ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 403 หลานสี่
สองวันต่อมา
ภายในห้องโถงอันงดงามละเอียดอ่อนที่อยู่ในพระราชวังใต้สมุทร
ราชาปีศาจสมุทรที่สวมชุดคลุมสีขาวทั้งตัว นั่งอยู่บนเก้าอี้หยกสีขาว
ห้องโถงไม่ใหญ่มาก ริมหน้าต่างมีบุปผาสีฟ้าอ่อนไม่ทราบชื่อวางอยู่หลายกระถาง ทั้งสองข้างยังมีชายหญิงครู่หนึ่งยืนอยู่
หญิงสาวมีใบหน้างดงามเป็นอย่างมาก นางสวมชุดสีเขียว รูปร่างสะโอดสะอง ผิวขาวราวกับหิมะ อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี นางก็คือเจียหลานนั่นเอง
ขณะนี้ นางยืนก้มหน้ามองปลายเท้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ผู้ชายเป็นผู้อาวุโสหลังค่อมที่อายุย่างเข้าหกสิบ มีผมขาวเป็นสีดอกเลา รอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า ในมือถือสมุดบัญชีอยู่เล่มหนึ่ง เขากำลังรายงานอะไรบางอย่างให้กับราชาปีศาจสมุทรอยู่
“ท่านราชาปีศาจสมุทร หลังจากปล่อยข่าวเรื่องที่ท่านผ่านด่านเคราะห์สวรรค์จนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ทำให้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นลดการหวาดระแวงลง ในปีที่ผ่านมา พวกเราได้กวาดล้างกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ จำนวนหนึ่งของเผ่าเกล็ดทองตามบริเวณรอบๆ นอกจากผู้โง่เขลาเบาปัญญาจะถูกปราบปรามจนราบคาบแล้ว กลุ่มอิทธิพลที่เหลือต่างก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านแต่โดยดี และมอบ……”
แต่ขณะนั้นเอง สีหน้าราชาปีศาจสมุทรเปลี่ยนไปในฉับพลัน จากนั้นก็โบกมือให้เขาหยุดพูด และถอยออกไป
ผู้อาวุโสหลังค่อมอ้าปากเหวอ แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนแต่อย่างใด จึงได้แต่กุมมือคารวะ และรีบถอยออกไปทันที
“เจ้าก็ออกไปก่อนเถอะ” ราชาปีศาจสมุทรสั่งหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอึมครึม
“ทราบ!”
ดูเหมือนเจียหลานเพิ่งจะเรียกสติกลับมาได้ นางโค้งคารวะด้วยท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยออกไปทันที
พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเห็นเจียหลานออกไปจากห้องโถงแล้ว เขาก็หยิบม้วนรูปภาพที่เปล่งแสงสีเงินออกมา และค่อยๆ เปิดมันออก
ภาพหญิงเผ่าปีศาจใบหน้างดงามที่ดูคล้ายเย่เทียนเหมยปรากฏออกมาอีกครั้ง
แต่ขณะนี้ มีชั้นไอหมอกบางๆ ปรากฏอยู่ในภาพวาดหญิงสาวที่ดูราวกับมีชีวิต ทำให้ดูพร่ามัวกว่าก่อนหน้านั้นมาก ขณะเดียวกัน ก็มีแสงสีแดงจางๆ เปล่งประกายบนตัวนาง
“มันจะไม่ทันแล้วหรือ! หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจรอถึงสิบปีได้ คงต้องหาฤกษ์งามยามดีแล้ว” ราชาปีศาจสมุทรจ้องมองรูปวาดหญิงงามตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา และพูดพึมพำออกมาเบาๆ จากนั้นก็เก็บรูปภาพไว้เช่นเดิม และเดินไปยังเสาหินหลังเก้าอี้ตัวที่เขานั่ง
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว และอ้าปากพ่นอักขระสีฟ้าเข้าไปในนั้น
“ฟู่!” แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนเสาหิน ทันใดนั้นประตูสีดำเล็กๆ บานหนึ่งก็ปรากฏออกมา
ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกระพริบหายเข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเล และเดินไปตามบันไดสีดำ
และประตูเล็กๆ ด้านหลังของเขาก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นก็ปิดสนิทเช่นเดิม
ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเดินไปท่ามกลางความมืดราวๆ หนึ่งถั่วชา จากนั้นก็เดินเข้าไปในอุโมงค์น้ำแข็งแวววาว
อุโมงค์น้ำแข็งมีขนาดไม่เกินหมู่กว่าๆ ด้านในล้วนว่างเปล่า มีเพียงแค่แท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ขนาดราวๆ อ่างน้ำตั้งอยู่ตรงกลางเท่านั้น
ในแท่งน้ำแข็ง มีหญิงสวมชุดฝ่ายในใบหน้างดงามนอนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท
หญิงผู้นี้มีใบหน้าเหมือนกับหญิงในรูปวาดไม่มีผิด!
พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเห็นหญิงในแท่งน้ำแข็ง ใบหน้าเยือกเย็นก็หายไปจนหมดสิ้น เขาเดินไปยังแท่งน้ำแข็งด้วยสีหน้าหลงใหล
……
ในสายแร่ลึกใต้ทะเล ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ สีหน้าดูเจ็บปวดเล็กน้อย เหงื่อเม็ดโตไหลผ่านแก้มทั้งสองอยู่ไม่หยุด ไอดำพวยพุ่งออกมาจากตัวอย่างต่อเนื่อง
ตรงหน้าเขามีขวดเล็กๆ สีดำวางอยู่ จุกขวดได้ถูกดึงออกแล้ว และด้านในก็ว่างเปล่า
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงพ่นโลหิตพิษสีเขียวที่สีไหมสีดำสองสามเส้นออกมา
พอโลหิตนี้ตกลงพื้น กลิ่นเหม็นคาวก็โชยไปทั่วถ้ำหิน และพื้นตรงหน้าก็สึกก่อนจนกลายเป็นรูเล็กๆ ภายในพริบตา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้น และถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็ส่งจิตเข้าไปกวาดดูในร่างอีกครั้ง และเขาก็ต้องขมวดคิ้วมา
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เมื่อครบหนึ่งเดือนและพิษในร่างกำเริบขึ้นอีกครั้งนั้น เขาทานไข่หนอนไม่ทราบชื่อที่อยู่ในขวดสีดำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
พอมันตกถึงท้อง ก็กลายเป็นของเหลวสีเขียวที่มีกลิ่นเหม็นคาวในทันที และแผ่ขยายไปปกคลุมอวัยวะภายในของหลิ่วหมิงไว้
พอไอหมอกดำสัมผัสโดนของเหลวสีเขียวเหล่านี้ มันก็ถูกระงับไว้ในทันที
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว มันถูกระงับไว้แค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานคงจะกำเริบขึ้นอีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ มันก็มีผลไม่ต่างกับโอสถถอนพิษชั่วคราว ซึ่งไม่สามารถถอนพิษนี้ได้จริงๆ
ในระหว่างที่ได้ไข่หนอนไม่ทราบชื่อใบนี้มา เขาย่อมตรวจสอบไปหลายรอบแล้ว แม้ไม่อาจบอกที่มาของมันได้ แต่ก็มั่นใจว่ามันไม่ได้ซ่อนลูกไม้อะไรไว้ และก็ไม่ได้มีผลร้ายแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงทานมันอย่างสบายใจ
และโอสถถอนพิษในเดือนนี้ เขายังไปแลกที่เขตแลกเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนด ด้านหนึ่งเพื่อมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด อีกด้านหนึ่งก็เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของคนอื่นๆ
เพราะตั้งแต่วันที่เขาสังหารเจ้าซาไป ก็มีคนมาหาเรื่องเขาน้อยลง แต่ก็ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ จับตามองด้วยเช่นกัน
ในเมื่อแผนการหลบนี้ในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือของสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ คิดว่าพวกเขาคงมีแผนที่รัดกุมแล้ว สำหรับเขาในตอนนี้ มันย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะหนีไปจากใต้ทะเล
เพียงแค่เขาไปจากที่นี่ได้ และมีวิธีระงับพิษในร่างได้ชั่วคราวล่ะก็ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหาโอสถถอนพิษที่แท้จริงจากโลกภายนอกไม่ได้
ความกังวลหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ ไม่ค่อยรู้จักนิสัยของหลานสี่กับเหยียนลัวมากนัก เรื่องเส้นทางหลบหนียังคงดูคลุมเครือ
ฟังจากคำพูดของซินหยวน วิธีการที่หลานสี่กับเหยียนลัวใช้ในการหนีไปจากถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเลลึกนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์ที่เขายังไม่เข้าใจแผนการทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องเตรียมการป้องกันไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นพอฝ่ายตรงข้ามใช้งานเสร็จ ก็อาจถูกละทิ้งได้
พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองมาถึงจุดนี้ ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหัวเราะออกมา
สถานการณ์เช่นนี้ เหมือนกับตอนที่เขายังไม่ได้เข้าสู่โลกของผู้ฝึกฝนไม่มีผิด ซึ่งเหมือนกับฉากก่อนที่เขาจะหนีออกมาจากเกาะมฤตยูก่อนที่มันจะจม
ตอนนั้น คนร้อยกว่าคนที่เคยสัญญาว่าจะหนีจากเกาะไปด้วยกัน สุดท้ายมีแค่สิบกว่าคนที่สามารถขึ้นเรือลำเล็กได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถรักษาชีวิตก่อนเกาะจะจมไว้ได้
และคนสิบกว่าคนนี้ ล้วนเป็นผู้ที่เจ้าเล่ห์และแข็งแกร่งที่สุดบนเกาะ
