ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 408 หมอกเมฆแห่งสงคราม
น้ำเสียงของราชาปีศาจสมุทรเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีคลื่นสั่นไหวบนอากาศเหนือพระราชวัง มือยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย จากนั้นก็กดลงบนกลุ่มแสงสีเงิน
แต่กดลงยังไม่ทันถึง อานุภาพอันแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในมือยักษ์ ก็แผ่คลุมพื้นที่ด้านล่างภายในรัศมีร้อยกว่าจั้ง
เย่เทียนเหมยที่อยู่ท่ามกลางแสงสีเงิน รู้สึกแค่ว่าอากาศรอบๆ หนาแน่นขึ้นมา จากนั้นมันก็เกาะตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กระบี่ยักษ์ที่อยู่ใต้เท้าก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้นางซวนเซจนจะเกือบล้มลงไป
เย่เทียนเหมยมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาทันที ดวงตางดงามเป็นประกายแวววาว พอนางตะโกนออกมา กระบี่ยาวสีเงินทั้งแปดที่อยู่รอบด้านก็เปล่งประกายในทันพริบตา จากนั้นก็จมหายไปในกระบี่ยักษ์ที่อยู่ใต้เท้า
ภายใต้การรวมตัวของกระบี่ทั้งเก้า ก่อให้เกิดค่ายกลแสงสีเงินขนาดหมู่กว่าๆ ตรงใต้เท้าของนาง อักขระสีเงินลอยวนอยู่ในนั้น ลำแสงขนาดเท่าอ่างน้ำพุ่งขึ้นฟ้า
“ฟู่!” ลำแสงสีเงินกลายเป็นกระบี่เงินค้ำฟ้า ภายใต้การเปล่งประกาย มันฟันมือยักษ์จนแยกออกจากกันอย่างง่ายดาย
จากนั้น มือยักษ์ก็พร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งแวววาว มันพุ่งออกจากม่านแสงสีฟ้าใต้ทะเล และพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ
มีเสียงแตกหักดังขึ้นมา มือใหญ่ที่ถูกฟันเป็นสองส่วนแตกกระจายภายในพริบตา จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนที่จะสลายไป
ขณะเดียวกัน ในอุโมงค์น้ำแข็งที่อยู่ในห้องลับของพระราชวังใต้ทะเล
ราชาปีศาจสมุทรยืนอยู่ข้างแท่งน้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างหญิงสาวอยู่ มือข้างหนึ่งประคองแท่งน้ำแข็งไว้ อีกข้างก็แสดงเคล็ดวิชาบางอย่าง
พริบตาที่ฝ่ามือยักษ์ถูกโจมตีจนแตกสลายนั้น ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน และลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห หลังจากจ้องมองหญิงสาวงดงามในแท่งน้ำแข็งตรงหน้าแล้ว ก็กลายร่างเป็นเงาก่อนที่จะหายไปจากที่เดิม
ไม่นาน เสียงมังกรคำรามก็ดังมาจากในพระราชวัง จากนั้นมังกรสีน้ำเงินขนาดสิบกว่าจั้ง ก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งไปยังทิศทางที่เย่เทียนเหมยหนีไป
บนหัวของมังกรตนนี้มีเขาโค้งสีฟ้าอยู่อันหนึ่ง บนตัวเต็มไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงิน สายฟ้าสีเขียวเปล่งประกายอยู่บนตัวไม่หยุด มองดูไกลๆ มันมีอานุภาพน่าตกใจมาก
พอมันส่ายหัวสะบัดหางแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าชั้นจำกัดบนอากาศของโลกใต้ทะเล และทะลุขึ้นไปบนผิวน้ำในทันที
พริบตาเดียวสายรุ้งสีเงินแวววาวก็พุ่งออกไปจากใต้ทะเลที่ลึกหลายพันจั้ง และมาปรากฏอยู่บนผิวน้ำ ทั้งยังก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร้อยกว่าจั้งพุ่งไปยังทิศทางบางอย่าง
