ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 412 ศึกเผ่าเจ้าสมุทร (3)
“ในเมื่อทุกท่านต้องการหลุดพ้นไปจากสายแร่แห่งนี้ แต่กลับไม่คิดจะเสี่ยงอันตราย ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายบนโลกใบนี้ แต่ในเมื่อข้าหาจุดตัดนี้ได้ พอเข้าไปในเหวลึกแล้ว ย่อมมีโอกาสหาจุดตัดอื่นเจอ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือ ช่วยข้าเปิดจุดตัดตรงหน้า ส่วนเรื่องอื่นๆ รอเข้าไปในเหวลึกแล้วค่อยพูดถึงก็ยังไม่สาย”
พอกล่าวจบหลายสี่ก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่ากำลังรอการตัดสินใจของทุกคนอย่างเงียบๆ
สิ่งนี้ย่อมทำให้คนอื่นๆ ฮือฮาขึ้นมา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขยับปากส่งเสียงไปหาซินหยวน
“พี่ซิน ไม่ทราบว่าท่านรู้จักเหวลึกมากน้อยเท่าใด สามารถบอกข้าได้หรือไม่?”
เพราะเขาเพิ่งเข้าถ้ำเหมืองแร่มาได้ไม่นาน นอกจากรู้ว่ามีอสูรโฉดอยู่ในเหวลึกไร้ก้นแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเขากลับรู้ไม่มาก
และซินหยวนอยู่ที่นี่มาหลายปี คงจะค่อนข้างรู้จักดี
ซินหยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่งเสียงกลับมาอย่างราบเรียบ
“พูดถึงเรื่องเหวลึกไร้ก้น ข้าเองก็รู้มาจากเหยียนลัวในปีนั้น ว่ากันว่าสายแร่ใต้ทะเลลึกแห่งนี้ ถูกราชาปีศาจสมุทรค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ขณะเดียวกันยังพบฝูงอสูรโฉดเดินเตร่ไปมาใต้สายแร่ พอราชาปีศาจสมุทรส่งคนมาค้นหา ก็ค้นพบเหวลึกแห่งนี้ ดังนั้นราชาปีศาจสมุทรที่ตอนนั้นยังอยู่ในระดับผลึก จึงรวมพลังกับผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าปีศาจหลายคน เพื่อเปิดทางที่เชื่อมต่อกับเหลวลึก พอพวกเขาเข้าไปในนั้น ก็ค้นพบว่าด้านในเป็นมิติแปลกประหลาดที่ดูคล้ายกับนรก ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยปราณหยินเท่านั้น แต่ยังมีไอร้ายจากความอาฆาตแค้นของภูตผีอยู่ด้วย”
“สำหรับภูตผีแล้ว ไอร้ายเหล่านี้อาจจะเป็นของบำรุงชั้นเลิศ แต่สำหรับคนธรรมดากับผู้ฝึกฝนเผ่าอื่นๆ กลับเป็นพิษอันร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันเป็นสิ่งสกปรกสำหรับสามจิตเจ็ดวิญญาณ ไม่สามารถสัมผัสได้โดยง่าย เพียงแค่คนธรรมดาสูดเข้าไปหนึ่งที จิตรับรู้จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก สามจิตเจ็ดวิญญาณจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จนไม่สามารถไปเกิดได้อีก และไม่รู้ว่าอสูรโฉดในเหวลึกนั้นมาจากไหน มันมีเลือดเนื้อ ดูเหมือนจะไม่ใช่ภูตผี แต่กลับไม่กลัวไอร้ายนี้ และยังสูดไอร้ายเพื่อการดำรงอยู่ ขณะเดียวกัน อสูรโฉดเหล่านี้ก็โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เพียงแค่ค้นพบว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน มันก็จะพุ่งเข้าใส่ทันที ต่อให้จะหนีห่างไปได้ระยะหนึ่ง มันก็ตามล่าไม่ปล่อย สำหรับเรื่องนี้พี่หลิ่วคงรู้ซึ้งดี” พอซินหยวนเล่ามาถึงจุดนี้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย
“ไม่ผิด! อสูรโฉดเหล่านี้รับมือได้ยากจริงๆ แต่ส่วนมากดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลว หากผู้แข็งแกร่งระดับผลึกหลายคนรวมตัวกันล่ะก็ ต่อให้เผชิญหน้ากับฝูงอสูรโฉด ก็คงพอจะป้องกันตนเองได้” เมื่อหลิ่วหมิงนึกถึงฉากในตอนที่หลบหนีอสูรโฉด ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้าน
“ในทางตรงกันข้าม ว่ากันว่าพอผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเผ่าปีศาจเหล่านั้นเข้าไปในมิติ และยังไม่ทันได้ตรวจสอบอะไรก็ค้นพบว่ามีไอร้ายอยู่ นอกจากราชาปีศาจสมุทรและคนอื่นๆ ที่ไหวตัวทัน และใช้พลังจิตปิดล้อมทะเลจิตรับรู้ไว้แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่ทันได้ป้องกันตัว ส่งผลให้ระดับการฝึกฝนลดลงไปมาก สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตภายใต้การล้อมโจมตีของอสูรโฉด มีแค่ราชาปีศาจสมุทรกับคนไม่กี่คนเท่านั้น ที่รวมพลังเปิดมิติกลับมายังสายแร่ใต้ทะเลลึกได้ ทั้งยังวางชั้นจำกัดไว้บริเวณรอบๆ สายแร่ใต้ทะเลลึก เพื่อต้านทานการมาของอสูรโฉด ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่สามารถเข้าเขตสายแร่ได้อย่างอิสระเหมือนกับเมื่อก่อน ได้แต่อาศัยช่วงเวลาที่ชั้นจำกัดอ่อนแอ ถึงโชคดีบุกเข้ามาได้”
