ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 400 แลกมือ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การกระทำของเขาก็สามารถจัดการภัยร้ายในครั้งนี้ได้ ส่วนสาเหตุนั้น เขาคงมีเหตุผลของเขาเอง” เหยียนลัวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน เขารับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าฝ่ายตรงข้ามคงรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่แสดงสีหน้าผิดปกติออกมาเลยแม้แต่น้อย
ซินหยวนได้ยินเหยียนลัวตอบเช่นนี้ ตอนแรกก็รู้สึกตะลึง แต่ก็แสดงสีหน้ารับรู้ในทันที หลังจากหัวเราะเฮ่อๆ แล้วก็ไม่ถามอะไรต่อ
ในระหว่างการสนทนา มีคนเผ่าเจ้าสมุทรระดับของเหลวหลายคนเดินออกมาจากเส้นทางสายหนึ่ง หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว ก็เดินไปยังกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่อย่างเร่งรีบ ไม่นานก็ถูกคนเผ่าเจ้าและเผ่าปีศาจที่อยู่ในกลุ่มอิทธิพลเดียวกันรายล้อม และมีเสียงแสดงความคิดเห็นต่างๆ ดังออกมาเบาๆ
ผ่านไปสักพัก ดูเหมือนเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นจะมีความเห็นเดียวกัน ภายใต้การจ้องมองของกลุ่มอิทธิพลขนาดเล็กและขนาดกลาง ไม่นานพวกเขาก็เดินตามผู้ที่มาใหม่ไปยังทิศทางแห่งหนึ่ง พริบตาเดียวก็หายไปจากทางเดินสายนั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เหยียนลัวที่อยู่ด้านข้างกลับไม่มีท่าทีสนใจเลยแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากเส้นทางอีกสายหนึ่ง จากนั้นคนของพันธมิตรเหล็กก็ปรากฏออกมาห้าคน และเดินตรงมาทางเหยียนหลัว
“พี่ใหญ่เหยียน พวกข้าทั้งหลายได้สำรวจพื้นที่ในบริเวณรัศมีหลายลี้ไปหนึ่งรอบ นอกจากจะค้นพบศพจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่ค้นพบอสูโฉดที่มีที่ยังมีชีวิตอยู่เลย” พอคนเหล่านี้เดินมาถึงหน้าเหยียนลัว คนที่เป็นหัวหน้าก็กล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“อืม! ดีมาก ดูจากร่องรอยในตอนนี้แล้ว คงมั่นใจได้แล้วว่าอสูรโฉดเหล่านี้ล่าถอยไปแล้วจริงๆ และไม่มีสัญญาณของการกลับมาอีก” พอเหยียนลัวฟังจบก็มีสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ากล่าว
พอคนอื่นได้ยินผู้นำกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะโล่งใจขึ้นมามาก
“แต่เพื่อความมั่นใจ ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปส่วนลึกของสายแร่จะดีกว่า เพราะภัยร้ายในครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ไม่อาจรับรองได้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก” ซินหยวนกลับแนะนำอย่างรอบคอบ
“น้องซินหยวนกล่าวได้ถูกต้อง อีกอย่างตอนนี้พวกเราต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันมามาก ไม่สู้ตามข้ากลับไปที่ตั้งของพันธมิตรเหล็กแล้วค่อยวางแผนกันยาวๆ น้องซินหยวนมีความเห็นว่าอย่างไร? ระยะห่างใกล้เช่นนี้ หากอสูรโฉดเหล่านั้นปรากฏตัวอีกครั้ง พวกเราก็สามารถไปหลบที่ชั้นจำกัดนอกอุโมงค์ได้ทัน” พอเหยียนลัวฟังคำพูดของซินหยวนแล้ว เขาก็พยักหน้าตอบรับ และถามออกไป
เมื่อซินหยวน หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ หารือกันเล็กร้อยแล้ว ก็ไม่มีท่าทีคัดค้านแต่อย่างใด
เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนมากย่อมจะปลอดภัยกว่า ยิ่งเป็นสถานที่ของหนึ่งในสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่แล้ว ก็ยิ่งปลอดภัยกว่าเดิม
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ต่อให้ภัยร้ายจะเกิดจะเกิดขึ้นอีก พวกเขาก็สามารถหนีไปยังทางเข้าถ้ำเหมืองแร่ได้อย่างรวดเร็ว
“ดี! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบเดินทางเถอะ แต่คราวนี้ต้องเดินอ้อมไกลหน่อยนะ” เหยียนลัวเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ที่แท้ฐานตั้งมั่นของพันธมิตรเหล็กก็อยู่ห่างจากเขตแลกเปลี่ยนไม่ค่อยไกลมากนัก แค่เดินผ่านทางเดินสองสามสาย และอุโมงค์สองสามแห่งก็ถึงที่หมายแล้ว แต่ตอนนี้ ทางเดินไปที่มุ่งตรงไปยังฐานที่มั่นได้พังทลายลง เนื่องจากการต่อสู้ในก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงต้องเดินอ้อมไปอีกหน่อย
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฐานที่มั่นของพันธมิตรก็ห่างจากเขตแลกเปลี่ยนแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น
ต่อมา เหยียนลัวก็สั่งให้คนจำนวนหนึ่งเฝ้าดูความเคลื่อนไหวอยู่ตรงเขตแลกเปลี่ยน จากนั้นก็พาซินหยวน หลิ่วหมิง และลูกน้องคนอื่นๆ ราวๆ สามสิบถึงสี่สิบคนเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
ระหว่างทาง ขณะที่ซินหยวนเล่าเรื่องการต่อสู้ที่เผชิญมาให้น่าเหยียนลัวฟังนั้น เขาก็ชื่นชมพลังของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
“พี่เหยียนไม่รู้อะไร สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก เดิมทีข้ากะจะอาศัยสภาพแคบๆ ของปากถ้ำผลัดเปลี่ยนกันป้องกันการโจมตี แต่คิดไม่ถึงว่าอสูรโฉดจะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ หากไม่ใช่ว่าพี่หลิ่วโจมตีอสูรโฉดระดับของเหลวขั้นปลายตนหนึ่งจนล่าถอย และคอยป้องกันไม่ให้อสูรโฉดบริเวณนั้นเข้าใกล้ล่ะก็ ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย” ขณะนี้ซินหยวนแบกกระบองหลอมผสมอันนั้นอยู่ สีหน้าของเขายังดูซีดขาวเช่นเดิม แต่พอพูดถึงเรื่องราวในวันนั้นกลับมีสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากสีหน้าเยือกเย็นในตอนเจอหลิ่วหมิงครั้งแรก
“เฮ่อๆ! พี่ซินชมเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้าแค่ป้องกันตัวเท่านั้น” พอหลิ่วหมิงได้ยินซินหยวนกล่าวชมตนเอง เขาก็ได้แต่ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“อ๋อ! ที่แท้น้องหลิ่วก็มีพลังไม่ธรรมดา?” พอเหยียนลัวฟังซินหยวนเล่าจบ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาดูสนใจหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ไม่เพียงแต่เท่านี้ พี่หลิ่วยังใช้กระบองเหล็กหลอมผสมของข้าได้ด้วย เกรงว่าพลังคงจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างเผ่าฆ้องทองแดงของท่านอย่างแน่นอน” ซินหยวนหัวเราะเฮ่อๆ! และกล่าวเสริมขึ้นมา
“ดี! น้องหลิ่ว รอถึงฐานที่มั่นแล้วพวกเรามาแลกมือกันเล็กน้อยเถอะ?” เหยียนลัวกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เรื่องนี้……” หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“พี่หลิ่วไม่ต้องลังเล เผ่าฆ้องทองแดงชอบการต่อสู้มาแต่ไหนแต่ไร พี่เหยียนเกิดอารมณ์อยากจะลองดูก็เป็นเรื่องธรรมดา” พอซินหยวนเห็นท่าทีลังเลของหลิ่วหมิง เขาก็พูดเสริมอย่างไม่ใส่ใจ