ไม่นานท้องทะเลที่เพิ่งเงียบสงบก็มีคลื่นก่อตัวขึ้นอีกครั้ง มังกรสีน้ำเงินพุ่งออกมาท่ามกลางพายุกระหน่ำ หลังจากหมุนวนอยู่รอบหนึ่งแล้ว ก็จ้องมองทิศทางที่สายรุ้งสีเงินแวววาวพุ่งหนีไป
ดูเหมือนเย่เทียนเหมยจะรับรู้ได้ว่าถูกมังกรตามติดไม่ลดละ ทันใดนั้นเสียงแหลมยาวก็ดังออกมาก อักขระสีเงินจำนวนมากโผล่ออกมาท่ามกลางแสงสีเงิน และค่อยๆ ระเบิดออกมาเป็นคลื่นสั่นสะเทือนอันน่าตกใจ
สายรุ้งแวววาวส่องแสงแสบตา มันเปล่งประกายพุ่งออกไปหกสิบถึงเจ็ดสิบจั้ง ความเร็วมันรวดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
มังกรสีน้ำเงินที่ตามติดไม่ลดละเห็นเช่นนี้ ก็ดูตกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานแววตาโหดร้ายก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงคำรามอันน่ากลัว
ครู่ต่อมา ร่างของมันก็พร่ามัวในทันที จากนั้นแสงสีฟ้าแสบตาก็ประทุออกจากร่าง และกลายเป็นคลื่นแสงสีฟ้าปกคลุมไปทั่วฟ้า ต่อมาแสงสีฟ้าก็ม้วนตัวพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก
พริบตาเดียว ทั้งสองก็ไล่ล่าตามกันจนหายไปจากขอบฟ้า
……
“อะไรนะ? ราชาปีศาจสมุทรออกไปจากวังคนเดียว? วิเศษไปเลย! สวรรค์ช่วยพวกเราแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้เริ่มลงมือหกตำหนักใหญ่ และทำลายพระราชวังใต้ทะเลก่อน จากนั้นค่อยทำลายราชาปีศาจสมุทร รอพวกเราจัดการรังของมันกับลูกสมุนมันได้ก่อน ดูสิว่ามันตัวคนเดียวจะต่อสู้กับเผ่าของเราได้อย่างไร” ใต้ทะเลลึกอีกแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากพระราชวังใต้ทะเลไปไกลเท่าใด ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรที่มีลักษณะน่าเกรงขาม มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ส่วนล่างเป็นหางมัจฉา มีมงกุฎสีทองสวมอยู่บนศีรษะ พอได้ยินรายงานจากผู้พิทักษ์เผ่าเจ้าสมุทรที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เขาก็แหงนคอหัวเราะออกมา
“ใช่แล้วฝ่าบาท!” ผู้พิทักษ์เผ่าเจ้าสมุทรตอบรับในทันที จากนั้นก็ถอยออกไป
“ฮึ! ราชาปีศาจสมุทร? รอข้าจับเจ้า และแย่งแก่นแท้มาได้ก่อน ข้าจะกลั่นพลังต้นกำเนิดของเจ้ามาช่วยในการทะลวงคอขวดของข้า และข้าก็จะเป็นราชาในเขตทะเลชังไห่ที่แท้จริง” ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรมองออกไปนอกพระราชวังด้วยตาที่เป็นประกาย และพูดพึมพำออกมา สีหน้าดูฮึกเหิมอย่างปิดไม่มิด
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขตทะเลที่ดูเงียบสงบแห่งนี้ ก็เดือดพล่านขึ้นมาฉับพลัน
จากนั้นก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น น้ำทะเลเริ่มไหลทะลักอย่างบ้าคลั่ง คลื่นยักษ์ม้วนตัวสูงหลายสิบจั้ง อสูรสมุทรยักษ์ที่ดูคล้ายเกาะเล็กๆ โผล่ออกมาจากในนั้น
อสูรสมุทรเหล่านี้ต่างก็มีเกล็ดปกคลุมอยู่ มีคมเขี้ยวอยู่เต็มปากขนาดใหญ่ของมัน ในระหว่างที่มันกลืนเข้าและคายออก ทำให้น้ำทะเลพวยพุ่งไม่หยุด ทันทีที่มันโผล่ออกมามันก็เริ่มฝ่าคลื่นพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
