ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 411 ศึกเผ่าเจ้าสมุทร (2)
ชิงฉินเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ทันใดนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปยังค่ายกลในทันที
“ฟู่!”
ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกจากใจกลางค่ายกล หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นเงาร่างมังกรที่มีเกล็ดสีฟ้าจางๆ ปกคลุมอยู่
“ชิงฉิน เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงใช้ขนวิหคประจำตัวเช่นนี้” หลังจากเงาร่างมังกรปรากฏตัวขึ้น มันก็ถามออกมา
“ราชาปีศาจสมุทร แย่แล้ว! ราชวงค์ชังไห่รวมกำลังกับชนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสิบ ตอนนี้กองทหารได้มาถึงพระราชวังแล้ว ขอให้พระองค์รีบกลับมาสั่งการด้วยเถิด”
ขณะเดียวกัน เหนือผืนทะเลที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากโลกใต้ทะเลลึกไปเท่าใด พอราชาปีศาจสมุทรที่กลายร่างเป็นมังกรได้ยินเสียงของชิงฉินดังมาจากร่างของวิหคน้อยโปร่งใสตัวหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมเล็กน้อย และไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง……
ขณะที่เผ่าปีศาจและเผ่าเจ้าสมุทรทำการต่อสู้กันภายใต้ทะเลลึกนั้น
มีเงาร่างเล็กๆ สองเงาปรากฏขึ้นในมุมบางแห่งของพระราชวังใต้สมุทรที่อยู่ห่างไกลผู้คน จากนั้นวิ่งไปทางพระราชวังอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงสะท้อนจากสิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณรอบๆ เมื่อมองดูอย่างละเอียดจะค้นพบว่าเงาร่างเหล่านั้นก็คือ ชื่อลี่กับเจียหลานที่ ‘หายตัว’ ไปในก่อนหน้านั้น
ขณะนี้ทั้งสองได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดหนังสีดำทะมัดทะแมง ชื่อลี่วิ่งอยู่ด้านหน้า และปล่อยพลังจิตกวาดดูความเคลื่อนไหวบริเวณรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาของเจียหลานที่ตามติดอยู่ด้านหลังก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลังจากมาถึงพระราชวังแล้ว ชื่อลี่ก็กระพริบหายไปในประตูเล็กๆ บางแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก เจียหลานหันมามองกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่นอกม่านแสงห้าสี และแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา จากนั้นก็กัดฟันเดินตามเข้าไปในประตูเล็กๆ
ภายในพระราชวังใต้สมุทรที่เหลืองอร่ามงามตา เพราะความวุ่นวายจากภัยสงครามที่อยู่ด้านนอก จึงทำให้ทางเดินอันกว้างขวางแทบจะไม่มีทหารอยู่เลย
และมีข้ารับใช้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พอพวกนางเห็นชื่อลี่ก็ค่อยๆ โค้งตัวคารวะโดยไม่กล้าถามอะไรออกมา
แต่พอชื่อลี่ลงมืออย่างไม่ปราณี พวกนางก็ถูกมือโจมตีจนเสียชีวิต แม้แต่ศพก็กลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา
ต่อมาทั้งสองก็เดินลัดเลาะอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มาถึงห้องโถงที่ค่อนข้างประณีตงดงามแห่งหนึ่ง
ชื่อลี่สังเกตดูห้องโถงด้วยสายตาอันเยือกเย็น นางเดินอ้อมที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลางจนมาถึงหน้าเสาหินต้นหนึ่ง จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีฟ้าออกมาแกว่งเบาๆ
“ฟู่!”
เปลืองหอยสีฟ้าเปล่งแสงสว่างออกมา อักขระสีฟ้าจางๆ พุ่งออกจากในนั้น และกระพริบหายไปในเสาหิน
เสาหินค่อยๆ สั่นสะท้าน แสงแวววาวไหลผ่านบนพื้นผิว ทันใดนั้นประตูเล็กๆ บานหนึ่งก็เปิดออกมา
“ไปกันเถอะ!” ชื่อลี่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากพูดกำชับแล้วนางก็เดินนำเข้าไป
เจียหลานเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็เดินตามเข้าไป
จากนั้นทั้งสองก็เดินตามบันไดหินสีดำเข้าไปยังทางเดินที่ดูคล้ายอุโมงค์น้ำแข็ง
……
อีกด้านหนึ่ง ภายในอุโมงค์แคบยาวที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสายแร่ใต้ทะเลลึก
หลานสี่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นมากล่าวอย่างราบเรียบ
“ได้เวลาพอประมาณแล้ว พวกเราควรจะเคลื่อนไหวได้แล้ว” แม้น้ำเสียงจะไม่ดังมาก แต่พอมันเข้าไปในหูกลับส่งเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง
ผู้คนในอุโมงค์ต่างก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน และสายตาของพวกเขาก็จ้องมองไปยังผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้ทำราวกับไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เดินไปยังผนังหินบางแห่งที่อยู่ไม่ไกล และยกกำปั้นขึ้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เพล้ง!”
