ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 435 เกาะมัจฉาเขียว
“แผ่นดินจงเทียน?!”
หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง!
พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างไกล ต่อให้อยู่ในเขตทะเลชังไห่อันไกลโพ้น ก็ย่อมเคยได้ยินชื่อของแผ่นดินจงเทียน!
แผ่นดินจงเทียนถึงนับว่าเป็นดินแดนเจริญรุ่งเรืองของผู้ฝึกฝนที่แท้จริง แผ่นดินกว้างใหญ่มาก นิกายน้อยใหญ่มีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นแหล่งกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
และในใจหลิ่วหมิงก็ใฝ่หาแผ่นดินจงเทียนมานานแล้ว ปรมาจารย์ลิ่วยินผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจ ก็มาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียน ต่อมาถึงซัดเซพเนจรมาถึงเกาะอวิ๋นชวน และก่อตั้งนิกายปีศาจขึ้น
และเคล็ดวิชากระดูกดำกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาฝึกฝน ต่างก็มาจากแผ่นดินจงเทียน
ทั้งสองได้ยินชื่อเสียงของแผ่นดินจงเทียนมานาน และในใจก็อยากไปดูบางสิ่งบางอย่างที่แผ่นดินจงเทียนสักครั้ง แต่ขณะนี้กลับมาปรากฏตัวบริเวณชายฝั่งทะเลของแผ่นดินจงเทียนอย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา!
“หากท่านทั้งสองผ่านรอยแยกมิติมาถึงสถานที่แห่งนี้จริงๆ และอยากกลับไปล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย” พอเหวยอวิ๋นมองดูสีหน้าของทั้งสองแล้ว ก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้
ซินหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ครั้งนี้เขากลับไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
“นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร พรรคฉางเฟิงของพวกเราก็นับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ เดิมทีก่อตั้งขึ้นมาจากบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระ ไม่ได้รังเกียจผู้ฝึกฝนที่มาจากภายนอกอยู่แล้ว” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“อ้อ! ในเมื่อพรรคของท่านสามารถปิดผนึกทั้งเกาะได้ ดูท่าคงมีอิทธิพลไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้คือ……” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา หลังจากค่อยๆ กวาดสายตามองผู้ฝึกปราณเหล่านั้นแล้ว ก็ถือโอกาสถามอย่างไม่ใส่ใจ
“คนเหล่านี้เป็นคนสองกลุ่มที่พึ่งพาอิทธิพลของพรรคฉางเฟิงเท่านั้น ที่พวกเขากำลังต่อสู้กันในวันนี้ ก็เพื่อชี้ขาดสิทธิ์ในการขุดสายแร่หินจิตวิญญาณเท่านั้น และข้าก็เป็นคนตรวจตราเรื่องนี้พอดี แต่กลับมารบกวนสหายทั้งสองเข้า” เหวยอวิ๋นมองตามสายตาหลิ่วหมิงไป และตอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็โบกมือไปยังคนทั้งสองกลุ่ม
พอชายฉกรรจ์ชุดแดงกับหญิงที่เป็นหัวหน้าเห็นเช่นนี้ ก็รีบวิ่งเข้ามาคารวะเหวยอวิ๋นอย่างนอบน้อม
“ผู้อาวุโสเหวย!”
“ฮึ! พวกเจ้าทั้งสองต่อสู้กัน แต่กลับไม่ควบคุมคนของตนเองให้ดีๆ จนกระทบกระทั่งโดนแขกทั้งสอง ยังไม่รีบมาขอโทษอีก!” เหวยอวิ๋นเอามือไขว้หลังแล้วทำเสียงฮึดฮัดออกมา
ทั้งสองหน้าเปลี่ยนสีทันที ทันใดนั้นก็รีบโค้งตัวไปทางหลิ่วหมิงกับซินหยวนด้วยความประหม่า และพูดขอโทษออกมา
“เฮ่อๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สหายไม่ต้องโทษพวกเขาหรอก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ ซินหยวนที่อยู่ด้านข้างกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา
“ช่างเถอะ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำผิดเป็นครั้งแรก ข้าจะละเว้นให้ แต่นับแต่เดือนนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องชำระแร่จิตวิญญาณต่อเดือนมากขึ้นกว่าเดิมหนึ่งส่วน เพื่อเป็นการลงโทษ ส่วนเรื่องการต่อสู้เพื่อชี้ขาดสิทธิ์ในการขุดสายแร่นั้นเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้พาคนของพวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ!” นักพรตชุดเขียวโบกมือ และสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
พอชายฉกรรจ์ชุดแดงกับหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าขมขื่นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด ได้แต่พยักหน้าตอบรับแล้วถอยออกไป ประจักษ์ชัดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เมื่อไล่คนสองกลุ่มนี้ไปแล้ว ใบหน้าดุร้ายของเหวยอวิ๋นก็หายไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็หันมาพูดคุยกับหลิ่วหมิงและซินหยวน ส่วนทางหลิ่วหมิงกับซินหยวนก็สอบถามสถานการณ์ในเขตทะเลหนานไห่แห่งนี้
