ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 399 เหยียนลัว
แม้แต่ผู้มีพลังระดับของเหลวขั้นปลายอย่างซินหยวน ยังถูกอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์โจมตีจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าดูเบามันอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น อสูรโฉดร่างหมาป่าด้านข้างที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่อสูรโฉดธรรมดา เกรงว่าคงไม่สามารถไล่ไปได้โดยง่าย
ขณะที่ใจหลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านนั้น พลันมีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา เสียงนี้ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด และยังดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วอุโมงค์ขนาดใหญ่
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที
พออสูรโฉดร่างหมาป่าสีดำตนนั้นได้ยิน ก็หยุดชะงักในฉับพลัน จากนั้นก็แหงนคอส่งเสียงคำรามดังแผ่วโผย และหันตัววิ่งไปยังเส้นทางสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ฝูงอสูรโฉดที่โจมตีบริเวณปากถ้ำอยู่ก็ค่อยๆ หยุดการโจมตีลง จากนั้นก็วิ่งไปยังทิศทางเดียวกันด้วยท่าทางที่ดุดัน
อสูรโฉดจำนวนมากที่รายล้อมอยู่ในอุโมงค์หายไปในพริบตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เก็บกระบองเหล็กด้วยความตกใจ
ชายฉกรรจ์อีกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะขึ้นมา เขารีบวางเจิ้งหย่งที่ประคองอยู่ให้ยืนพิงกำแพงเช่นเดิม และพุ่งเข้าไปรายงานซินหยวนและคนอื่นๆ ด้วยความดีใจ
เจิ้งหย่งควบคุมอาการดีใจบนใบหน้าไม่ได้เช่นกัน ขณะที่ยืนพิงผนังนั้นเขาก็หัวเราะออกมา ขณะเดียวกันก็ไออยู่ไม่หยุดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน
ครู่ต่อมา ก็มีเสียงร้องด้วยความดีใจดังออกมาจากในถ้ำ
สำหรับพวกเขาแล้ว การที่ฝูงอสูรโฉดถอยไปโดยฉับพลัน ย่อมทำให้พวกเขารอดพ้นจากความตายไปได้
แต่ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงกับซินหยวน และคนอื่นๆ ก็ไปจากอุโมงค์แห่งนี้ในทันที ดูจากทิศทางที่ไปแล้วปลายทางของพวกเขาก็คือเขตแลกเปลี่ยนนั่นเอง
พวกเขาไม่อาจรับรองได้ว่าอสูรโฉดเหล่านี้ถอยไปแล้วจริงๆ หรือแค่ถอยไปชั่วคราว ด้วยเหตุนี้จึงรีบไปที่ปากทางเข้าถ้ำเหมืองแร่โดยเร็วที่สุด
พอถึงเวลานั้นหากอสูรโฉดโผล่ขึ้นมาอีกครั้งล่ะก็ พวกเขาก็จะปลอดภัยแล้ว
ระหว่างทาง หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่พบอสูรโฉดแม้แต่ตนเดียว ราวกับว่าภัยร้ายเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็หายไป
พวกเขารีบเร่งฝีเท้าไปด้านหน้าด้วยความดีใจ ชายสองคนที่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส ก็ถูกพวกพ้องแบกไว้บนหลัง ซึ่งไม่ได้ทำให้เสียเวลาในการเดินทางเลย
ในระหว่างทาง พวกเขายังพบกับทาสเหมืองแร่กลุ่มอื่นๆ ที่มีความคิดเช่นเดียวกัน และต่างก็บาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นก็รวมกลุ่มเดินทางไปด้วยกัน
หนึ่งในนั้น หลิ่วหมิงค้นพบเงาร่างที่คุ้นเคยอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คือหญิงสาวเผ่ามนุษย์ที่ชื่อว่าชิงฉีนั่นเอง
ดูเหมือนางจะมาคนเดียว ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นนางใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงหลุดจากการไล่ล่าของอสูรโฉดร่างหมียักษ์มาอย่างปลอดภัย
ดูเหมือนนางจะค้นพบหลิ่วหมิงด้วยเช่นกัน และนางก็ฝืนยิ้มให้ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็เดินหน้าต่อ
ครึ่งวันต่อมา
เมื่อหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ กลับมาถึงอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของเขตแลกเปลี่ยนนั้น สถานการณ์ตรงหน้ากลับทำให้พวกเขารู้สึกตกใจมาก
เขตแลกเปลี่ยนในขณะนี้ ดูเละเทะเป็นอย่างมาก!
