ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 402 ค่ายกลกระบี่แม่ลูกเก้าจันทรา
ซินหยวนไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะรู้แต่แรกแล้วว่าหลิ่วหมิงจะทำเช่นนี้
เมื่อหลิ่วหมิงทำทุกอย่างนี้เสร็จ และมั่นใจว่าสามารถป้องกันพลังจิตของระดับของเหลวได้แล้ว เขาจึงถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ! ตอนนี้พี่ซินสามารถบอกความจริงกับข้าได้แล้ว ด้วยความสามารถของหลานสี่กับเหยียนลัว บวกกับมีผู้แข็งแกร่งอย่างพี่ซินคอยช่วย ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถทำได้อีก ทำไมถึงต้องมาหาข้าที่เพิ่งเข้ามาที่นี่ได้ไม่นาน ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นสายของราชาปีศาจสมุทรหรือ! ส่วนผู้เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาในการโจมตีนั้น ในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายอยู่เป็นจำนวนมาก ทำไมถึงยังรวบรวมจำนวนคนไม่ได้สักที ไม่ว่าจะดูอย่างไร คนอื่นๆ ก็เหมาะกว่าข้ามาก” หลิ่วหมิงพูดจบก็จ้องมองซินหยวนด้วยตาที่เป็นประกาย
ซินหยวนได้ยินก็อึ้งไปทันที หลังจากมองดูม่านแสงสีขาวบริเวณนั้นแล้ว ถึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ในเมื่อพี่หลิ่วถามเช่นนี้ ข้าก็จะพูดตามตรง วันนั้นข้าให้พี่หลิ่วกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อแสดงวิชาขี่กระบี่ต่อหน้าเหยียนลัวอย่างไม่เสียดาย ประการแรกเป็นเพราะว่า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจที่ท่านมอบโอสถให้ในวันนั้น เลยอยากจะให้โอกาสพี่หลิ่วสักครั้ง ประการที่สอง แผนการนี้พวกเราขาดคนที่มีพลังการโจมตีแข็งแกร่งหนึ่งคนจริงๆ พี่หลิ่วคงไม่คิดจริงๆ หรอกนะว่า ผู้มีพลังการโจมแข็งแกร่งที่ข้าพูดถึง จะหมายถึงใครก็ได้! ต่อให้ในบรรดาทาสเหมืองระดับของเหลวขั้นปลายคนอื่นๆ จะมีผู้ที่มีเคล็ดวิชาการโจมตีอันน่าตกใจอยู่หลายคน ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาขี่กระบี่เลย แต่พวกเขาถูกขังมานานหลายปี และไม่มีพลังจิตวิญญาณหล่อเลี้ยงร่างกายมานาน เกรงว่าแม้แต่เส้นชีพจรก็คงจะเหี่ยวเฉาไปไม่น้อย ไหนเลยจะยังสามารถแสดงเคล็ดวิชาที่มีอานุภาพได้ ส่วนพี่หลิ่วไม่เหมือนกัน ท่านเพิ่งเข้ามาในนี้ได้ไม่นาน ทั้งยังรักษาพลังเวทย์ได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง วิชาขี่กระบี่ที่แสดงออกมา ยังคงแหลมคมเหมือน กับตอนที่อยู่ในโลกภายนอก แบบนี้ถึงเป็นคนที่พวกเราต้องการจริงๆ เท่าที่ข้าทราบมา ไม่รู้เป็นเพราะเหตุผลอะไร ถึงต้องใช้ผู้ที่มีพลังการโจมตีแข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง ถึงจะดำเนินการได้อย่างราบรื่น และก่อนหน้านั้นไม่นานดูเหมือนว่าจะมีคนแนะนำตัวเลือกให้อีกคน ต่อให้พี่หลิ่วจะตอบรับ แต่พอถึงเวลานั้นอาจต้องแย่งชิงกับเขาก็ได้ มาจนถึงวันนี้ แผนการนี้ได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จำต้องดำเนินการเท่านั้น และก็ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้อีก”
พอพูดมาถึงตอนท้าย สีหน้าของซินหยวนก็ดูรอบคอบขึ้นมา
