีเขียวดำที่มีขนาดหลายจั้งก็ปรากฏออกมา
มันคืออสูรโฉดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าอสูรโฉดร่างคางคกหนึ่งเท่าขึ้นไป
ชายผู้นั้นก็เป็นคนที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาค่อนข้างมาก เขาสะบัดกระบี่กระดูกอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากต้านทานอยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็ขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนแตกกระจาย
“เพล้ง!”
ม่านแสงสีฟ้าชั้นหนึ่งปรากฏออกมาห่อหุ้มร่างของชายผู้นี้ไว้
และพออสูรโฉดยักษ์ปรากฏตัวออกมา มันก็อ้าปากในทันที ลิ้นสีแดงยาวม้วนตัวออกไป และหลีกเลี่ยงเงากระบี่ไปได้ จากนั้นก็ทิ่มลงบนม่านแสงทันที
มีเสียงแตกหักดังออกมา!
ลิ้นของอสูรโฉดร่างคางคกยักษ์เพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นม่านแสงก็ถูกเจาะทะลุ
“ขวับ!”
ชายผู้นี้บิดศีรษะในทันที ลิ้นยาวแฉลบผ่านลำคอไป โลหิตกระเซ็นออกมา
เดิมทีชายผู้นี้รู้แต่แรกแล้วว่า ม่านแสงไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้ เขาจึงพยายามหลบหนีในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย
และขณะนั้นเอง ดาบกระดูกเล่มหนึ่งกลับเปล่งประกายออกมา และฟันลิ้นยาวของอสูรโฉดจนขาดเป็นสองส่วน
…………………………………