ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 406 การรวมตัวและการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ
“ฮึ! เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่ากระจกผลึกมหัศจรรย์ล้ำค่าแค่ไหน แม้แต่ข้าก็มีไม่กี่บาน หากไม่ใช่ว่าใช้ติดต่อกับเจ้า ข้าจะไม่ใช้ของล้ำค่าระดับนี้อย่างแน่นอน แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ทางเผ่าได้เตรียมการไว้หมดแล้ว เพียงแค่รอให้ทางนี้เริ่มแผนการเท่านั้น การเคลื่อนไหวทางด้านนี้ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกวัน เพียงแค่พัวพันคนของราชาปีศาจสมุทรจำนวนหนึ่งให้มาก และตัดกำลังของผู้พิทักษ์ในวังใต้ทะเลได้บางส่วน เผ่าเราก็จะมีความมั่นใจในความสำเร็จมากขึ้น แน่นอนว่าหากสามารถดึงตัวเผ่าปีศาจระดับผลึกมาเพิ่มสักคนสองคน ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก” น้ำเสียงไพเราะของหญิงสาวในกระจกดังอยู่ข้างหู
“ฮึ! ดึงตัวผู้แข็งแกร่งระดับผลึกมาเพิ่มสักคนสองคน? เจ้านี่ช่างกล้าพูดนะ! หากมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกมาสามสี่คน ข้าเกรงว่าต่อให้มีทางทีหนีทีไล่ ก็ต้องตายอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพียงแค่แผนการเริ่มต้นขึ้น มันจะต้องมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก แต่พอถึงเวลานั้นจะสามารถดึงคนมาได้มากน้อยแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องเข้าไปยุ่งแล้ว” หลานสี่เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เพื่อแผนการในครั้งนี้ เผ่าเราได้เตรียมการมาหลายปี บวกกับโอกาสอันเหมาะเจาะ ถึงได้มีโอกาสแสดงออกมาในที่สุด แผนนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวไม่ได้เป็นอันขาด เวลาในการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมของทางด้านนี้ จะต้องดำเนินตามที่ได้นัดหมายกันไว้ ไม่ได้สามารถเคลื่อนไหวเร็วหรือช้ากว่าที่กำหนดได้” หญิงสาวในกระจกผลึกพูดออกมาโดยไม่สนใจคำพูดของหลานสี่
“ก่อนหน้านั้นเจ้าได้พูดเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้ว ข้าย่อมรู้ถึงความสำคัญของมันดี เฮ่อๆ! คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะรวมหัวกับเจียวฉานที่เป็นผู้พิทักษ์สายแร่โดยเฉพาะ หากเจ้าไม่เตือนข้าเมื่อหลายปีก่อน เกรงว่าข้าคงจะถูกหลอกแล้ว ครั้งนี้ข้าจะทำให้เขาได้รู้รสชาติของการข้าหักหลังข้า” ดวงตาของหลานสี่เป็นประกาย และกล่าวด้วยสีหน้าโหดร้าย
“เจ้านี่ก็ไม่ธรรมดาเลย คิดไม่ถึงว่าจะคิดแผนการหลบหนีเช่นนี้ได้ ทั้งยังทำให้คนอื่นคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง และยังแอบปล่อยข่าวเงียบๆ ใช้แผนซ้อนแผนร่วมมือกับพวกเราได้อย่างสมบูรณ์ เสียดายก็แต่ทาสเหมืองแร่ที่เชื่อใจเจ้าถึงเพียงนี้ เกรงว่าตอนตายก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวในกระจกผลึกหัวเราะออกมาในทันที