อุโมงค์ที่กว้างสองสามร้อยจั้ง เหลือพื้นที่ว่างไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งได้ทรุดลงไปแล้ว บนพื้นก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ศพจำนวนมากวางอยู่ตรงมุมบางแห่ง และส่วนมากจะเป็นเศษซากของอสูรโฉดประเภทต่างๆ มีทาสเหมืองแร่สองสามคนกำลังทำความสะอาดพื้นที่ที่เหลืออยู่
เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ ผ่านการต่อสู้ดุเดือดกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ซากอุโมงค์ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ มีทาสเหมืองแร่กลุ่มหนึ่งรวมตัวอยู่ที่นั่น และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีประมาณร้อยถึงสองร้อยคน
พอพวกหลิ่วหมิงสอบถามดูถึงรู้ว่า ก่อนหน้านั้นไม่นานมีอสูรโฉดระดับผลึกขั้นต้นตนหนึ่งพาฝูงอสูรโฉดมาปรากฏตัวบริเวณเขตแลกเปลี่ยนแห่งนี้ และทำการซุ่มโจมตีผู้คนที่อยู่ด้านใน
คนที่อยู่ในเขตแลกเปลี่ยนมาเป็นเวลานาน และบางคนที่หนีมาอยู่บริเวณนี้ พอรวมตัวกันแล้วก็มีทาสเหมืองแร่จำนวนไม่น้อย ในนั้นยังมีคนของสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ด้วย พอพวกเขาค้นพบสถานการณ์เช่นนี้ ก็ละทิ้งความขุ่นแค้นที่เคยมี และเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว
ภายใต้ความร่วมมือของทาสเหมืองแร่ระดับของเหลวขั้นปลายหลายคน พวกเขาอาศัยสภาพพื้นที่แคบๆ ของปากอุโมงค์ผลัดเปลี่ยนกันป้องกันการโจมตีของอสูรโฉด
อสูรโฉดตนอื่นยังพอรับมือได้ แต่อสูรโฉดระดับผลึกขั้นต้นเพียงหนึ่งเดียวนั้น มันยากที่จะต้านได้
การต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดคือการต่อสู้กับอสูรโฉดตนนี้
ตามที่ทาสเหมืองแร่ผู้หนึ่งเล่ามา อสูรโฉดตนนี้มีร่างเหมือนวานร มีเขาอยู่บนหัวคู่หนึ่ง ตัวมันสูงกว่าอสูรโฉดทั่วไปห้าถึงหกเท่า ทั้งตัวมีสีน้ำตาลเข้ม มีพลังไม่จำกัด ช่วงที่มันลงมือนั้น ดูดุดันเป็นอย่างมาก พลังของมันสั่นสะเทือนจนอุโมงค์สั่นไหว และเสาต่างๆ ก็พังทลายลงมา
ในขณะที่มันกำเริบเสิบสาน ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถต้านทานได้ ผ่านไปไม่นาน ทาสเหมืองแร่จำนวนมากก็ถูกมันโจมตีจนเสียชีวิต
หากไม่ใช่ว่าทาสเหมืองแร่ระดับของเหลวขั้นปลายหลายคนร่วมมือกันโจมตี และพยายามก่อกวนมันไว้ล่ะก็ เกรงว่าเขตแลกเปลี่ยนคงถูกมันพังทลายไปหมดแล้ว
แต่ในขณะนั้นเอง หลานสี่ที่เป็นครึ่งเผ่าปีศาจกับครึ่งเผ่าเจ้าสมุทร และเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ ก็พุ่งออกมาจากเส้นทางแห่งหนึ่ง และโจมตีอสูรโฉดร่างวานรยักษ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อต่อสู้อย่างดุเดือดไปได้ระยะหนึ่ง หลานสี่ก็ยอมเสียแขนข้างหนึ่งอย่างไม่เสียดาย เขาปล่อยเคล็ดวิชาที่มีอานุภาพน่าตกใจออกมา พริบตาเดียวก็ทำให้อสูรโฉดร่างวานรยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังทำให้ตาของมันบอดไปข้างหนึ่งด้วย
อสูรโฉดร่างวานรยักษ์จึงวิ่งหนีไปทันที จากนั้นอสูรโฉดตนอื่นก็ร่นถอยตามไป