“……สรุปแล้ว มีกลุ่มอิทธิพลผสมผเสกันบนเกาะต่างๆ ในทะเลหนานไห่ หากไม่บากหน้าไปพึ่งอาศัยหนึ่งในนั้น ก็มีชีวิตรอดได้ยาก ข้าเห็นสหายทั้งสองมีระดับการฝึกฝนไม่ธรรมดา ในเมื่อมาถึงเกาะในทะเลหนานไห่เป็นครั้งแรก ไม่สู้มาเป็นแขกของพรรคเราก่อนดีไหม พรรคของเรามีชาจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ดารามืด’ มันบำรุงชีพจรได้อย่างดีเยี่ยม จะได้ให้สหายทั้งสองลองชิมดูสักครา” เหวยอวิ๋นสนทนากับทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวออกมาเช่นนี้
“พี่หลิ่ว ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?” ซินหยวนมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วส่งเสียงมาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“พวกเรามาที่นี่เป็นครั้งแรก ควรจะระวังให้มาก ดูจากการพูดการจาของคนผู้นี้แล้ว คงไม่มีความคิดชั่วร้ายแต่อย่างใด คาดว่าคงแค่อยากดึงพวกเราเข้าพวกเท่านั้น ไปดูสถานการณ์หน่อยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพราะหากพวกเราอยากยืนมั่นในสถานที่แห่งนี้ ก็จำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่มอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งเสียงกลับไป
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองก็ไม่เกรงใจแล้ว” ซินหยวนฟังจบก็ตาเป็นประกายทันที เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวกับเหวยอวิ๋น
“ที่ไหนกัน สหายทั้งสองยอมมาที่พรรคของเรา ก็นับว่าเป็นความโชคดีของพรรคแล้ว” เหวยอวิ๋นได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ
พอกล่าวจบเขาก็โบกมือ จากนั้นวงแหวนขนาดชุ่นกว่าๆ ที่เปล่งแสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก็ถูกเขาคว้าเอาไว้ในมือ และปล่อยพลังเข้าไปในนั้น
แสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ในวงแหวนครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงดังกังวานออกมา
เมื่อแสงสีเขียวม้วนตัวออกจากในนั้น มันก็กลายเป็นวิหคจิตวิญญาณสีเขียวที่มีขนาดหลายจั้ง ลำคอเรียวยาว ซึ่งมันก็คือนกกระเรียนสีเขียวตัวหนึ่ง
พอทั้งสามขึ้นไปบนหลังวิหคจิตวิญญาณแล้ว นักพรตชุดเขียวก็ตะคอกออกมา ภายใต้การกระพือปีกทั้งคู่ของนกกระเรียนเขียว ทำให้เกิดพายุบ้าระห่ำพุ่งขึ้นด้านบน และกลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวก่อนบินออกไปจากเกาะ
บนหลังของวิหคจิตวิญญาณ เหวยอวิ๋นก็สอบถามที่มาของทั้งสอง และเรื่องราวเกี่ยวกับเขตทะเลชังไห่อีกรอบ แต่หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับตอบแบบคลุมเครือ
ชายชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีก และเริ่มแนะนำสถานการณ์ของพรรคฉางเฟิงให้ฟัง
“พรรคของเรามีประวัติมาร้อยกว่าปี นอกจากในพรรคจะมีประมุขพรรคระดับผลึกขั้นต้นกับรองประมุขพรรคระดับของเหลวขั้นปลายสองคนแล้ว ยังมีผู้ดูแลพรรคกับแขกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดราวๆ สามสิบสี่สิบคน ซึ่งล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น ส่วนที่เหลือก็เป็นกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่มาพึ่งพาอาศัย นับว่าพรรคของเราก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในหมู่เกาะเหล่านี้”
“คิดไม่ถึงว่าพรรคของท่านจะมีผู้อาวุโสระดับผลึกด้วย ดูท่าในพรรคคงจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มากความสามารถ!” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนกำลังของพรรคฉางเฟิงจะแตกต่างกับนิกายปีศาจไม่มาก
“ที่ไหนกัน! ที่ไหนกัน! พี่หลิ่วชมเกินไปแล้ว แต่กลุ่มอิทธิพลในเขตทะเลหนานไห่นี้ พรรคฉางเฟิงเราเป็นกลุ่มที่มีผู้ฝึกฝนอิสระมากที่สุด ไม่เหมือนกับพรรคอื่นๆ ที่มีข้อบัญญัติจำนวนมากคอยควบคุมคนในพรรค อีกอย่างผลประโยชน์ของพรรคเราก็มีไม่น้อย เพียงแค่กลายเป็นแขกอาวุโส ไม่เพียงแต่จะอ่านคัมภีร์ลับในหอเก็บคัมภีร์ของพรรคโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเท่านั้น ทั้งยังก่อตั้งร้านค้าในพรรคได้ และการซื้อทรัพยากรต่างๆ สำหรับการฝึกฝนก็ถูกกว่ามาก นอกจากนี้ในระหว่างผู้ฝึกฝนระดับของเหลวด้วยกัน ก็มีการกำหนดเวลาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝนด้วย และประมุขพรรคก็จะออกมาชี้แนะพวกข้าบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว ดังนั้นพรรคเราถึงมีคนเข้าร่วมจำนวนมากเช่นนี้”
นักพรตชุดเขียวกล่าวมาถึงจุดนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยสีหน้านอบน้อม
“ด้วยระดับการฝึกฝนของท่านทั้งสอง หากยอมเข้าร่วมพรรคของเราล่ะก็ จะต้องเป็นแขกระดับสูง และได้รับการปฏิบัติอย่างดีแน่นอน ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองจะยอมเข้าร่วมหรือไม่?”