“พวกเขาคิดสวยหรูเกินไป หากสามารถหนีไปได้ง่ายๆ ข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่ร้อยกว่าปีได้อย่างไร แต่หากไม่ใช่เพราะเจ้าเสนอวิธีการเพาะเลี้ยงหนอนจิตวิญญาณ ข้าคงไม่อาจทำให้คนเชื่อข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้” แววตาของหลานสี่เป็นประกาย จากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
“เจ้ารู้ก็ดี หากไม่ใช่ว่าเจ้ามีสายเลือดของเผ่าเราครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นข้าคงไม่เสี่ยงติดต่อกับเจ้า หลังเรื่องนี้สำเร็จ เผ่าเราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสของเผ่าตามที่สัญญาไว้ และให้ท่านได้เสวยสุขอยู่ในเผ่า” น้ำเสียงของหญิงสาวในกระจกผลึกผ่อนคลายลง
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลานสี่กล่าวอย่างราบเรียบ
“นอกจากนี้ คนอื่นๆ ข้าไม่สน แต่สายเลือดบริสุทธิ์ของราชวงศ์ที่ตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องช่วยออกมาให้ได้ เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว ทางเผ่าย่อมให้ผลประโยชน์อื่นๆ กับเจ้าอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหญิงสาวในกระจกผลึกจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ฮึ! หากไม่ใช่ว่าเพื่อช่วยนาง ข้าจะยอมสูญเสียแขนไปรับมือกับอสูรโฉดระดับผลึกได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่านางสามารถช่วยข้าออกไปจากที่นี่ได้?” หลานสี่หรี่ตาทั้งสอง และถามกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณพี่หลานมาก” หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
ต่อมา ทั้งสองก็พูดคุยกันสองสามประโยค หลังจากตกลงกันในเรื่องรายละเอียดบางอย่างแล้ว กระจกผลึกที่ลอยอยู่กลางอากาศกับหินจิตวิญญาณที่อยู่ตรงขอบค่ายกล ก็แตกกระจายออกพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน ร่างของหญิงสาวก็หายไปในอากาศ
หลานสี่เห็นเช่นนี้ ก็หันตัวเดินจากไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หลังจากผลักประตูหินแล้ว ก็เดินไปยังมุมบางแห่งของอุโมงค์
พอมาถึงตรงหน้าผนังหิน มือของเขาก็ตบลงบนนั้นสองสามทีอย่างรวดเร็วจนดูพร่ามัว
เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นประตูหินบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผนังหินทันที พอผลักประตูเข้าไปในด้านใน หลานสี่ก็มาถึงห้องหินที่เร้นลับอีกห้องหนึ่ง
หินเรืองแสงฝังถูกฝังอยู่บริเวณรอบๆ ห้องหิน และแท่นสูงที่อยู่ตรงกลางมีแท่นบูชาขนาดเล็กวางอยู่
กลางแท่นบูชามีเสาหินสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเล็กตั้งอยู่
บนผิวของแท่นบูชามีลายเส้นสีเงินจางๆ จำนวนมาก ดูเหมือนว่ามันจะปกคลุมไปทั่วทุกพื้นผิวของแท่นบูชา และตรงขอบของมันก็มีผลึกหินสีดำฝังอยู่หลายก้อน
