ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 404 เส้นทางการหลบหนี
หลิ่วหมิงและคนอีกสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายฉ์กรรจ์ผิวเขียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้หนึ่งก็ก้าวออกไปสองก้าว และประสานมือกล่าว
“ผู้อาวุโสหลาน ข้าน้อยสวินคุนจากเผ่าผิวเขียว……”
“เจ้าชื่ออะไรนั้นข้ารู้แต่แรกแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ พูดคำถามของเจ้ามาเถอะ” หลานสี่ขัดจังหวะการพูดของเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าอยากรู้ว่าไข่หนอนที่ยับยั้งพิษราชาปีศาจสมุทรได้ชั่วคราวนั้น ได้มาจากไหนกันแน่? ดูเหมือนผู้น้อยจะไม่เคยได้ยินมาก่อน และคนที่เข้าร่วมแผนการในครั้งนี้ ได้ไข่หนอนชนิดนี้คนละกี่ใบ?” ชายฉกรรจ์ที่ชื่อสวินคุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็รีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮึ! นี่นับว่าเป็นสองคำถามแล้ว ช่างเถอะ! เห็นแก่ที่เจ้าถามเป็นคนแรก ข้าจะตอบเจ้าทั้งหมด ข้าอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปีแล้ว นับว่าพอจะรู้จักโอสถราชาปีศาจสมุทรอยู่บ้าง หลังจากศึกษาเกี่ยวกับส่วนประกอบของมันในทุกๆ เดือน และผ่านการเพาะเลี้ยงอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี ถึงมีไข่หนอนจิตวิญญาณอย่างที่พวกเจ้าเห็น ด้วยเหตุนี้ในโลกภายนอกจึงไม่มีหนอนจิตวิญญาณประเภทนี้เลย ส่วนจำนวนของมันนั้น……”
พอหลานสี่กล่าวมาถึงจุดนี้ ก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวต่อ
“เป็นเพราะหนอนชนิดนี้เลี้ยงยากมาก บวกกับเวลาที่จำกัด ข้าจึงมีไข่ของมันไม่มาก แต่หากพวกเจ้ายินยอมเข้าร่วมแผนการของพวกเราจริงๆ และสัญญาว่าจะเชื่อฟังข้าในระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ล่ะก็ ข้าจะมอบมันให้คนละสิบกว่าใบ พอไปจากที่นี่แล้วจะได้ใช้ยับยั้งพิษชั่วคราว”
พอชายฉกรรจ์เผ่าผิวเขียวคนนั้นฟังจบ ก็อ้าปากจะพูดอะไรออกมา แต่หลานสี่กลับผายมือให้ชายเผ่าเจ้าสมุทรที่มีสีหน้าเคร่งขรึมผู้หนึ่ง เพื่อแสดงสัญญาณว่าสามารถสอบถามได้
ชายผู้นั้นเด็ดขาดมาก เขาเพียงแค่กุมมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็ถามออกไปตามตรง
“ผู้อาวุโสหลาน แม้พิษราชาปีศาจสมุทรจะสามารถยับยั้งไว้ได้ชั่วคราว แต่ไม่ทราบว่าชั้นจำกัดอีกชนิดที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณของพวกเรา ท่านมีแผนการรับมือหรือไม่? หากมีชั้นจำกัดนี้อยู่ในร่าง เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจไปจากที่นี่ได้โดยง่าย”
“ความจริงแล้วกลุ่มแสงโลหิตในร่างของพวกเจ้า เป็นแค่ชั้นจำกัดชีพจรโลหิตที่ซับซ้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันจะกำเริบก็ต่อเมื่อไปจากอาณาเขตของสายแร่ได้ระยะหนึ่ง แม้มันจะไม่มีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเจ้า แต่กลับคุมขังพลังเวทย์ได้ภายในพริบตา ซึ่งมันก็สร้างปัญหาให้ไม่น้อย แต่ก่อนหน้านั้นไม่นาน ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาที่ทำลายมันได้แล้ว ก่อนดำเนินการตามแผน ข้าเพียงแค่สูญเสียพลังเล็กน้อย ก็สามารถช่วยพวกเจ้ากำจัดมันออกจากร่างได้ และไม่ทิ้งผลข้างเคียงใดๆ ไว้ คำตอบนี้เจ้าพอใจหรือไม่?” หลานสี่ตอบโดยไม่ต้องคิด
พอชายเผ่าเจ้าสมุทรได้ฟังที่หลานสี่พูดมาทั้งหมด ย่อมมองมาด้วยความดีใจ หลังจากตอบรับว่า “พอใจ” แล้ว ก็ปล่อยมือทั้งสองข้างลู่ลงเพื่อแสดงการเคารพ และไปยืนอยู่ด้านข้าง
ด้วยเหตุนี้ สายตาของทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่หลิ่วหมิงเป็นธรรมดา
หลิ่วหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าสงบ
“ผู้อาวุโสหลาน ตอนที่ข้าถูกคุมขังมาที่นี่ ข้าได้ค้นพบว่ามีชั้นจำกัดอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่เพียงแต่มีผู้พิทักษ์ลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา แต่ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกกับปีศาจอสูรคอยดูต้นทางอยู่ เกรงว่าบริเวณรอบๆ เหมืองแร่คงจะมีอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบผู้อาวุโสแน่ใจได้อย่างไรว่า จะสามารถพาพวกเราไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
