ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 423 แท่นบูชาในป่าหิน
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังสามารถทำให้พลังเวทย์ของอสูรโฉดระดับผลึกขั้นกลางหมดไปได้ ทั้งยังสังหารมันอย่างง่ายดาย
ตั้งแต่ต้นจนจบ อสูรโฉดตัวนั้นแตะต้องตัวเขาไม่ได้เลยแม้แต่ชายเสื้อ
เป็นอย่างที่หลานสี่พูดในก่อนหน้านั้น หากลงมือกับเขา ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็รู้กันดีอยู่แล้ว
หลังจากที่พวกเขาจัดการอสูรโฉดระดับผลึกสองตัว และแบ่งกระดูกกันเล็กน้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อ
แต่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้นมีคนเสียชีวิตไปไม่น้อย บรรยากาศจึงดูอึดอัดกว่าเดิม
ผ่านไปอีกหลายวัน
ขณะที่ของเหลวจิตวิญญาณในน้ำเต้าใกล้จะหมดนั้น หลานสี่ก็พาพวกเขาออกจากทะเลทรายไร้ขอบเขตได้ในที่สุด
พอไม่มีพายุเย็นสะท้านเหล่านั้นคอยก่อกวน พวกเขาย่อมใช้วิหาเหินเวหาในการเดินทาง โดยลอยอยู่บนอากาศที่ไม่สูงมากนัก
พวกเขาเดินทางผ่านพื้นที่ราบเล็กๆ ที่มีพุ่มไม้เตี้ยไม่ทราบชื่อ และบึงแห่งหนึ่งที่ตลบอบอวลไปด้วยไอพิษ จากนั้นก็มาถึงเขตภูเขาลูกเล็กที่ทอดยาวติดต่อกัน และหยุดอยู่ตรงหน้ายอดเขาสีดำลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
ยอดเขาไม่สูงมากนัก สูงราวๆ เจ็ดแปดร้อยจั้ง มันมีสีดำมืดมน มีไอหมอกสีขาวเทาลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ทำให้เห็นยอดเขาอยู่รำไร ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
ขณะนั้นเอง แผ่นกลมๆ บนมือของหลานสี่ที่อยู่ด้านหน้า พลันส่งเสียงดังหวึ่งๆ และค่อยๆ เปล่งประกายออกมา
หลานสี่เห็นเช่นนี้ ก็ก้มมองอย่างละเอียด จากนั้นก็ป่าวประกาศด้วยความดีใจ
“ในที่สุดก็หาจุดตัดอีกแห่งเจอแล้ว! หากข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ ตำแหน่งของจุดตัดน่าจะอยู่ด้านหลังยอดเขา”
จากนั้นเขาก็ทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งไปด้านหน้าอย่างเร่งรีบ
คนอื่นๆ เห็นความผิดปกติของแผ่นกลมๆ บนมือของเขาตั้งแรกแล้ว และส่วนมากต่างก็คาดเดาอยู่ในใจได้บ้างแล้ว พอได้ยินหลานสี่กล่าวยืนยันอีกครั้ง พวกเขาย่อมมองไปด้วยความดีใจ และค่อยๆ ตามหลานสี่ไป
แต่พอราชาปีศาจสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็ก้มมองเจียมหลานที่หมดสติอยู่ในอ้อมกอดทีหนึ่ง และขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมาจากตัว และค่อยๆ ตามไป
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาจ้องมองยอดเขาสีดำ
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พริบตาที่เขาเห็นเขาลูกนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างแปลกประหลาด
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่คนอื่นๆ ต่างก็นำหน้าไปก่อนแล้ว หลิ่วหมิงก็เพียงแค่ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ตามคนอื่นๆ ไป
เพราะในสถานที่อันตรายเช่นนี้ หากอยู่ห่างจากคนอื่นๆ มากเกินไป มันไม่ค่อยปลอดภัยมากนัก
แต่ขณะนี้ เขาออกจากใจกลางของฝูงชนจนรั้งอยู่ท้ายสุดโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันริมปากของเขาก็ขยับสองสามที
ซินหยวนที่เดิมทีเหาะอยู่กลางขบวนการเดินทาง พลันได้ยินเสียงของหลิ่วหมิงดังขึ้นข้างหู เขาจึงค่อยๆ หยุดชะงักลง จากนั้นก็เดินหน้าต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเร็วลดลงไปจากเดิมโดยที่คนอื่นไม่รู้ตัว ไม่นานก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มที่อยู่รั้งท้ายสุด
แต่ราชาปีศาจสมุทรกลับหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินหน้าต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงรู้สึกใจสั่นสะท้าน!
ดูจากพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้ของราชาปีศาจสมุทร หากจะบอกว่าเขาได้ยินเสียงที่หลิ่วหมิงส่งมาในก่อนหน้านั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่เหาะเคียงบ่าไปกับซินหยวน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็อ้อมยอดเขายักษ์ในก่อนหน้านั้น จนมาถึงพื้นที่ราบตรงด้านหลังของยอดเขา
และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือ หินสีขาวเทาสูงใหญ่ที่ยืนตั้งเรียงรายกันอย่างหนาแน่น พอมองออกไปไกลๆ ก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นเสาหินเหล่านี้ ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ป่าหินนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ และทำให้เขานึกถึงนิกายหยวนหมัวในแผ่นดินอวิ๋นชวนโดยไม่รู้ตัว
ตำแหน่งที่นิกายหยวนหมัวอยู่ ก็ดูคล้ายกับป่าหินขนาดใหญ่ และมีไอหมอกแปลกๆ ลอยวนเวียน
แต่ป่าหินของนิกายหยวนหมัว ล้วนเป็นเสาหินยักษ์ที่มีอักขระสีดำสลักอยู่เป็นจำนวนมาก และไอหมอกก็พุ่งออกมาจากอักขระเหล่านี้
และป่าหินตรงหน้านี้ เป็นแค่หินสูงใหญ่แปลกประหลาดที่มีขนาดแตกต่างกันเท่านั้น ซึ่งไม่มีร่องรอยใดๆ บ่งบอกว่ามนุษย์สร้างมันขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ยิ่งทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
แต่ขณะนั้นเอง หลานสี่ก็หยุดอยู่ตรงหน้าป่าหิน หลังจากก้มมองแผ่นกลมๆ บนมือแล้ว ก็ชี้ไปทางป่าหิน และกล่าวด้วยความมั่นใจ
“จุดตัดที่พวกเราต้องการหา อยู่มุมไหนสักแห่งตรงด้านหน้านี้ ส่วนตำแหน่งที่แม่นยำ รอพวกเราเข้าไปแล้วคงจะรู้ชัดเจนกว่าเดิม”
พอกล่าวจบ เขาก็เหาะนำไปทางป่าหินทันที
ทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตามเขาไปด้วยความดีใจ
เมื่อหลิ่วหมิงเหาะเข้าไปในป่าหินแล้ว ก็ปล่อยพลังจิตออกไปส่วนหนึ่ง เขาค้นพบว่าเสาหินเหล่านี้ดูคล้ายกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งตั้งวางอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดให้ค้นหา และไม่มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด
สิ่งนี้ทำใหเขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นเขากับซินหยวนก็ตามติดฝูงชนไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป พวกเขาก็มาถึงพื้นที่กว้างโล่งในป่าหิน และที่นั่นมีแท่นบูชาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ มันสูงราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบจั้ง มีฝุ่นสีเทาหนาๆ เกาะอยู่บนผิว ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว
กลางแท่นบูชามีป้ายหินสีดำตั้งอยู่อันหนึ่ง บนผิวของมันมีลวดลายสีม่วงเข้มปรากฏอยู่ แต่มันดูเลือนลางเป็นอย่างมาก
“นี่คืออะไร?”
“ทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงมีสิ่งของแปลกประหลาดเช่นนี้?”
พอเห็นสิ่งของที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ย่อมมีคนรู้สึกตกใจจนต้องถามหลานสี่ด้วยความสงสัย
“ฮึ! ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ข้าก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่า ด้านบนของแท่นบูชาจะต้องเป็นที่ตั้งของจุดตัดอีกแห่งหนึ่ง” หลานสี่ยักไหล่ปฏิเสธในทันที
ต่อมา เขาโบกแผ่นกลมๆ ไปทางด้านบนของแท่นบูชา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยแสงสีขาวเข้าไปในแผ่นกลมๆ
อักขระพุ่งออกจากแผ่นกลมๆ ทันที หลังจากที่มันสั่นสะท้าน ลำแสงสีขาวก็พุ่งยิงออกมา และจมหายไปในอากาศที่อยู่เหนือแผ่นป้าย
“ฟู่!”
อากาศบริเวณนั้นเกิดคลื่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันใดนั้นระลอกคลื่นสีขาวสลัวๆ ก็ปรากฏออกมารำไร แต่หลังจากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นม่านแสง
เป็นตำแหน่งของจุดตัดจริงๆ ด้วย
“จากประสบการณ์ของข้า เนื่องจากมันผ่านกาลเวลามานาน จุดตัดแห่งนี้จึงเปราะบางเป็นอย่างมาก ทุกท่านมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องประหยัดพลังเวทย์แต่อย่างใด เพียงแค่ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดโจมตีก็พอ ทางออกอยู่ตรงหน้านี้แล้ว!” หลานสี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็โบกมือเพื่อบ่งบอกให้ผู้คนเริ่มทำการโจมตีได้
พอทาสเหมืองแร่จำนวนมากเห็นระลอกคลื่นสีขาวกลางอากาศ และรับรู้ได้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนที่แผ่ออกมาจากในนั้นได้อย่างชัดเจน ก็ไม่รู้สึกสงสัยคำพูดของหลานสี่เลย
ภายใต้ความดีใจ พวกเขาแต่ละคนต่างก็พากันกระตุ้นพลังเวทย์แสดงเคล็ดวิชา และอาวุธต่างๆ ออกมาโจมตีจุดตัดนี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ขณะนั้น มีแสงเปล่งประกาย และเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น วิชาแบบต่างๆ ค่อยๆ จมเข้าไปในม่านแสง ทำให้พื้นผิวของมันมีแสงแวววาวหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ในขณะที่คนอื่นๆ โหมพลังโจมตีอย่างสุดชีวิต กลับยังมีคนสามสี่คนที่ยังไม่ลงมือ!