เมื่อมาถึงตรงหน้าแท่นบูชา หลานสี่ก็ชะลอฝีเท้าลง พอร่ายคาถาเสร็จเขาก็ยกแขนด้วยสีหน้าจริงจัง และทำท่าโบกไม้โบกมือแปลกๆ
ลายเส้นบนแท่นบูชาตรงหน้าสว่างขึ้นมาทันที ลำแสงสีขาวแสบตาพุ่งขึ้นมาจากเสาหิน และพุ่งขึ้นสูงสิบกว่าจั้ง
หลานสี่เห็นเช่นนี้ก็อ้าปากในทันที แผ่นป้ายสีดำถูพ่นออกมา และสั่นไหวตามลมจนกลายเป็นไอหมอกสีดำ และจมหายเข้าไปในลำแสง
ลำแสงสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงพิลาปร่ำไห้อย่างน่าเวทนาดังออกมาจากในนั้น
ไม่นานลำแสงก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าปีศาจสีดำพร่ามัว มันส่งเสียงคำรามใส่ผู้อาวุโส และกระพริบหายไปอีกครั้ง
……
ชั่วเวลาหนึ่งเดือนครึ่งผ่านไปในพริบตา
ในระหว่างเวลานี้ สายแร่ใต้ทะเลลึกเงียบสงบเป็นอย่างมาก ราวกับว่าภัยร้ายในก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นอกจากหลิ่วหมิงจะสังหารอสูรโฉดไปหลายตนจนได้วัสดุมาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีการเก็บเกี่ยวใดๆ อีกเลย
เขาใช้ประโยชน์จากกระดูกของอสูรโฉดเหล่านี้ มาทำเป็นแท่งวายุกระดูกโดยไม่เสียดายหินจิตวิญญาณ
และช่วงปลายเดือน จะมีทาสเหมืองแร่เอาโอสถถอนพิษของเดือนนั้น มาโยนไว้หน้าปากถ้ำของเขา จากนั้นก็หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา
หลิ่วหมิงหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ เขาใช้เวลาที่เหลือสะสมพลังเวทย์อยู่ภายในถ้ำ และทำให้ร่างกายและจิตใจเข้าสู่สภาพที่ดีที่สุด
หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาหา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วจ้องมองชายวัยกลางคนตรงหน้าที่สวมชุดคลุมหนังทั้งตัว โดยไม่พูดะไรออกมา
คนผู้นี้เป็นหนึ่งในคนสนิทของเหยียนลัวที่เขาพบเจอในวันนั้น
ชายสวมชุดคลุมหนังสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที และกระตุกข้อมือในฉับพลัน จากนั้นสิ่งของที่มีแสงสีทองอร่ามก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือออกไปรับ พอมองดูก็ค้นพบว่ามันคือเปลือกหอยสีทอง
เขาพลิกฝ่ามืออีกข้างเพื่อหยิบเปลือกหอยสีทองอีกส่วนออกมาทันที หลังจากเอาทั้งสองมาประกบกันแล้ว มันก็เข้าคู่กันพอดี และไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย จากนั้นก็นำมันไปแปะไว้บนหน้าผาก ภายใต้การหมุนวนของอักขระบนเปลือกหอย ทำให้มีเสียงของหลานสี่ดังขึ้นข้างหู
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็รู้สึกตกใจมาก
“อะไรนะ ให้พวกเราไปรวมตัวกันตอนนี้ แผนการจะเริ่มก่อนกำหนดในเร็วๆ นี้!” หลิ่วหมิงเอาเปลือกหอยออกจากหน้าผาก และถามฝ่ายตรงข้ามทีละคำทีละคำ
ชายชุดคลุมหนังกลับพยักหน้าโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
หลิ่วหมิงไตร่ตรองอย่างรวดเร็วด้วยตาที่เป็นประกาย หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว และกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปกันเถอะ!”
