ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 398 กระบองเหล็กหลอม
อสูรโฉดส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้นที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความแค้นเคือง และส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ขณะเดียวกันก็มีถุงพิษขนาดต่างๆ นูนขึ้นมาบนหลัง แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงขยับตัวไปคืนเคียงข้างชายฉกรรจ์
“ขอบคุณมาก!” ชายฉกรรจ์กล่าวออกมา จากนั้นก็ทานโอสถถอนพิษลงไปหนึ่งเม็ด และใช้ยันต์ปิดบาดแผลไว้ ขณะเดียวกันก็จ้องมองอสูรโฉดร่างคางคกโดยไม่ขยับเขยื้อน
“สหายจัดการอสูรโฉดตนอื่นที่อยู่บริเวณรอบๆ เถอะ ส่วนตนนี้มอบให้ข้าก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงหรี่ตามองอสูรร่างคางคกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
สำหรับคำแนะนำของหลิ่วหมิง ชายฉกรรจ์ที่ชื่อ ‘เจิ้งหย่ง’ ไม่ได้มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากพยักหน้าแล้วก็โบกกระบี่กระดูกใส่อสูรโฉดระดับต่ำตนหนึ่ง
หลิ่วหมิงยังยืนอยู่ที่เดิม และถือดาบกระดูกจ้องมองอสูรโฉดที่อยู่ด้านล่างด้วยแววตาเยือกเย็น
อสูรโฉดร่างคางคกส่งเสียงร้องแปลกประหลาด จากนั้นก็ออกแรงที่เท้าหลังทั้งสอง และพุ่งขึ้นด้านบนอีกครั้ง ถุงพิษบนหลังจำนวนมากระเบิดออกมาทันที หมอกดำเข้มข้นพุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมอากาศด้านหน้าไว้
พอหลิ่วหมิงเห็นหมอกดำม้วนตัวเข้ามา เขาก็ยกแขนอย่างไม่ลังเล ลูกเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นกลายเป็นแสงสีแดง และจมหายไปในหมอกดำ จากนั้นเขาก็ตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
“ตู๊ม!”
หมอกพิษสีดำพวยพุ่งราวกับถูกพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่ พริบตาเดียวก็แตกกระจายออกไป
แต่ทว่าครู่ต่อมา หลิ่วหมิงกลับค้นพบว่าอากาศตรงหน้าว่างเปล่า อสูรโฉดร่างคางคกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ขณะเดียวกัน พลันมีคลื่นก่อตัวบริเวณที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายจั้ง อสูรโฉดร่างคางคกตนนั้นปรากฏออกมาราวกับปีศาจ มันอ้าปากยื่นลิ้นยาวออกมา และเล็งไปที่ระหว่างคิ้วของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่มีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาระหว่างคิ้ว จากนั้นเกล็ดสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วก็โผล่ออกมาบริเวณหน้าผาก
“เต๊ง!”
พอลิ้นยาวของอสูรโฉดร่างคางคกปะทะกับเกล็ดสีแดง มันก็ดีดตัวกลับไปทันที
อสูรโฉดร่างคางคกรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
แขนหลิ่วหมิงขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว ฝ่ามือที่ถูกเกล็ดสีแดงปกคลุมคว้าลิ้นยาวเอาไว้
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าลิ้นในมือเย็นและลื่นเป็นอย่างมาก แววตาของเขาฉายแววดุร้ายออกมา พอกระตุกนิ้วทั้งห้า พลังสั่นสะเทือนไร้รูปบางอย่างก็ถูกส่งออกไปตามลิ้นของอสูรโฉด และทะลักขึ้นไปบนหัวของมัน
อสูรโฉดเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ลิ้นยาวไม่สามารถหดกลับไปได้ มันก็กัดลิ้นตนเองจนขาดออกจากกัน ขณะเดียวกันถุงพิษบนหลังก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา หมอกพิษสีดำปกคลุมเต็มฟ้า และม้วนเข้าหาหลิ่วหมิง
สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมขึ้นมา เท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น ทันใดนั้นร่างของเขาก็พุ่งยิงไปด้านหลังทันที ขณะเดียวกันลูกเปลวไฟจำนวนมากก็ถูกปล่อยออกมา