และบนหลังกว้างใหญ่ของมัน มีทหารเผ่าเจ้าสมุทรสวมชุดเกราะยืนเรียงกันเป็นแถว ในมือถือง้าวสามง่ามสีเขียวอยู่
เสื้อเกราะของพวกเขาถูกแสงแดดส่องสะท้อนจนเปล่งประกายแสงทรงกรดสีฟ้าออกมา มองดูไกลๆ จะเห็นแสงสีฟ้าเป็นระยิบระยับ มันดูมีอานุภาพอันน่าตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ก็มีเสียงร้องของวิหคชนิดต่างๆ จากนั้นวิหคสมุทรสีดำจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และเห็นได้อย่างชัดเจนในเวลาอันรวดเร็ว มันคือปีศาจวิหคดำที่เชี่ยวชาญการใช้วายุที่หลิ่วหมิงพบเจอบนท้องทะเลในก่อนหน้านั้น และมันกำลังพุ่งมาทางอสูรสมุทรท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ
เมื่อปีศาจวิหคดำเหล่านี้เพิ่งจะบินผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ตามมาด้านหลัง ทำให้ผิวทะเลด้านล่างกระเพื่อมอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็มีเงาร่างสีดำปรากฏอยู่ไกลๆ ไม่นานเรือขนาดราวกับเขาลูกเล็กๆ ก็ปรากฏออกมา
เรือยักษ์เหล่านี้ยาวสามสี่ร้อยจั้ง มีลวดลายสีฟ้าที่ประณีตละเอียดอ่อนสลักอยู่บนพื้นผิว และมีแท่งแหลมคมสีดำปกคลุมไปทั่ว
มีเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่บนดาดฟ้าเรือ และเห็นทหารเกราะฟ้าอยู่รำไร พวกเขายืนเรียงแถวเป็นรูปสี่เหลี่ยม แลดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก
หญิงชุดคลุมหลากสีกำลังยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือยักษ์ลำหนึ่ง เขาก็คือเจินเถียน ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นเสมือนของราชวงศ์ชังไห่ที่เคยปรากฏตัวบนเกาะอวิ๋นชวนหนึ่งครั้ง
ด้านหลังของนางยังมีคนเผ่าเจ้าสมุทรที่มีเกล็ดสีแดง สีฟ้า และสีเงินติดอยู่บนใบหน้าอยู่สิบกว่าคน แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ที่แท้พวกเขาก็คือผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าทั้งสามที่อยู่ในอวิ๋นชวน
……
ใต้ทะเลลึกอีกด้านหนึ่ง ก็มีเงาร่างที่มีกลิ่นไออันน่าตกใจอยู่หลายเงา พวกเขากำลังว่ายไปยังพระราชวังใต้ทะเลอย่างเงียบๆ
เงาร่างที่อยู่ตรงหน้ามีรูปร่างขนาดใหญ่ มันเป็นปลาหมึกยักษ์ที่มีลวดลายปีศาจสีม่วงอ่อนปกคลุมอยู่ทั่วร่าง มีหนวดแปดเส้น แต่ละเส้นใหญ่ร้อยกว่าจั้ง และตรงหัวด้านหน้าเป็นใบหน้าสวยงามของหญิงนางหนึ่ง แต่ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแสงสีเขียว และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
……
ในหอสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ พระราชวังใต้ทะเล หญิงชุดแดงกำลังยืนอยู่ในเงามืด นางกำลังมองดูแผ่นกลมๆ บนมือที่มีอักขระสีเงินเปล่งประกายอยู่ แววตาของนางดูบ้าคลั่งเล็กน้อย
“อิอิ! คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทราชวงศ์ชังไห่ของพวกเจ้าจะมีความเด็ดขาดเช่นนี้ ราชาสมุทรเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน เขาก็เตรียมการต่อสู้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ต้องเริ่มดำเนินการเช่นกัน หลายวันมานี้ข้าช่วยจัดการผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจที่คิดจะขัดขวางวิธีการของเจ้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เพื่อรอคอยวันนี้ที่มาถึง” หญิงผู้นี้ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ และหันมากล่าว