ฟังคำถามของหลิ่วหมิงจบ หลานสี่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก หลังจากเงียบไปซักพักใหญ่ๆ ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องกังวลมาก ตอนที่พวกเราไปจากที่นี่ จะไม่ผ่านปากทางเข้าถ้ำเหมืองแร่เลย แต่ว่าเส้นทางการหลบหนีสำคัญมาก เรื่องรายละเอียดพวกเจ้าจะรู้เองในภายหลัง ตอนนี้ข้าไม่สะดวกพูด”
หลานสี่ตอบกลับอย่างคลุมเครือ ประจักษ์ชัดว่าไม่สามารถเปิดเผยแผนการที่เป็นรูปธรรมในตอนนี้ได้
หลิ่วหมิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาแต่อย่างใด หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก
แต่ขณะนั้นเอง หลานสี่กลับเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็กล่าวกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“สหายทั้งสามอย่ารีบดีใจไป ในเมื่อข้าพยายามตอบคำถามของพวกเจ้าอย่างเต็มที่ ต่อไปทั้งสามก็ต้องตัดสินใจเลือกเอาเองแล้ว”
“ตัดสินใจเลือก? ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร พวกข้าทั้งสามไม่ได้เข้าร่วมแผนการแล้วหรือ?” ชายฉกรรจ์ผิวเขียวรู้สึกถึงความไม่พอชอบมาพากล จึงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ฮึ! ก่อนหน้านั้นมีแต่พวกเจ้าที่ยอมเข้าร่วม ข้าเคยพูดตอนไหนว่าจะรับทั้งหมด บอกตามตรง เนื่องจากวิธีการหลบหนีของข้าค่อนข้างพิเศษ ด้วยเหตุนี้จำนวนคนที่หลบหนีก็ถูกจำกัดไปด้วย ตอนนี้ขาดเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เงื่อนไขของพวกเจ้าทั้งสามพอๆ กัน คงจะมีคุณสมบัติที่เพียงพอ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าทั้งสามมีเพียงแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถึงจะได้รับการยอมรับจากข้าให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมแผนการสำคัญคนสุดท้าย ส่วนอีกสองคน……เฮ่อๆ!……” พอหลานสี่กล่าวถึงตอนท้าย ก็หัวเราะออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
แม้เขาจะพูดไม่จบ แต่คนที่มีสติปัญญาย่อมรู้แจ้งแก่ใจว่า แผนการสำคัญระดับนี้ จุดจบของคนอีกสองคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากเขา คงต้องตายลูกเดียวเท่านั้น
หลิ่วหมิงและอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ ย่อมมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา
ขณะนี้ เหยียนลัวที่ยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาที่มองหลิ่วหมิงแฝงไปด้วยการขอโทษ ดูเหมือนจะบอกหลิ่วหมิงว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวคำพูดห้ามปรามออกมา
“ทั้งสามคนสามารถรับได้แค่คนเดียวเท่านั้น! ผู้อาวุโสหลานคิดว่าพวกข้าจะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือ…….” ชายฉกรรจ์เผ่าผิวเขียวผู้นั้นพูดออกมาด้วยความโมโห
แต่เขาพูดยังไม่ทันจบ แขนกำยำข้างหนึ่งก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทุบกำปั้นใส่ชายเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ด้านข้าง
ชายเผ่าเจ้าสมุทรคิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ใบหน้าของเขาก็ถูกทุบจนกล้ามเนื้อกระเด็น และกระดูกสีขาวก็โผล่ออกมา
“นึกไม่ถึงว่าเจ้า……”
ชายผู้นี้ตะโกนด้วยความโมโห ดวงตาทั้งสองพร่ามัว และรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนซวนเซถอยออกไปหลายก้าว
“ฟู่!” พอมีเสียงดังออกจากแขนเสื้อของเขา ควันดำจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมา จากนั้นก็รวมตัวเป็นกริชกระดูกที่มีรูปร่างอัปลักษณ์เล่มหนึ่ง และพุ่งไปยังท้องน้อยของชายฉกรรจ์ผิวเขียว
แต่ขณะนั้นเอง ชายเผ่าเจ้าสมุทรก็รู้สึกว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า และรู้สึกเย็นตรงลำคอ จากนั้นก็รู้สึกว่าตนเองพุ่งขึ้นด้านบน รูปร่างไร้ศีรษะอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า และดวงตาทั้งคู่ก็ดับมืดลงจนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ในขณะที่ศีรษะของชายเผ่าเจ้าสมุทรถูกคมมีดยาวสีเขียวตัดออกมานั้น กริชกระดูกที่มาถึงตรงหน้าของชายฉกรรจ์ก็สลายเป็นไอสีดำ