และหลานสี่ที่เสียค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลเช่นนี้ กลับไม่ยอมให้โอกาสทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ พูดอะไรออกมา พอเขายกแขนข้างหนึ่งขึ้น พายุปีศาจสีฟ้าก็ก่อตัวขึ้นมา จากนั้นพายุก็ม้วนตัวพาจื่อหมิงที่มีเกล็ดสีทองบนใบหน้าหายไปจากอุโมงค์พร้อมกับเขา
พอหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ฟังจบ ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงฝีเท้ากระชั้นชิดดังขึ้นบนทางเดิน
ต่อมาก็มีเงาร่างเคลื่อนไหว คนพันธมิตรเหล็กยี่สิบกว่าคนที่มีสัญลักษณ์ดวงตาสีเหลืองปักอยู่บนแขนเสื้อพากันพุ่งออกมา
บนตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยฝุ่น และต่างก็มีบาดแผลตามตัว เห็นได้ชัดว่าผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือดเช่นกัน
มีเพียงแค่ชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างปานกลาง ผิวสีน้ำตาลเข้ม ที่ดูเหมือนจะไม่มีบาดแผลใดๆ เลย สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงมาก
“หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้นำของพันธมิตรเหล็ก?” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่แล้วถามซินหยวน
“เฮ่อๆ! ไม่ผิด คนผู้นี้ก็คือเหยียนลัว ผู้นำพันธมิตรเหล็กนั่นเอง ข้ากับเขานับว่ามีความสนิทสนมกันเล็กน้อย” ซินหยวนหัวเราะ และแบกกระบองไว้บนบ่าก่อนกล่าวออกมา แต่ยังกล่าวไม่ทันจบก็ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่ออาการบาดเจ็บภายในจนต้องไอออกมา
ดูเหมือนว่าเสียงไอจะดึงดูดความสนใจของ ‘เหยียนลัว’ ผู้นั้น และเขาก็รีบก้าวยาวๆ เข้ามาหาด้วยความประหลาดใจ
“ซินหยวน เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บหรือ และยังดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บสาหัสด้วย หรือว่าเผชิญหน้ากับอสูรโฉดระดับผลึกเข้า?” น้ำเสียงของเหยียนลัวราวกับเสียงระฆังที่ดังกังวาน น้ำเสียงแฝงไปด้วยการหยอกล้อ แต่สีหน้ามีความกังวลอยู่เล็กน้อย
“เฮ่อๆ! หากเผชิญหน้ากับอสูรโฉดระดับผลึกจริงๆ ไหนเลยจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ ใช่สิ! พี่เหยียน น้องขอแนะนำคนผู้หนึ่งให้ท่านรู้จัก ท่านนี้คือสหายหลิ่วหมิง อย่ามองว่าเขามีพลังแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง ความจริงแล้วเขามีพลังแข็งแกร่งมาก หากครั้งนี้ไม่มีเขา ชีวิตของน้องคงน่าเป็นห่วงแล้ว” ซินหยวนกลับไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มและแนะนำหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง
“อ๋อ! เรื่องเจ้าซาถูกฆ่าในก่อนหน้านั้น ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ดูเหมือนว่าจะถูกคนมาใหม่ที่ชื่อว่า ‘หลิ่วหมิง’ ฆ่า หรือว่าคนผู้นั้นก็คือเจ้า?” ชายฉกรรจ์ที่ชื่อเหยียนลัวสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที และลูบคางไปมา จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เป็นข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านกับเจ้าซา……” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“สบายใจได้ พวกเขาทั้งสองไม่ได้สนิทกัน และยังมีเรื่องบาดหมางใจกันไม่น้อย พี่หลิ่วไม่ต้องกังวลไป