สำหรับเขาแล้ว ตั้งแต่ที่เห็นหลิ่วหมิงใช้วิชาขี่กระบี่สังหารเจ้าซาในวันนั้น เขาก็มีความคิดที่จะดึงหลิ่วหมิงมาเป็นพวกแล้ว
ต่อมาเมื่อเผชิญหน้ากับภัยร้าย และหลิ่วหมิงได้มอบโอสถให้กับเขา ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ถึงแนะนำหลิ่วหมิงให้กับเหยียนลัวอย่างไม่ลังเล และยังขอร้องให้ตนเองเป็นคนมาพูดเกลี้ยกล่อม
แม้หยียนลัวจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นแค่คนที่เพิ่งมาใหม่ แต่ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ย่อมไม่อาจพะวงอะไรได้มากนัก
อีกอย่าง ก่อนหน้านั้นเขาก็ได้เห็นอานุภาพวิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงมากับตา และยังมีซินหยวนแนะนำเช่นนี้ เขาจึงเห็นด้วยในทันที จากนั้นก็ส่งคนสนิทระดับของเหลวขั้นปลายสองคนตามซินหยวนมาที่นี่
พอหลิ่วหมิงฟังซินหยวนเล่าจบ ก็เงียบไปสักพักหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อพี่ซินพูดมามากมายเช่นนี้ คงเป็นเรื่องจริงซะส่วนใหญ่ แต่จะให้ข้าเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าพี่เหยียนลัวเขาหาวิธียับยั้งชั้นจำกัดภายในร่างได้แล้วจริงๆ”
ดูเหมือนซินหยวนจะคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าหลิ่วหมิงจะต้องถามเช่นนี้ เขาจึงโยนขวดสีดำที่มีอักขระลึกลับสลักอยู่ให้หลิ่วหมิง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูลึกลับ
“หากครั้งหน้าพิษในร่างของพี่หลิ่วกำเริบ ก็ให้ทานสิ่งที่อยู่ในขวดนี้ หลังจากนั้นก็จะรู้ผลลัพธ์เอง”
หลิ่วหมิงรับขวดเล็กๆ เอาไว้ และรีบดึงจุกออกมาอย่างรวดเร็ว เขาค้นพบว่าข้างในมีแค่สิ่งของดำๆ ที่ดูคล้ายไข่หนอนอยู่ใบหนึ่งเท่านั้น มันยาวครึ่งฉื่อ ขนาดใหญ่เท่าตะเกียบ และอยู่นิ่งๆ โดยไม่มีคลื่นพลังจิตวิญญาณแผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงจ้องมองสิ่งของในนั้นอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็มองไม่เห็นเส้นสนกลในอะไร เขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอบคุณพี่ซินมาก หากสิ่งที่อยู่ในขวดได้ผลจริงๆ ล่ะก็ ข้าย่อมเข้าร่วมกับพวกท่านอย่างแน่นอน โอกาสอันดีเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ละทิ้งเป็นแน่”
หากสามารถจัดการไอหมอกสีดำที่ก่อกวนเขามานานได้ เขาย่อมรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
ส่วนกลุ่มแสงโลหิตในทะเลจิตวิญญาณนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดถึง แต่คิดว่าคงมีแผนที่ปลอดภัยแล้ว อย่างมากคงต้องรอให้เขาเข้าร่วมก่อนถึงจะบอกเพิ่มเติมได้
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยความดีใจ
“พี่หลิ่วเลือกไม่ผิดอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อนไปรายงานพี่เหยียนลัวก่อน”
หลิ่วหมิงพยักหน้าและก็ไม่ได้ยืดเยื้ออะไร จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปยังม่านแสงสีขาว
“ฟู่!” ม่านแสงสีขาวกลายเป็นจุดๆ แล้วสลายไป
ซินหยวนกุมมือคารวะหลิ่วหมิง และหันตัวเดินจากไปทันที
ขณะที่ซินหยวนจากไปได้ไม่นาน กลิ่นไอสองแบบที่ซ่อนอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำก็หายไปด้วย
หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในถ้ำ เขาใช้มือลูบอักขระบนขวดสีดำไปมา และจมดิ่งเข้าไปในความคิดอีกครั้ง
……
ขณะเดียวกัน ในห้องลับของพระราชวังใต้ทะเลที่มีชั้นจำกัดปกคลุมอย่างแน่นหนาแห่งหนึ่ง
เย่เทียนเหมยกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าเตียงหยกสีขาวแวววาวด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวกับหิมะ
ใบหน้าของนางยังคงงดงามไม่เป็นสองรองใคร แต่ว่าบนตัวถูกปกคลุมด้วยแสงสีเงินจางๆ ระยิบระยับ ภายใต้การส่องสะท้อนของผลึกหินสีฟ้าบริเวณรอบๆ ที่มีคลื่นแสงหมุนวนอยู่ ทำให้ดูงดงามราวกับความฝัน
รอบด้านของนางมีกระบี่ยาวสีเงินที่ยาวฉื่อกว่าๆ ปักอยู่ ซึ่งมีมากถึงแปดเล่ม และก่อตัวเป็นวงกลมพร้อมเปล่งแสงเย็นสะท้านออกมา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด นางได้ลืมตาขึ้นมา หลังจากกวาดสายตาดูกระบี่ยาวสีเงินรอบด้านแล้ว ก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ ถึงพูดกับตนเองด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“สัญญาสิบปี! คู่รักฝึกฝนอันน่าขบขัน คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อสัญญานี้? แม้จะไม่รู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อันใด แต่รอข้าฝึกฝนค่ายกลกระบี่แม่ลูกเก้าจันทราที่ไม่กล้าฝึกฝนมาโดยตลอดสำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ภายใต้การรวมตัวของเก้ากระบี่ หากข้าคิดจะไปจากที่นี่ จะมีใครสามารถตามข้าได้ทัน!”
พอเย่เทียนเหมยพูดพึมพำจบ สีหน้าของนางก็ดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็อ้าปากพ่นกระบี่เล็กสีเงินที่ยาวไม่กี่ชุ่นออกมา หลังจากหมุนวนอยู่เหนือศีรษะจนกลายเป็นกลุ่มแสงสีเงินแล้ว มันก็ส่งเสียงดังกังวาน และกระบี่ยาวสีเงินทั้งแปดที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับว่ากำลังขานรับกันอยู่
เย่เทียนเหมยตาเป็นประกาย นิ้วเรียวเล็กทั้งสิบเปลี่ยนท่าทางไปมาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นท่ามือประหลาดๆ ขณะเดียวกัน เสียงร่ายคาถาก็ดังออกมาเป็นระลอกๆ
ครู่ต่อมา นางหยุดทำท่ามือชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ตะคอกเสียงอ่อนนุ่มออกมา แสงสีเงินจางๆ บนตัวเปล่งประกายวูบวาบ และอักขระสีเงินแต่ละตัวก็ค่อยๆ หมุนวนออกมา
ท่ามกลางแสงสีเงินที่ปกคลุม นางดูเย็นยะเยือกราวกับเทพธิดาในวังจันทรา พอร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่สั่นสะท้าน นางก็ค่อยๆ ลอยขึ้นบนอากาศ และหมุนวนอย่างช้าๆ ชุดบนตัวก็โบกสะบัดโดยที่ไม่มีลม
พอเย่เทียนเหมยเลิกคิ้วขึ้น นางก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง อักขระสีเงินพุ่งออกจากปลายนิ้วเป็นสายๆ และกระพริบหายเข้าไปในกระบี่ยาวสีเงินที่อยู่บริเวณรอบๆ
ครู่ต่อมา กระบี่ยาวสีเงินแต่ละเล่ม เปล่งประกายออกมาติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมา ทันใดนั้นก็สามารถมองเห็นเงากระบี่เงินได้อย่างลางๆ