พอผนังหินที่ดูไม่เตะตาปะทะกับกำปั้น แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมาต้านทานไว้
พอหลานสี่เห็นเช่นนี้ แววตาที่เป็นประกายก็หายไป เขาร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกันแสงระยิบระยับก็เปล่งประกายอยู่บนกำปั้น คลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาดม้วนตัวออกไป
เกิดเสียงดังขึ้นมา!
ม่านแสงสีขาวสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็แตกกระจายไปพร้อมกับผนังหิน และฝุ่นสีเทาก็ฟุ้งกระจายบริเวณรอบๆ
ทางเดินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังผนังหิน บนทางเดินเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวเทา ซึ่งไม่รู้ว่ามันทอดยาวไปที่ใด
ฉากที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในนั้นจ้องมองด้วยความตกตะลึง
แม้หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนจะไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ก็รู้สึกแปลกใจมาก
ตอนที่เข้ามาในอุโมงค์ เขาได้ปล่อยพลังจิตกวาดดูบริเวณนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ค้นพบว่าด้านหลังผนังหินจะมีสถานที่อื่นๆ อยู่
ดูท่าม่านแสงสีขาวที่อยู่บนผนังหินคงไม่ใช่ชั้นจำกัดธรรมดาอย่างแน่นอน
ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกแปลกใจอยู่นั้น หลานสี่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ “ตามข้ามา” จากนั้นก็เดินหายเข้าไปด้านใน
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ คนจำนวนมากต่างก็มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย
แม้หลานสี่จะบอกว่าเป็นเพราะถูกเหยียนลัวหักหลัง จึงไม่ได้บอกแผนการหลบหนีให้กับเขา แต่คำพูดก่อนตายของเหยียนลัว กลับทำให้คนจำนวนมากรู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อย
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเงาร่างสีเทาเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เขาก็คือซินหยวนนั่นเอง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อมีคนเดินเข้าไปแล้วคนหนึ่ง คนอื่นๆ ก็สบตากันแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินตามไป
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ทยอยเข้าไปโดยไม่ลังเลอะไรอีก
มาถึงตอนนี้ แม้พวกเขาจะรู้สึกสงสัยแผนการหลบหนีของหลานสี่ แต่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีวิธีการที่ดีไปกว่านี้เลย
เพราะเพียงแค่มีความหวังเล็กน้อย ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในสถานที่มืดมิดเช่นนี้ตลอดชีวิต
หลิ่วหมิงยืนอยู่ด้านข้าง พอมีคนเข้าไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว เขาก็เดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
ทางเดินนี้ยิ่งลึกก็ยิ่งกว้าง ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ความกว้างของมันก็มีขนาดราวๆ ห้าหกจั้ง และผนังรอบทางเดินก็มีหินแปลกประหลาดที่ส่องแสงสีเทาสลัวๆ ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ดูเหมือนว่าไอหมอกสีขาวเทาที่ปกคลุมอยู่บนทางเดิน จะแผ่ออกมาจากหินชนิดนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่อาจเคาะหินสีขาวเทาเหล่านี้ออกมาศึกษาได้
ดูเหมือนว่าทางเดินแห่งนี้ จะค่อยๆ ทอดยาวลงไปด้านล่าง และลงลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ว่า ตนเองอยู่ลึกลงไปจากสายแร่มากแค่ไหนแล้ว
เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป
พวกเขาเดินไปได้ราวๆ สองชั่วยามกว่า ทุกคนเดินตามผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ
แต่พอมีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า โลกใต้ดินขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรอบด้าน เขารู้สึกว่าผนังหินเหล่านี้ล้วนเหมือนกับทางเดินในก่อนหน้า และด้านล่างผนังหินยังมีพืชที่ไม่ทราบชื่ออยู่จำนวนหนึ่ง
และมีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
ทะเลสาบแห่งนี้ครอบครองพื้นที่แปดถึงเก้าในสิบส่วน มีขนาดกว้างหลายลี้
น้ำในทะเลสาบมืดมิดและเย็นจัด ไอหมอกสีขาวเทาลอยวนเวียนอยู่บนนั้นอย่างแน่นหนา และส่งกลิ่นเหม็นคาวแสบจมูกออกมา
คนผู้หนึ่งเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว และโยนกิ่งไม้แห้งที่อยู่บริเวณนั้นออกไป จากนั้นมันก็ลอยอยู่บนผิวทะเลสาบทันที
ฉากอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว พริบตาที่กิ่งไม้แห้งสัมผัสโดนผิวทะเลสาบ มันก็จมลงไปทันที
เมื่อคนจำนวนมากเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
มีค่ายกลสีทองจางๆ ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบทางฝั่งที่ทุกคนเข้ามา
แท่นหินสิบกว่าแท่งตั้งอยู่ใจกลางค่ายกล และเรียงตัวเป็นรูปร่างแปลกๆ
บนแท่นหินแต่ละแท่นมีธงค่ายกลสีทองอร่ามปักอยู่หนึ่งอัน และมันก็เปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา
ขณะนั้นเอง หลานสี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุดก็หันกลับมาทันที จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“หลังจากที่ข้าตามหามานานหลายปี ในที่สุดก็ค้นพบเส้นทางหลบหนีแห่งนี้ มันเป็นจุดเปราะปรางที่ตัดกันระหว่างเหวลึกกับสายแร่แห่งนี้ เพียงแค่ทำลายจุดตัดนี้ได้ ก็สามารถเข้าไปในเหวลึกที่อสูรโฉดเหล่านั้นอยู่ พอพวกเราหาจุดตัดอื่นๆ ที่อยู่ในเหวลึกได้ ก็จะหาทางกลับไปยังสถานที่อื่นๆ ได้ และพวกเราก็จะเป็นอิสระอีกครั้ง”
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ย่อมทำให้ผู้คนเกิดความฮือฮาขึ้นมา
“ผู้อาวุโสหลาน พอพวกเราเข้าไปในเหวลึก ก็ต้องเผชิญกับการกัดเซาะของไอร้าย ด้วยระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสอาจจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่พวกเรา…..”
“ไม่ใช่เพียงแค่นี้ ในนั้นยังมีอสูรโฉดอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมีมากกว่าตอนเกิดภัยร้ายมาก ตอนเจอมันในสายแร่ยังพอจะมีทางหลบหนีได้ แต่พอเจอมันในพื้นที่ของเหวลึก คงต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น”
“ยังมีอีกนะ พื้นที่ของเหวลึกไร้ซึ่งขอบเขต ลำพังพวกเราแค่ไม่กี่คน ไหนเลยจะหาจุดตัดกลับไปยังสถานที่อื่นๆ ได้?”
“นั่นน่ะสิ! วิธีการนี้เสี่ยงอันตรายไปหน่อย…….”
คนจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเข้าใจพื้นที่ของเหวลึกดี พากันสอบถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เมื่อเผชิญหน้ากับข้อซักถามของคนจำนวนมาก หลานสี่ก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา จากนั้นป้ายกระดูกสีขาวกับน้ำเต้าสีดำสนิทก็ปรากฏอยู่บนมือ เขากวาดสายตาดูผู้คนที่เอ่ยปากถาม และค่อยๆ กล่าวออกมา
“นี่คืออาวุธจิตวิญญาณป้องกันที่ข้าสร้างมาจากกระดูกของอสูรโฉด เพียงแค่พกมันติดตัว ก็สามารถต้านทานการเซาะกร่อนของไอร้ายได้ ส่วนสิ่งที่อยู่ในน้ำเต้า ก็เป็นของเหลวจิตวิญญาณที่ข้ากลั่นมาจากโลหิตของอสูรโฉด เมื่อทานเข้าไปแล้วจะทำให้กลิ่นไอบนตัวเหมือนกับกลิ่นไอของอสูรโฉดในระยะเวลาสั้นๆ ในระหว่างเวลานี้จะไม่ถูกอสูรโฉดโจมตี หลังจากทุกคนเข้าไปในพื้นที่ของเหวลึกแล้ว ข้าจะแบ่งให้คนละหนึ่งชุด ขณะเดียวกันก็จะช่วยลบชั้นจำโลหิตที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณออกไปด้วย ส่วนจะหาจุดตัดอื่นๆ ในเหลวลึกได้อย่างไรนั้น……”
พอผู้อาวุโสกล่าวมาถึงจุดนี้ก็หยุดชะงักลงทันที ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา
…………………………………