เห็นท่าทีของเขาดูน่าตกใจเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วกลับมีนิสัยที่ไม่เลว” ซินหยวนหัวเราะและกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ปกติข้ากับเจ้าซามีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ด้วยเรื่องราวหลายอย่างจึงไม่สะดวกลงมือกับเขา ตอนนี้สหายหลิ่วจัดการเขาแล้ว ก็ช่วยลดปัญหาข้าไปได้ไม่น้อย ข้าควรต้องขอบคุณสักหน่อย” เหยียนหลัวได้ยินเช่นนี้ก็มองชายหนุ่มทีหนึ่ง แต่ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด จากนั้นก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“พี่เหยียนกล่าวเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“น้องซินเคยช่วยชีวิตข้าไว้ และตอนนี้เจ้าก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เพราะฉะนั้นเจ้าก็นับว่าเป็นสหายของข้าด้วย ต่อไปพี่หลิ่วเรียกข้าว่าเหยียนลัวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเรียกสหายอะไรให้มากความ” เหยียนลัวพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
จากการสนทนาในเวลาต่อมา หลิ่วหมิงถึงทราบว่าที่แท้ซินหยวนกับเหยียนหลัวมาจากเกาะแห่งหนึ่งในทะเลชังไห่ที่มีชื่อว่า ‘เกาะชวนวา’ และรู้จักกันก่อนถูกคนของราชาปีศาจสมุทรจับตัวมาเป็นทาสเหมืองแร่ และซินหยวนยังเคยช่วยชีวิตเหยียนลัวไว้หนึ่งครั้ง ด้วยเหตุนี้พอมาถึงถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึก แม้ว่าซินหยวนจะไม่ยอมเข้าร่วมกับพันธมิตรเหล็ก แต่เหยียนลัวก็ยังคงดูแลเขาตามปกติ
“ครั้งนี้ภัยร้ายเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทั้งยังดูเหมือนจะรวมตัวกันโจมตีเขตแลกเปลี่ยนที่อยู่ใกล้ทางออกโดยเฉพาะ ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ซินหยวนมองดูซากปรักหักพังตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
“เรื่องนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ตามหลักแล้วตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มันควรประทุออกมา” เหยียนลัวขมวดคิ้วและกล่าวออกมา
“พี่เหยียน พวกเราเพิ่งทราบมาว่าตอนที่สถานที่แห่งนี้ถูกอสูรโฉดล้อมโจมตีนั้น หลานสี่ผู้นั้นได้ปรากฏตัวออกมา และยอมเสียแขนไปหนึ่งข้าง โจมตีจนอสูรโฉดระดับผลึกล่าถอยออกไป แบบนี้มันเหมือนไม่ใช่นิสัยของเขา หรือว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่?” ซินหยวนลังเลเล็กน้อยแล้วถามเหยียนลัวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หากจะบอกว่าผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้ยอมเสียแขนเพื่อช่วยชีวิตทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ที่อยู่ในเขตแลกเปลี่ยนล่ะก็ คงไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าจะบอกว่าเพื่อหญิงสาวเผ่าเกล็ดทองผู้นั้นล่ะก็ ก็ยังดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
เพราะว่าหลานสี่ผู้นั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสของเผ่าเจ้าสมุทรที่แท้จริง เพียงแค่มีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่งเท่านั้น
…………………………………