หลังจากที่ซินหยวนเล่าออกมาภายในอึดใจเดียว หลิ่วหมิงก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับเหวลึกแห่งนี้แล้ว และรู้ว่าทำไมก่อนหน้านั้นคนเหล่านี้ถึงหวาดกลัวที่จะเข้าไปในนั้น
คิดว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหวลึกคงไม่ใช่ความลับอะไร คนที่อยู่ที่นี่มานานย่อมรู้กันทั่วหน้า
“ดูท่าการเดินทางในครั้งนี้ จะดีหรือร้ายก็ไม่อาจพูดได้” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
และซินหยวนก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงมาอีกครั้ง
“แม้จะไม่มีหลักฐานอะไร แต่ก็มีคนบอกว่าแท้จริงแล้วเหวลึกไร้ก้นแห่งนี้ เชื่อมต่อกับปรโลกที่เป็นที่ตั้งของหกวัฏสังสารที่เล่าต่อกันมา แต่ว่าเรื่องเล่าลือเช่นนี้ เป็นการพูดที่ไม่มีมูลความจริง เพราะว่าเมื่อชีวิตดับสูญแล้ว ปรโลกที่เป็นที่อยู่ของวิญญาณก็เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น ไม่เคยมีคนพบเห็นมันจริงๆ”
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ปรโลก’ กับคำว่า ‘วิญญาณ’ ก็รู้สึกเย็นสะท้าน
อย่างที่รู้ว่าการกลับชาติมาเกิดของวิญญาณที่ผู้ฝึกฝนกล่าวถึง หมายถึงผู้ที่มีวิญญาณที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ตนเองกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง แม้กระทั่งหากมีโอกาสที่เหมาะเจาะ ก็สามารถระลึกความทรงจำในชาติก่อนกับประสบการณ์การฝึกฝนบางส่วนได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การฝึกฝนรุดหน้าไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่เขาบรรลุเข้าสู่ระดับของเหลว ย่อมมีสิทธิ์สอบถามข้อมูลในหอเก็บคัมภีร์ที่เขาไม่อาจะสืบค้นได้ในตอนเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ข้อมูลเกี่ยวกับปรโลกนั้น เขาได้มาจากคัมภีร์โบราณเก่าแก่เล่มหนึ่ง
ตามที่บรรยายในคัมภีร์ ภูติผีที่ผู้ฝึกฝนกล่าวถึง เป็นแนวคิดที่แตกต่างจากวิญญาณในปรโลกโดยสิ้นเชิง
อย่างแรกเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากปราณหยินจำนวนมาก สามารถอาศัยกระดูกของศพฟื้นคืนชีพขึ้นมา และยังใช้ปราณหยินก่อตัวเป็นรูปร่างได้ มันมีขนาดแตกต่างกัน เปลี่ยนรูปร่างได้นับหมื่นรูปแบบ ทั้งยังแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ได้อีกมากมาย
ส่วนอย่างที่สองกลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง เมื่อชีวิตดับสูบแล้วจิตรับรู้ก็จะตกลงไปในปรโลก อาศัยพลังของปราณหยินกลายเป็นสิ่งที่คล้ายวิญญาณอีกครั้ง และส่วนมากสามารถรักษารูปร่างในก่อนหน้านั้นไว้ได้
เพราะว่าทั้งสองต่างก็อาศัยปราณหยินในการดำรงอยู่ ดังนั้นคนทั่วไปจึงเอาทั้งสองมาเรียกรวมกัน
และวิญญาณที่ทางโลกกล่าวถึงก็คือ วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่สลายไปเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้ ‘แดนปีศาจปรโลก’ ที่นิกายปีศาจควบคุมอยู่จึงจัดอยู่ในอย่างแรกนั่นเอง
และปรโลกที่กล่าวถึงในตอนท้ายก็เป็นเรื่องที่เล่ากันมาในสมัยบรรพกาลแล้ว ว่ากันว่ามีแต่ผู้ทรงพลังเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในแดนแห่งนี้ได้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้มันจึงดูลึกลับมาโดยตลอด มีคนรู้เกี่ยวกับสภาพภายในปรโลกน้อยมาก รู้เพียงแต่ว่าแดนปรโลกถูกแม่น้ำภูติผีสายหนึ่งแบ่งออกเป็นเก้าเขตแดนใหญ่ๆ แต่ละเขตแดนต่างก็มีราชาภูตผีปกครองอยู่หนึ่งตน ส่วนข้อมูลเกี่ยวหกวัฏสังสารที่เป็นรูปธรรมนั้น ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยสีหน้าแปลกประหลาดนั้น คนอื่นๆ ก็ถูกหลานสี่พูดเกลี้ยกล่อมจนยอมเข้าไปในเหวลึกด้วยความเต็มใจ