ตั้งแต่ที่ชายฉกรรจ์พูดออกมาด้วยความโมโห จนถึงตอนที่สังหารชายเผ่าเจ้าสมุทรจนเสียชีวิตนั้น ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ขณะนี้ ร่างของชายเผ่าเจ้าสมุทรสั่นไหวไม่กี่ที จากนั้นก็หล่นลงพื้น
หลานสี่มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าสงบ และมีรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ส่วนเหยียนลัวที่อยู่ด้านข้าง ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“ดีมาก! ตอนนี้ก็เหลือท่านคนเดียวแล้ว” ชายฉกรรจ์นำใบมีดยาวสีเขียวมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า จากนั้นก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย
“นี่ก็เป็นคำพูดที่ข้าอยากพูดกับท่านเหมือนกัน” พริบตาที่ชายฉกรรจ์ลงมือในฉับพลันนั้น หลิ่วหมิงก็ถอยออกไปหลายจั้งแล้ว พอเห็นฝ่ายตรงข้ามพูดเช่นนี้ เขาก็หาวและพูดออกมา
ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เผยแววโหดร้ายออกมา และสะบัดใบมีดยาวในมือทันที
ทันใดนั้น กิ่งสีเขียวจำนวนมากก็แตกออกมาท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ หลังจากผสานกันไปมาแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่ไม้สีเขียวขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันหนามแหลมๆ สีดำจำนวนมากก็งอกออกมาจากกระบี่
เขาเพียงแค่โหมพลังตวัดกระบี่ยักษ์ไปทางหลิ่วหมิง ทันใดนั้น หนามสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกจากกระบี่ไม้
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปชั่วขณะหนึ่ง อากาศตรงหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยหนามสีดำ
กระบี่ไม้ในมือชายฉกรรจ์เปล่งแสงสีเขียวออกมา และมีหนามสีดำจำนวนมากงอกออกมา พอมันสั่นไหว หนามสีดำจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไปราวกับว่าไม่มีวันหมดสิ้น
หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา มือทั้งสองกำเข้าหากันจนแน่น ท่ามกลางเสียงดังกรอบแกรบ ร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว มือทั้งคู่ และจุดสำคัญของร่างกายถูกเกล็ดมังกรแดงปกคลุมไว้ทั้งหมด
เขาทุบกำปั้นออกไปในทันที ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็ทะลักออกไป
หนามสีดำที่พุ่งเข้ามาสั่นสะท้าน จากนั้นก็ส่งเสียงดัง “เต๊งๆ!” และกระเด็นออกไปทันที มีส่วนน้อยที่หลุดรอดมาได้ แต่ทิ้งไว้เพียงจุดสีขาวบนเกล็ดมังกรแดงเท่านั้น
ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ภายใต้การตวัดกระบี่ไม้สีเขียวในมือ ทำให้มีกิ่งหนามพุ่งออกมาจำนวนมาก มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูพร่ามัว และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงในทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็กระโดดตัวขึ้น กระบี่ยักษ์กลายเป็นแสงสีเขียวฟันใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา หลังจากปล่อยกำปั้นใส่หนามดำตรงหน้าจนกระเด็นออกไปแล้ว ก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นทันที
“ฟู่!” ร่างของเขาพร่ามัวหายไป
ครู่ต่อมา มีเงาร่างเคลื่อนไหวกลางอากาศ ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงพุ่งออกจากกิ่งหนามมาปรากฏตัวกลางอากาศต่อหน้าชายฉกรรจ์ได้อย่างไร หลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำก็ปรากฏเหนือศีรษะ และกำปั้นทั้งสองก็ทุบออกไปอีกครั้ง “ฟู่!” “ฟู่!”
ชายฉกรรจ์ได้แต่นำกระบี่ยักษ์มาตั้งขวางไว้ตรงหน้าด้วยความตกใจ และพ่นยันต์ออกมาผืนหนึ่ง จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านแสงสีเขียวห้อหุ้มร่างของเขาไว้
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
กำปั้นลูกหนึ่งทุบกระบี่ไม้จนแตกกระจาย ส่วนอีกลูกก็ขยายใหญ่ และทุบใส่ม่านแสงสีเขียวจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
นิ้วทั้งห้าที่ถูกเกล็ดมังกรแดงปกคลุมอยู่เปล่งประกาย จากนั้นก็เจาะทะลุหน้าอกของชายฉกรรจ์ และขยี้หัวใจของเขาจนแหลกละเอียด
ชายฉกรรจ์ได้แต่ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา พริบตาที่หลิ่วหมิงดึงมือกลับมานั้น เขาก็ซวนเซออกไปหลายก้าว และล้มโครมลงพื้น
…………………………………