นอกจากหลิ่วหมิงกับซินหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดแล้ว ยังมีหญิงสาวเผ่าเกล็ดทองคำที่มีชื่อว่า ‘จื่อหมิง’ ผู้นั้น
ส่วนคนที่สี่ที่ไม่ได้ลงมือ ย่อมเป็นราชาปีศาจสมุทรที่อุ้มเจียหลานอยู่นั่นเอง
นอกจากเขาจะเลิกคิ้วเล็กน้อยในตอนแรกที่พบเจอแท่นบูชาโบราณนี้แล้ว ก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมาโดยตลอด
หลิ่วหมิงมองดูลวดลายสีม่วงเข้มบนแผ่นป้ายที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
หลานสี่เห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กวาดสายตามองดูทั้งสี่ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่หญิงเผ่าสาวเกล็ดทองคำ และกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“จื่อหมิง ทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือ หรือว่าไม่อยากออกไป?”
พอหญิงสาวเผ่าเจ้าสมุทรที่ดูเหมือนจะเคารพเขาเป็นอย่างมากได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากมองดูหลิ่วหมิงกับซินหยวน และราชาปีศาจสมุทรที่ไม่ลงมือแล้ว กลับหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ลงมือ? หรือว่าเจ้าจะรอจนพลังเวทย์ของพวกเราหมดสิ้น แล้วจะได้สังหารพวกเราอย่างง่ายดาย จากนั้นก็นำไปเป็นเครื่องบูชาใช่หรือไม่!”
แม้นางจะพูดเสียงไม่ดังมาก และดูเหมือนว่าเสียงของนางจะถูกเสียงการโจมตีกลบจนมิด แต่มันกลับดังก้องเข้าไปในหูของทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ อย่างชัดเจน
ผู้คนที่กำลังลงมืออยู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาหยุดการโจมตีโดยไม่ได้นัดหมาย และมองมาที่หลานสี่ด้วยความสงสัย
“เครื่องบูชาอะไร? เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ หรือว่าเจ้าไม่อยากไปจากที่นี่แล้ว?” หลานสี่กลับกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“ฮึ! มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะปิดบังพวกข้าอีก เจ้าคิดว่าเรื่องที่เจ้าแอบสร้างแท่นบูชาในถ้ำลับนั้น ไม่มีใครรู้เลยหรือ ข้าเคยเห็นแท่นบูชานี้มากับตา เมื่อเทียบกับแท่นบูชาตรงหน้านี้ นอกจากจะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย และมีแผ่นป้ายวางอยู่ด้านบนแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนเหมือนกันไม่มีผิด” หญิงสาวเผ่าเกล็ดทองคำกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
หลานสี่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าถึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ราชาปีศาจสมุทรที่เงียบมาโดยตลอด กลับเอ่ยปากขึ้นมาโดยฉับพลัน
“หลานสี่ เรียกเจ้าสิ่งนั้นออกมาเถอะ แม้ตอนนี้พลังเวทย์ของข้าจะลดลงไปมาก แต่ยังรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของมันได้อย่างชัดเจน”
พอกล่าวจบ ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวก็มองไปด้านล่างของแท่นบูชาทันที
เกือบจะในเวลาเดียวกัน พื้นบริเวณแท่นบูชาที่ดูเหมือนจะหนาแน่นเป็นอย่างมาก ก็ดูอ่อนร่วนราวกับดินทราย และภายใต้เสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันมีเสียงดัง “ตู๊ม!”
ใจกลางของแท่นบูชาทรุดลงจนกลายเป็นหลุมขนาดลึก แต่แท่นบูชายังคงตั้งอยู่เหมือนเดิมอย่างมั่นคง
ทาสเหมืองแร่สองสามคนที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขารีบขยับตัวถอยออกไป
แต่ขณะนั้นเอง กลับมีเสียงดัง “ซิ๊วๆ!”
แสงสีดำเปล่งประกาย!
ไหมดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา และเจาะทะลุร่างของทาสเหมืองแร่เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
มีเสียงอย่างน่าเวทนาดังออกมาในทันที ทาสเหมืองแร่เหล่านั้นล้มหกคะเมนลงไปกับพื้น
…………………………………