เพราะพวกเขาเหล่านี้ เป็นผู้แข็งแกร่งที่หลานสี่เลือกมา พอคิดดูอย่างละเอียดก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ในเมื่อหลานสี่ยอมเข้าไปกับพวกเขา แสดงว่าเขามีความมั่นใจอยู่มาก มิเช่นนั้นจะเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นได้อย่างไร
ดังนั้นภายใต้การจัดการของหลานสี่ ทุกคนจึงค่อยๆ เดินไปหน้าค่ายกล
หลานสี่ขยับตัวแค่ทีเดียวก็ไปปรากฏอยู่บนแท่นหินแท่นหนึ่ง ส่วนแท่นอื่นๆ หลังจากเขาระบุชื่อแล้ว ผู้ที่มีพลังการโจมตีอันแข็งแกร่งสิบกว่าคนก็ไปยืนอยู่บนนั้น
ขณะที่เรียกหลิ่วหมิงนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อในทันที แสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่เล็กสีฟ้าพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงยื่นมือออกไปรับด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มีเสียงของหลานสี่ดังขึ้นข้างหู
“นี่เป็นกระบี่จิตวิญญาณระดับกลางที่ข้าเก็บรักษามา อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ใช้กระบี่เล่มนี้แสดงวิชาขี่กระบี่บินเถอะ!”
สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจมาก แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีใครถามอะไรออกมา
และคนที่ไม่ถูกเรียกขึ้นไปบนแท่นหิน หลานสี่ก็สั่งให้พวกเขาช่วยกันโจมตีชั้นจำกัดในขณะที่เริ่มทำลายค่ายกลก็พอแล้ว
พอหลานสี่เห็นทุกคนประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าเคยศึกษากำแพงกีดขวางนี้มาแล้ว แม้มันจะเปราะบางกว่าที่อื่นมาก แต่เนื่องจากมีชั้นจำกัดบริเวณสายแร่ช่วยต้านทานไว้ มันจึงอาจมีมากถึงสามชั้น อีกประเดี๋ยวข้าจะทำลายชั้นแรก พอชั้นที่สองโผล่ออกมา พวกเจ้าก็ช่วยกันทำลายก็แล้วกัน ส่วนชั้นที่สามข้ามีวิธีอื่นๆ ในการทำลายมัน”
พอกล่าวจบเขาก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และร่ายคาถาออกมาเบาๆ จากนั้นก็ปล่อยวิชาใส่ธงค่ายกลสีทองอร่ามที่อยู่บนแท่นหิน
ธงค่ายกลเหล่านี้สั่นไหวขึ้นมาทันที แสงสีทองเปล่งประกายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นแสงสีทองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ก็พุ่งออกจากในนั้น หลังจากที่มันประสานกันไปมาเหนือศีรษะของผู้คนที่อยู่บนนั้นแล้ว ก็กลายเป็นค่ายกลแสงสีทองที่มีขนาดสิบกว่าจั้งในพริบตา
หลานสี่เห็นเช่นนี้ก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาทันที มันกลายเป็นหมอกโลหิตจมหายเข้าไปในค่ายกลแสงสีทอง
พริบตานั้นมีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่กลางอากาศ ลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกจากค่ายกลแสงในฉับพลัน ทำให้คนที่ไม่ทันได้ป้องกันจำต้องหลับตาลง
เป็นเพราะหลิ่วหมิงเคยทานโอสถเบญจโรจน์ เขาจึงสามารถมองเห็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
แต่หลังจากค่ายกลแสงสีทองดูดโลหิตของหลานสี่เข้าไปแล้ว มันก็หมุนตัวในทันที ภายใต้การควบคุมของหลานสี่ มันค่อยๆ ยกตัวขึ้นมา และลอยไปอยู่เหนือทะเลสาบ
ครู่ต่อมา มีแสงสีทองสว่างไสวเปล่งออกมาจากแขนทั้งสองของหลานสี่ ดูเหมือนว่าค่ายกลสีทองจะขานรับกับมัน
แสงสีทองม้วนตัวออกมาจากใจกลางค่ายกลแสง และค่อยๆ จมหายไปในอากาศที่ดูว่างเปล่า
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีทองบนมือหลานสี่ก็ดับลง ค่ายกลแสงสีทองที่มีขนาดใหญ่สิบกว่าจั้ง หายไปในอากาศเหนือทะเลสาบอย่างไร้ร่องรอย
“ตู๊ม!” บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
อากาศเหนือทะเลสาบบิดเบี้ยวขึ้นมา แสงสีทองเจิดจ้าพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก และฉีกม่านแสงสีเงินที่มีขนาดครึ่งหมู่จนขาดออกมา
เมื่อคนที่อยู่แท่นหินเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้นมา ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้แหละ รีบโจมตีเร็ว!” หลานสี่เห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
…………………………………