“น้ำใจของสหายเหวยข้าน้อยรับไว้แล้ว แต่ข้าน้อยรักอิสระมาโดยตลอด เกรงว่าคงไม่อาจอยู่ในการควบคุมดูได้” หลิ่วหมิงหาวก่อนกล่าวออกมา
ซินหยวนส่งเสียงหัวเราะทีหนึ่ง แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา
เหวยอวิ๋นเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาแนะนำสถานการณ์ในเขตทะเลหนานไห่ให้กับทั้งสอง
ต่อมาหลิ่วหมิงกับซินหยวนก็รู้ว่า แท้จริงแล้วทะเลหนานไห่นี้ ถูกปกครองโดยสิบนิกายใหญ่
นิกายใหญ่ทั้งสิบมีประวัติมายาวนาน และแต่ละนิกายยังมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คอยดูแลอยู่ นอกจากนี้เขตทะเลหนานไห่ยังอยู่ห่างจากแผ่นดินจงเทียนไม่มาก ซึ่งต่างก็มีความสัมพันธ์อันลึกล้ำกับนิกายใหญ่จำนวนหนึ่งในแผ่นดินจงเทียนที่มีอายุหมื่นปี
ภายใต้สิบนิกายขนาดใหญ่ ยังมีนิกายที่มีอิทธิพลระดับกลางและเล็กสังกัดอยู่ไม่น้อย และพรรคฉางเฟิงก็สังกัดอารามจื่อเซียวที่เป็นหนึ่งในสิบนิกายใหญ่!
อารามจื่อเซียวเป็นนิกายเต๋าที่มีชื่อเสียงในวิชาเกี่ยวกับยันต์ในเขตทะเลหนานไห่ ยันต์ที่สร้างขึ้นมาต่างก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก จนกระทั่งนิกายในแผ่นดินจงเทียนไม่ยอมให้คนภายนอกเข้ามาซื้อ
และกลุ่มอิทธิพลขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างพรรคฉางเฟิง จะต้องจ่ายข้อเสนอให้นิกายที่สังกัดทุกปี และนิกายใหญ่ทั้งสิบก็จะช่วยให้กลุ่มอิทธิพลขนาดกลางและขนาดเล็กเหล่านี้ ไม่ถูกยึดและคุกคามจากนิกายใหญ่อื่นๆ!
ที่คุ้มค่าแก่การพูดถึงก็คือ เมื่อเทียบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนของทะเลหนานไห่และแผ่นดินจงเทียนกับเขตแดนอื่นๆ แล้ว นับว่าธรรมดามาก แต่ที่นี่มีหินแร่ธาตุน้ำ และโอสถจิตวิญญาณล้ำค่าที่สถานที่อื่นๆ ไม่มี
หลังจากที่นักพรตชุดเขียวค่อยๆ เล่าออกมา หลิ่วหมิงและซินหยวนก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในเขตทะเลหนานไห่อย่างคร่าวๆ
จะว่าไปแล้วเหวยอวิ๋นผู้นี้ค่อนข้างจะจริงใจมาก คำพูดคำจาก็น่าสนใจ ทั้งสามเดินทางไปพลาง และพูดคุยสัพเพเหระไปพลาง โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หลังจากวิหคยักษ์บินผ่านเกาะจำนวนหนึ่งไปครึ่งวันแล้ว พวกเขาก็มาถึงเหนือเกาะที่มีขนาดพื้นที่รอบๆ ประมาณร้อยกว่าลี้
“สหายทั้งสอง ด้านล่างก็คือเกาะมัจฉาเขียวที่เป็นที่ตั้งของพรรคเรา” เหวยอวิ๋นชี้ลงไปด้านล่างแล้วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
หลิ่วหมิงและซินหยวนมองตามทิศทางที่เขาชี้
เกาะแห่งนี้ดูเขียวชอุ่มเป็นอย่างมาก มันทอดตัวเป็นแนวยาว ปลายด้านหนึ่งกว้างด้านหนึ่งแคบ มองออกไปไกลๆ ดูคล้ายกับมัจฉาตัวหนึ่ง
…………………………………