พอใบหน้าของนางออกจากเงามืด ก็เห็นได้ชัดว่านางก็คือชื่อลี่ ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าปีศาจนั่นเอง
อยู่ห่างจากด้านหลังของนางไปไม่ไกล มีหญิงสาวใบหน้างดงาม ผิวขาวราวกับหิมะกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าแปลกๆ ซึ่งนางก็คือเจียหลานนั่นเอง
“เจ้าสามารถรับรองความบริสุทธิ์ของข้าได้ ข้าย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด เจ้าเป็นเผ่าปีศาจทั้งยังเป็นคนสนิทของราชาปีศาจสมุทรด้วย ใยต้องหักหลังเขา และยังบากหน้าไปพึ่งอาศัยเผ่าเราตั้งนานแล้ว หากตอนนั้นเจ้าไม่ใช้กระจกผลึกมหัศจรรย์ติดต่อกับผู้อาวุใสในเผ่าของเรา และสนทนากับข้าล่ะก็ ข้าจะไม่เชื่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย” เจียหลานค่อยๆ กล่าวออกมา
“ฮึ! เรื่องของข้าไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าจะมาสอบถามต้นสายปลายเหตุได้ หากไม่ใช่ว่าเจ้ามีร่างละเมอฝัน และยังมีประโยชน์กับข้าอยู่บ้าง ข้าคงไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เอาล่ะ! ในเมื่อตอนนี้ราชวงศ์ชังไห่ของพวกเจ้าเริ่มเคลื่อนไหว พวกเราก็ต้องลงมือกันแล้ว จำไว้ให้ดี ทุกอย่างจะต้องทำตามที่ข้าบอก ใช่สิ! ยังต้องส่งข่าวบอกให้เจ้าหมอที่อยู่ในถ้ำเหมืองแร่ให้เขาเคลื่อนไหวด้วย จะได้แบ่งกำลังของผู้พิทักษ์ออกไปบ้าง ตอนนี้ทุกอย่างยิ่งวุ่นวายก็ยิ่งดี”
ชื่อลี่จ้องมองเจียหลานทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็หยิบผลึกกลมๆ แวววาวขนาดครึ่งชุ่นออกจากอก และขยี้จนแตกกระจาย
“ฟู่!” อักขระแวววาวขนาดเท่าเม็ดถั่วปรากฏออกมา หลังจากสั่นไหวตามลม มันก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่างอบ และกระพริบหายไปในอากาศ
“ไปกันเถอะ!”
พอชื่อลี่สั่งเสร็จ นางก็เดินออกไปจากหอ
ดวงตาแวววาวของเจียหลานเป็นประกาย หลังจากกัดริมฝีปากแล้วนางก็เดินตามไป
……
ขณะเดียวกัน ในถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งที่อยู่ในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะเล
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ กำลังรอคอยอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงแตกหักที่ได้ยินไม่ค่อยชัดดังมาจากอากาศ
ผลึกกลมๆ ขนาดครึ่งชุ่นที่ห้อยอยู่บนเอวหลานสี่แตกกระจายออกมา
ฉากเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ทุกคนจ้องมองผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์
แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้ กลับจ้องมองเชือกว่างเปล่าที่ห้อยอยู่บนเอวแล้วก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา จากนั้นก็หลับตาต่อโดยไม่อธิบายอะไร
แม้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่มองหน้ากันทีหนึ่ง และไม่มีใครอ้าปากถามอะไร
ทั่วทั้งอุโมงค์ตกอยู่ในบรรยากาศที่ดูแปลกๆ
…………………………………