“หากมีคนหนีไปจากที่นี่ได้จริงๆ ล่ะก็ ข้าจะต้องเป็นหนึ่งในนั้น” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยแววตาเยือกเย็น จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
……
หลายวันต่อมา
ซินหยวนมาปรากฏตัวภายในถ้ำตามที่หลิ่วหมิงคาดคิดไว้
ขณะนี้ อาการบาดเจ็บของเขาได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าสีหน้าจะยังซีดขาวเล็กน้อย แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็เหมือนกับที่หลิ่วหมิงพบเจอในครั้งแรกไม่มีผิด
“พี่หลิ่ว นับเวลาดูแล้ว ท่านคงตัดสินใจได้แล้วสินะ” พอซินหยวนเห็นหลิ่วหมิง เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ของที่เจ้าให้ข้าในก่อนหน้านั้น สามารถระงับพิษในร่างได้ชั่วคราวจริงๆ แต่ไม่ทราบว่ามันจะระงับพิษได้นานเท่าใด?” หลิ่วหมิงไม่ตอบคำถามซินหยวนโดยตรง แต่กลับถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“หลายเดือนก่อน ข้าเองก็เพิ่งทานไปหนึ่งครั้ง ตามที่พี่เหยียนลัวบอก มันคงจะสามารถระงับพิษได้นานครึ่งเดือน ซึ่งความจริงมันก็เป็นเช่นนี้ แม้มันจะเทียบกับโอสถถอนพิษที่เหล่าผู้พิทักษ์นำมาไม่ได้ แต่ดีที่สามารถเก็บไว้ได้นาน” ซินหยวนฟังจบก็ลูบคางไปมา จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เช่นนี้ก็หมายความว่า เพียงแค่มีจำนวนที่มากพอ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลพิษที่อยู่ในร่างแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเข้าร่วมด้วย” หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำตอบนี้ และก็พยักหน้ากล่าวออกไปในทันที
“เช่นนี้ก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปรายงานพี่เหยียน” ซินหยวนเผยสีหน้าดีใจออกมา
“ช้าก่อน! ก่อนอื่นข้าอยากพบพี่เหยียนลัวกับผู้อาวุโสหลานสี่สักครั้ง ข้ามีเรื่องที่อยากถามต่อหน้า รบกวนพี่ซินแจ้งให้ข้าหน่อย” หลิ่วหมิงเรียกตัวชายหนุ่มไว้แล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“เรื่องนี้ย่อมได้ ในเมื่อพี่หลิ่วยอมเข้าร่วมแล้ว ต่อให้ไม่เอ่ยปาก พวกเขาทั้งสองก็เรียกท่านไปพบอยู่ดี ” ดูเหมือนซินหยวนจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาจึงตอบรับหลิ่วหมิงอย่างเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นก็ลาจากไปอย่างรวดเร็ว
……
ห้าวันต่อมา
ภายในถ้ำหินลึกลับในอุโมงค์บางแห่งที่อยู่ห่างจากสายแร่หลักใต้ทะเลลึกค่อนข้างไกล
หลิ่วหมิงกำลังยืนเคียงไหล่กับมนุษย์สองคนที่มีพลังไม่ธรรมดาด้วยสีหน้าสงบ
และคนที่นั่งอยู่ห่างจากด้านหน้าของพวกเขาไปไม่ไกล ก็คือหลานสี่ที่ร่ำลือนั่นเอง
เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีใบหน้าธรรมดา ดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย
รูปร่างของเขาค่อนข้างผ่ายผอม หน้าแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาขุ่นมัวเล็กน้อย สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนก็คือผมยาวสีน้ำเงิน และเขาสั้นแวววาวบนศีรษะที่ยาวครึ่งชุ่น
หลิ่วหมิงจ้องมองแขนที่อยู่ครบทั้งสองข้างของเขา
ประจักษ์ชัดว่าแขนที่สูญเสียไปของผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้ ได้งอกขึ้นมาใหม่จากการใช้เคล็ดวิชาบางอย่างแล้ว
ขณะนี้ หลานสี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินตัวที่ตั้งอยู่ตรงกลางด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนเหยียนลัวที่มีผิวสีน้ำตาลเข้ม ก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ฉากนี้เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงเล็กน้อย ดูท่าข่าวลือที่ว่าทั้งสองมีพลังพอๆ กันนั้นคงเป็นแค่เรื่องบังตา
หลานสี่แข็งแกร่งกว่าเหยียนลัวอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นทั้งสองคงไม่มีคนหนึ่งยืนคนหนึ่งนั่งเช่นนี้
“พวกเจ้าทั้งสามต่างก็ถูกคนอื่นแนะนำให้ข้าในเร็วๆ นี้ และยังต้องการมาพบข้าสักครั้ง ในเมื่อตอนนี้ทั้งสามได้เห็นข้าแล้ว มีปัญหาอะไรก็สอบถามมาได้เลย แต่ข้าตอบได้แค่คนละหนึ่งคำถามเท่านั้น คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยถามออกมา” หลานสี่จ้องมองคนทั้งสาม และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
…………………………………