ครึ่งวันต่อมา
หลังจากเดินผ่านเส้นทางเร้นลับหลายแห่งที่ไม่เคยเดินมาก่อน หลิ่วหมิงก็ถูกชายวัยกลางคนพามาถึงอุโมงค์แคบยาวแห่งหนึ่ง
จากการสนทนากับชายวัยกลางคนในระหว่างทาง หลิ่วหมิงพอจะทราบเป็นเลาๆ ว่า ที่แผนการดำเนินการก่อนกำหนด ดูเหมือนเป็นเพราะว่ามันอาจจะถูกเปิดเผย
ส่วนปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ชายวัยกลางคนก็ไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในอุโมงค์ และสังเกตดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่านอกจากจะมีทางเข้าที่เขาเดินมาแล้ว ปลายสุดของอีกด้านหนึ่งก็มีเส้นทางสายหนึ่งเช่นกัน แต่ถูกไอหมอกสีขาวปกคลุมอยู่รำไร
และภายในอุโมงค์ก็มีคนมารวมตัวกันยี่สิบกว่าคนแล้ว
แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะมีเรื่องราวทับถมอยู่ในใจ หนึ่งในนั้นมีซินหยวน หญิงสาวเผ่าเกล็ดทอง หญิงสาวที่ชื่อชิงฉี และคนอื่นๆ แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของเหยียนลัว และหลานสี่เลย
พอชายวัยกลางคนพาหลิ่วหมิงมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็ไปยืนรวมกับคนอื่นๆ
หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินไปข้างซินหยวน และขยับปากส่งเสียงออกไป
“พี่ซินได้รับข่าวอะไรจากเหยียนลัวหรือไม่ หรือว่าแผนการนี้จะถูกเปิดโปงจริงๆ”
“พี่หลิ่ว ข้าเองก็ถูกคนอื่นพาที่นี่เหมือนกัน เพียงแค่มาเร็วกว่าท่านเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ และช่วงนี้ข้าก็ยังไม่ได้พบกับเหยียนลัวเลย” ซินหยวนยิ้มอย่างขมขื่น และส่งเสียงตอบกลับไปเช่นกัน
พอหลิ่วหมิงฟังจบ ก็กระตุกมุมปากทีหนึ่ง จากนั้นก็ยืนรออยู่ข้างๆ ซินหยวน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป มีคนถูกนำเข้ามาในอุโมงค์อย่างต่อเนื่อง และพอพวกเขาเห็นคนที่รู้จักอยู่ในอุโมงค์ต่างก็รู้สึกประหลาดใจมาก
ประจักษ์ชัดว่าก่อนหน้านั้นคนจำนวนไม่น้อย ต่างก็ไม่เคยติดต่อกันอย่างจริงจัง
เมื่อมีคนมารวมตัวกันราวๆ สามสิบกว่าคน ชายเผ่าเกล็ดฟ้าถึงก้าวออกมาข้างหน้าในฉับพลัน จากนั้นก็คุมมือคารวะทุกคนและประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ทุกท่านต่างก็เป็นสหายที่ผู้อาวุโสหลานได้เลือกไว้ กรุณารอสักครู่ ผู้อาวุโสกำลังรีบมาที่นี่ อีกไม่นานก็จะมาหารือเรื่องแผนการหลบหนีกับทุกท่าน”
“ผู้อาวุโสหลานเรียกพวกเรามารวมตัวกัน เห็นบอกว่าแผนการจะเริ่มก่อนกำหนด แต่กลับให้พวกเรามารอเช่นนี้ ควรจะให้คำอธิบายกับพวกเราสักหน่อยไหม?” ชายฉกรรจ์ที่เอามือกอดอกถามด้วยสีหน้าอึมครึม
“ผู้อาวุโสหลานวางแผนอย่างไรนั้น ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน ส่วนคำอธิบายนั้น พอผู้อาวุโสหลานมาถึง ท่านก็สามารถสอบถามได้ ข้าน้อยรับผิดชอบแค่มาบอกให้ทุกท่านรับทราบ สหายอย่าได้ถามผิดคนเลย” ชายเผ่าเจ้าสมุทรเกล็ดฟ้าผู้นี้หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัด และมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่พูดอะไรต่อ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางเข้าอีกแห่งหนึ่ง พอไอหมอกสีขาวเทาพวยพุ่งอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเงาร่างก้าวออกมาจากในนั้น
ทุกคนกวาดสายตามองไปทันที แต่พอเห็นคนที่มาอย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี
เจ้าของเงาร่างก็คือหลานสี่ ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นผู้เริ่มวางแผนการหลบหนีในครั้งนี้ แต่ในมือของเขากลับหิ้วร่างอ่อนปวกเปียกที่มีผิวสีน้ำตาลเข้มเอาไว้ ซึ่งก็คือเหยียนลัวนั่นเอง!
…………………………………