“ได้! ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของพี่เหยียนมานาน พอถึงเวลานั้นคงต้องขอคำแนะนำจากผู้แข็งแกร่งเผ่าฆ้องทองแดงแล้ว” หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยปากตอบรับในทันที
สำหรับเขาแล้ว การได้ทดสอบพลังที่แท้จริงของผู้นำพันธมิตรเหล็ก เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องหลิ่วก็เป็นคนตรงไปตรงมา พวกเรารีบหน่อยเถอะ ตอนนี้อยู่ห่างจากฐานที่มั่นไม่ค่อยไกลแล้ว” เหยียนลัวเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลงเช่นนี้ เขาก็ตบมือหัวเราะใหญ่
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึงอุโมงค์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
พื้นที่อุโมงค์กว้างร้อยจั้ง สูงสิบกว่าจั้ง และดูกว้างขวางเป็นอย่างมาก นอกจากทางที่เดินมาในตอนแรกแล้ว ยังมีอีกสองเส้นทางที่ไม่รู้ว่าทอดยาวไปที่ใด
ผนังหิน และเพดานมีหินเรืองแสงสีเขียวฝังอยู่จำนวนมาก มันเปล่งแสงจางๆ ส่องสะท้อนบึงน้ำสีเขียวที่มีขนาดครึ่งหมู่จนดูใสแจ๋วขึ้นมา
รอบๆ บ่อน้ำมีบ้านหินอยู่หลายสิบหลัง บานประตูแต่ละบานมีเครื่องหมายรูปดวงตาสีเหลืองสลักอยู่
ในอุโมงค์ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว คิดว่าทุกคนคงหนีไปที่อื่นในตอนที่ภัยร้ายประทุออกมา
พอพวกเขาเข้าไปในอุโมงค์ ก็ทำความสะอาดเล็กน้อย จากนั้นเข้าไปพักผ่อนในบ้านหิน
ทั้งคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันที่สอง เหยียนลัวกับหลิ่วหมิงก็ยืนสบตากันอยู่หน้าบ่อ
บริเวณนั้นมีคนจำนวนมากกำลังล้อมดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ซินหยวนและคนอื่นๆ ก็อยู่ในนั้น
“น้องหลิ่ว พวกเราเริ่มกันเถอะ!” ชายฉกรรจ์ประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา
“เช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากพี่เหยียนด้วย!” เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเผ่าฆ้องทองแดงผู้นี้ หลิ่วหมิงก็ไม่กล้าเมินเฉย หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เหยียนลัวได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา เขาสะบัดแขนทั้งสองเบาๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับประทัดดังออกมาจากร่าง
ครู่ต่อมา กลิ่นไออันแข็งแกร่งที่มีเฉพาะระดับของเหลวขั้นปลายก็พุ่งออกจากร่างของเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้าน ขณะที่คิดจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อแสดงเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั้น พลันได้ยินเสียงของซินหยวนดังขึ้นข้างหู
“พี่หลิ่ว หากเป็นไปได้ล่ะก็ ลองแสดงวิชาขี่กระบี่ของท่านดูก็ได้ หากแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีผลประโยชน์มากมายรอท่านอยู่”
พอหลิ่วหมิงฟังจบ แม้จะมีสีหน้าปกติแต่กลับรู้สึกแปลกใจมาก
คิดไม่ถึงว่าซินหยวนจะให้เขาแสดงวิชาขี่กระบี่ที่สิ้นเปลืองพลังเวทย์มากที่สุด และยังไม่บอกเหตุผลที่ชัดเจนด้วย
สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยลางสังหรณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป เขากลับรู้สึกได้ลางๆ ว่าชายหนุ่มร่างผอมผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด หลังจากใช้ดุลพินิจคิดดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจลองทำตามที่ชายหนุ่มบอกสักครั้ง
หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจได้แล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อในทันที กระบี่เล็กสีดำปรากฏออกมาในมือ พอสั่นไหวตามแรงลม ก็ส่งเสียงดังกังวานออกมา
พริบตานั้น เงากระบี่ปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นกระบี่แสงสีดำที่ยาวจั้งกว่าๆ มันห่อหุ้มกระบี่เล็กสีดำไว้ในนั้น ขณะเดียวกันไอกระบี่อันน่าตกใจก็ประทุออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้นส่งเสียงดังอู้อี้ ราวกับว่าใบมีดไร้รูปจำนวนมากกำลังประสานกันกลางอากาศ
“ผู้ฝึกกระบี่”
เหยียนลัวเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาแต่อย่างใด แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความดีใจ
ประจักษ์ชัดว่าเรื่องการใช้วิชาขี่กระบี่สังหารเจ้าซาในก่อนหน้านั้น ผู้นำพันธมิตรเหล็กผู้นี้ก็รู้อย่างชัดเจน
พอเขาส่งเสียงคำราม เส้นเอ็นบนแขนทั้งสองข้างก็นูนขึ้นมา เมื่อแขนทั้งสองแยกออกจากกัน แสงสีน้ำตาลเข้มก็เปล่งประกายออกมาบนแขนทั้งสอง และแผ่ขยายไปทั่วร่าง
พริบตาเดียว เหยียนลัวก็ดูคล้ายกับมนุษย์ทองแดงที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ภายใต้การส่องสะท้อนของหินเรืองแสง ร่างของเขาก็ส่องแสงโลหะแวววาวออกมา เขาก้าวเท้าเดินไปด้วยเสียงอันดัง ทุกย่างก้าวล้วนหนักอึ้งเป็นอย่างมาก อานุภาพน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา มือข้างหนึ่งแตะกระบี่แสงตรงหน้าเบาๆ
“ฟู่!” กระบี่แสงกลายเป็นสายรุ้งสีดำแวววาวพุ่งยิงออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นเงากระบี่สีดำที่ยาวเจ็ดแปดจั้งอยู่เหนือศีรษะเหยียนลัว และฟันลงไปทันที
เงากระบี่ยักษ์ยังไม่ทันได้ฟันลงไป มันก็ส่งเสียงแหลมดังออกมา บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่านได้ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจำนวนมาก
เหยียนลัวเผชิญหน้ากับการโจมตีอันน่าตกใจเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนถูกแทงด้วยความเจ็บปวด แต่เขากลับไม่รู้สึกโมโห และไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด
เขายกแขนทองแดงข้างหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าแขนข้างนี้สวมถุงมือสีเงินแวววาวตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเขาตะโกนออกมา ก็ปล่อยกำปั้นใส่อากาศอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพลังไร้รูปบางอย่างก็พุ่งขึ้นฟ้า
บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
แสงทรงกลดสีเงินปรากฏเหนือศีรษะของเหยียนลัว ทั่วทั้งอุโมงค์ค่อยๆ สั่นสะเทือนขึ้นมา
หลังจากเงากระบี่ยักษ์กลางอากาศค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกแสงสีเงินคุกคามจนเบี่ยงเบนเล็กน้อย และร่วงลงบนไหล่ของเขา
“ตู๊ม!”
พื้นทางฝั่งชายฉกรรจ์ถล่มลงทันที ร่องลึกขนาดใหญ่ที่ยาวสิบกว่าจั้งปรากฏออกมา ทำให้บ่อน้ำตรงหน้าแยกออกจากกัน
ขณะที่ทุกคนร้องออกมาด้วยความตกใจนั้น ก็ค้นพบว่าหัวไหล่ทางด้านขวาของเหยียนลัวมีรอยสีแดงปรากฏออกมา และโลหิตบริสุทธิ์ก็พุ่งออกมาจากในนั้น
…………………………………