หลังจากมีเสียงระเบิดดังอยู่ระยะหนึ่ง หมอกพิษสีดำก็สลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง
และขณะที่หลิ่วหมิงตั้งหลักได้และมองออกไปนั้น กลับค้นพบว่าอสูรโฉดร่างคางคกยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือโอกาสนี้พุ่งออกไปจากปากถ้ำ และหนีลอยนวลไปไกลสิบกว่าจั้งแล้ว
ในขณะนั้นเอง อสูรโฉดร่างหมาป่าอีกสองตนก็พุ่งเข้ามาตรงปากถ้ำ และกระโจนใส่หลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกับพวกพ้องของซินหยวนก็ผลัดเปลี่ยนกันมาปกป้องปากถ้ำ เพื่อไม่ให้อสูรโฉดที่อยู่ด้านนอกบุกเข้ามาได้
และพอผ่านการต่อสู้อย่างหนักมาช่วงหนึ่ง นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ได้รับบาดแผลไม่น้อย แต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ภายใต้การต่อสู้อย่างดุเดือด แต่ละคนย่อมรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก
แต่ในช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงไม่ได้ใช้พลังเวทย์สักเท่าไหร่ เพียงแค่ใช้พลังจากกายเนื้อที่แข็งแกร่งปกป้องการโจมตีอย่างดุเดือดของอสูรโฉดเท่านั้น
……
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงรบราฆ่าฟันภายนอกถ้ำก็ยังดังอยู่ในหูอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และทำการฟื้นฟูพลังอยู่
หลังผ่านการรบราฆ่าฟันไปหลายรอบ คนอื่นๆ ต่างก็ทนไม่ไหวกันแล้ว และหากไม่มีถ้ำดังกล่าวที่อาศัยสภาพพื้นที่ภายในถ้ำสลับกันวางค่ายกลล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถต้านทานฝูงอสูรโฉดที่อยู่ได้นอกได้
ขณะนี้ซินหยวนกับพวกพ้องที่อยู่ในถ้ำ นอกจากจะมีคนหนึ่งที่ถูกอสูรโฉดร่างคางคกโจมตีแล้ว คนที่เหลืออีกหกคนก็มีแค่สองคนที่สามารถต่อสู้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย ขณะนี้กำลังทำการปกป้องปากถ้ำอยู่
แต่ซินหยวนที่อยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ตั้งแต่ทานโอสถของหลิ่วหมิงแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นมามาก แต่หากจะให้ลงมือล่ะก็ เกรงว่ายังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายมาก
มาถึงเวลานี้แล้ว หากมีผู้แข็งแกร่งอีกคนมาช่วยล่ะก็ คงมีโอสถเอาชีวิตรอดได้มากกว่านี้
ตั้งแต่ภัยร้ายเกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันกว่าเท่านั้น แต่อสูรโฉดที่รวมตัวกันนอกถ้ำ กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันมีแต่เพิ่มแต่ไม่มีลดเลย
แม้เขาจะอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของตนเอง ทั้งยังไม่รู้สึกว่าเปลืองแรงมาก แต่หากยืดเวลานานเข้า ยังไม่รู้เลยว่าจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่ เพราะยังมีอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์ระดับของเหลวขั้นปลายอยู่ตนหนึ่ง ที่ยังจ้องมองด้วยตาเป็นมันอยู่
“พี่ใหญ่ซิน เจิ้งหย่งก็ได้รับบาดเจ็บ อสูรโฉดข้างนอกก็เหมือนจะบ้าไปแล้ว มันพุ่งเข้ามาอยู่ไม่หยุด ข้าเองก็ใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงร้อนรนดังมาจากนอกถ้ำ
ซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมากกว่าเดิม เขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา หลังจากกวาดสายตาดูภายในถ้ำหนึ่งรอบแล้ว ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวหลิ่วหมิง
คิดว่าภายในถ้ำตอนนี้ คงเหลือแค่หลิ่วหมิงเท่านั้นที่ยังคงทำการต่อสู้ได้
พอเห็นสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเสียใจของซินหยวน หลิ่วหมิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้นมาทันที และประสานมือคารวะฝ่ายตรงข้าม
“สหายซิน ไม่ทราบว่าสามารถยืมอาวุธของท่านได้หรือไม่?”
ดาบกระดูกของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ได้ถูกอสูรโฉดตนหนึ่งกัดจนหักเป็นชิ้นๆ แล้ว
พอซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ก็รีบพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“สหายหยิบไปใช้ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
จากนั้น มือข้างหนึ่งของเขาก็คว้าไปทางกระบองเหล็กที่พิงผนังอยู่ พอปล่อยพลังออกไปเล็กน้อย กระบองเหล็กก็แผดเสียง และพุ่งเข้ามา
ขณะที่กระบองเหล็กยังอยู่ระหว่างทาง พายุบ้าระห่ำที่ทำให้รู้สึกหายใจอึดอัด ก็เข้ามาถึงก่อน
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และสะบัดไหล่เบาๆ แขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว จากนั้นก็คว้ากระบองเหล็กมาไว้ในมือ
พอหลิ่วหมิงรู้สึกว่าแขนทั้งสองหนักอึ้ง ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้าน
กระบองเหล็กหนักกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้มาก
เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังออกจากปากคนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
สายตาซินหยวนที่มองหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“กระบองเหล็กหลอมผสมที่หล่อหลอมมาจากเหล็กทมิฬนี้ หนักถึงหนึ่งพันสามร้อยชั่ง ตั้งแต่ข้าได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มาในตอนที่เข้าสู่ระดับของเหลว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าให้คนอื่นยืมมัน หวังว่ามันจะช่วยสหายหลิ่วได้อีกแรง”
“ดีมาก มีอาวุธชิ้นนี้ล่ะก็ ข้าคนเดียวก็สามารถปกป้องปากถ้ำได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว” หลิ่วหมิงหมุนควงกระบองเหล็กเล็กน้อย และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
ต่อมาเขาแบกกระบองไว้บนบ่า และพุ่งไปหน้าปากถ้ำอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์หน้าปากถ้ำในขณะนี้ จะบอกว่าดุเดือดรุนแรงก็คงไม่เลยขอบเขตมากนัก
ชายฉกรรจ์ที่โลหิตเปียกโชก กำลังต่อสู้กับอสูรโฉดหน้าปากถ้ำ เขาโบกสะบัดค้อนกระดูกในมือต่อสู้อยู่ไม่หยุด แม้ทุกการโจมตีจะทำให้อสูรโฉดที่กระโจนเข้ามากระเด็นออกไปสองตน แต่เนื่องจากมีพลังไม่พอตั้งแต่แรก พออสูรโฉดเหล่านั้นหล่นลงพื้น ก็ลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเข้าไปอยู่ในฝูงอีกครั้ง
ชายอีกคนที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล ก็คือเจิ้งหย่งที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น
ขณะนี้ขาข้างหนึ่งของเขาเต็มไปด้วยโลหิต บนตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผล แผลบริเวณลำคอที่ถูกลิ้นของอสูรโฉดร่างคางคกแฉลบผ่านในก่อนหน้านั้นได้เปิดออกมา โลหิตไหลรินอยู่ไม่หยุด เขายืนพิงผนังหินตรงขอบปากถ้ำ และยังคงโบกสะบัดกระบี่กระดูกในมืออย่างบ้าคลั่ง ทำให้อสูรโฉดสองสามตนไม่กล้าเข้าใกล้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
พื้นที่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เต็มไปด้วยศพของอสูรโฉด
“ที่นี่มอบหมายให้ข้าเถอะ พวกเจ้าทั้งสองเข้าไปพักผ่อนก่อน”
หลิ่วหมิงกระโดดเข้ามาถึงด้านหน้าของชายฉกรรจ์ และตะโกนเสียงต่ำออกมา จากนั้นก็ควงกระบองเหล็กเพื่อโจมตีอสูรโฉดร่างสุนัขที่กระโจนเข้ามา
เขาโบกสะบัดกระบองที่ยาวสองจั้งกว่าๆ จนกลายเป็นเงากระบองสีดำที่ดูคล้ายเขาลูกเล็กๆ และม้วนตัวออกไปราวกับคลื่นที่โหมซัดสาด
พอปะทะโดนอสูรโฉดเหล่านั้น บ้างก็ถูกโจมตีจนเสียชีวิต บ้างก็กระอักเลือดและกระเด็นออกไป
พอกระบองเหล็กที่หนักพันกว่าชั่งอยู่ในมือของเขา มันก็ดูเบาเหมือนกับกระดาษ
มาถึงตอนนี้ พลังอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงก็ถูกเผยออกมาจนหมด
แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีอสูรโฉดสามสี่ตนเสียชีวิตภายใต้เงากระบองของหลิ่วหมิง จากนั้นก็มีเสียงคำรามออกมาติดต่อกัน
ชายฉกรรจ์ที่พยุงเจิ้งหย่งขึ้นมาเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา และรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
และในเวลาเดียวกัน อสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์สีดำที่ยืนอยู่บนเนินสูงตรงมุมอุโมงค์ ก็เหมือนจะค้นพบว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มันจึงแหงนคอส่งเสียงร้องแหลมออกมา ไอดำจำนวนมากพุ่งออกจากตัวของมัน และหมุนวนอยู่บนตัว พริบตาเดียว ก็ทำให้อสูรโฉดร่างหมาป่าที่อยู่บริเวณนั้นแหงนคอส่งเสียงออกมาเช่นกัน พลังของพวกมันดูน่าตกใจเป็นอย่างมาก
ดวงตาอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์เปล่งแสงสีแดงออกมา จากนั้นร่างของมันก็พร่ามัวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แสงสีดำเปล่งประกายบนพื้นกว้างโล่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล อสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์ปรากฏตัวออกมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงภายใต้การปกคลุมของไอดำ ด้านหลังของมันมีอสูรร่างสุนัขสิบกว่าตนพุ่งตามเข้ามา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว แต่กระบองยักษ์สีดำในมือยังคงโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ในสมองของเขามีความคิดต่างๆ หมุนวนเข้ามา
…………………………………