กระบี่เล็กที่อยู่เหนือศีรษะของนาง เปล่งแสงสีเงินออกมา จากนั้นก็กลายเป็นไหมแสงสีเงินจำนวนมาก และประสานกับเงาแสงที่กระบี่สีเงินทั้งแปดปล่อยออกมา
พริบตานั้น ค่ายกลกระบี่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้น โดยมีเย่เทียนเหมยเป็นจุดศูนย์กลาง
ในขณะนั้นเอง ร่างของเย่เทียนเหมยก็หยุดหมุนในทันที จากนั้นนางก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่ด้วยแววตาเยือกเย็น
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
กระบี่ยาวทั้งแปดพุ่งขึ้นจากพื้น ภายใต้การควบคุมของเย่เทียนเหมย ทำให้มันหมุนวนรอบๆ กระบี่เล็กอย่างรวดเร็ว
การหมุนในแต่ละรอบทำให้แสงสีเงินบนกระบี่ยาวสว่างขึ้นเล็กน้อย ความเร็วในการหมุนก็เร็วขึ้นเช่นกัน
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ กระบี่ยาวสีเงินทั้งแปดก็ดูแสบตาเป็นอย่างมาก และพอมันสั่นสะท้าน ก็พุ่งใส่กระบี่เล็กที่อยู่ตรงกลางพร้อมกัน
“ตู๊ม!”
กลุ่มแสงสีเงินปรากฏเหนือศีรษะของนางทันที มันดูคล้ายกับจันทราสีเงินที่อยู่กลางอากาศ และส่องแสงแสบตายิ่งนัก
ท่ามกลางแสงสีเงิน มีอักขระต่างๆ ปรากฏขาดๆ หายๆ มันดูมีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก
จากนั้นแสงสีเงินก็ดับลง กระบี่ยักษ์ที่แผ่กลิ่นไอสังหารอันน่าตกใจ และเปล่งประกายแสงสีเงินแวววาวได้ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเย่เทียนเหมย ในขณะนั้นมันดูทรงพลังเป็นอย่างมาก
เย่เทียนเหมยจ้องกระบี่ยักษ์สีเงินตรงหน้า และพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาอย่างไม่ลังเล นิ้วทั้งสิบดีดใส่โลหิตบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกโลหิตหมุนวนอยู่กลางอากาศในทันที และค่อยๆ จมหายเข้าไปในกระบี่ยักษ์
พริบตาที่หมอกโลหิตหายเข้าไปในกระบี่ยักษ์ มันก็เปล่งแสงโลหิตออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน
เกิดเสียงดังกังวาน!
ภายใต้การเปล่งประกายของกระบี่ยักษ์สีเงิน มันก็แยกตัวเป็นกระบี่เก้าเล่มอีกครั้ง กระบี่เล็กกลายเป็นแสงสีเงินหมุนวนรอบตัวหญิงสาว ส่วนกระบี่อีกแปดเล่มก็กลับไปอยู่ที่ตำแหน่งเดิม มีอักขระจำนวนหนึ่งปรากฏออกมาบนพื้นผิว และแต่ละเล่มต่างก็มีไหมแวววาวเส้นหนึ่งเชื่อมต่อกับกระบี่เล็กไว้
เย่เทียนเหมยชี้มือข้างหนึ่งไปทางกระบี่เล็ก ทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงอย่างบ้าคลั่ง กระบี่ยาวทั้งแปดก็มีแสงสีเงินสั่นไหว และเปล่งประกายวูบวาบราวกับขานรับกันอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้เย่เทียนเหมยถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ และค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง และทำสมาธิต่อ
กระบี่ทั้งเก้าค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง แต่ขณะที่เย่เทียนเหมยหายใจเข้าออก มันก็กระพริบตามจังหวะหายใจเข้าออก ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างนาง
แต่ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงเย็นสะท้าน ก็มีค่ายกลสีเงินปรากฏขาดๆ หายๆ ตามจังหวะหายใจของเย่เทียนเหมยเช่นกัน
…………………………………