ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 436 พรรคฉางเฟิง
ที่ค่อนข้างพิเศษก็คือ ใจกลางเกาะมีช่องแคบทะเลที่แยก ‘หัวเกาะ’ กับ ‘หางเกาะ’ ออกเป็นสองส่วน
เหวยอวิ๋นกระตุ้นวิหคจิตวิญญาณให้บินไปพลาง และเอ่ยปากแนะนำไปพลาง
“เกาะมัจฉาเขียวแยกเป็นเกาะตะวันออกกับเกาะตะวันตกโดยใช้ช่องแคบทะเลเป็นเส้นแบ่ง เกาะตะวันออกคือตรงส่วนหัวของมัจฉา ซึ่งก็คือที่ทำการของพรรคฉางเฟิงเรา ว่ากันว่าข้างใต้ลึกๆ มีชีพจรจิตวิญญาณอยู่สายหนึ่ง ศิษย์กับแขกส่วนใหญ่ของพรรคฉางเฟิงจะอาศัยอยู่ที่นี่ และเกาะทางด้านตะวันตกค่อนข้างยุ่งเหยิง ผู้ฝึกฝนอิสระส่วนใหญ่จะรวมตัวกันตรงนั้น”
ในขณะที่ฟังเหวยอวิ๋นเล่านั้น พวกเขาทั้งสองก็ค้นพบว่า สิ่งก่อสร้างบนเกาะล้วนสร้างมาจากหินสีดำ แต่ที่ค่อนข้างแปลกเป็นพิเศษก็คือมันเป็นทรงโดม
ขณะนี้เข้าใกล้ยามตะวันรอนแล้ว ภายใต้แสงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เปล่งแสงทรงกรดออกมาจางๆ แลดูคล้ายกับเกล็ดของมัจฉา และดูเป็นทิวทัศน์ที่งดงามอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่นานวิหคจิตวิญญาณก็ค่อยๆ พาทั้งสามร่อนลงไปยังสิ่งก่อสร้างที่สร้างติดภูเขาทางด้านตะวันออก
“สหายทั้งสอง เชิญ!”
หลังจากหลิ่วหมิงกับซินหยวนลงจากหลังกระเรียนเขียวแล้ว เหวยอวิ๋นเองก็กระโดดตามมาอย่างรวดเร็ว และโยนวงแหวนออกไปเก็บวิหคจิตวิญญาณ
จากนั้นก็พาทั้งสองเข้าไปในสิ่งก่อสร้างด้วยรอยยิ้ม
พอทอดสายตามองออกไป จะค้นพบว่าที่ทำการของพรรคฉางเฟิงค่อนข้างใหญ่โตรโหฐานมาก โดยสร้างขึ้นจากหินสีดำขนาดใหญ่เป็นชั้นๆ ซึ่งสูงหลายสิบจั้ง
บริเวณรอบด้านมีสิ่งก่อสร้างขนาดสูงต่ำตั้งอยู่จำนวนมาก มีคนเข้าออกตลอดเวลา แลดูคึกคักยิ่งนัก และดูคล้ายกับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
และด้านนอกที่ทำการพรรค มีกำแพงที่ก่อสร้างมาจากอิฐสีดำขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีชายหนุ่มสวมชุดทะมัดทะแมงสีเขียวยืนอยู่ตรงประตู
ภายใต้การนำของเหวยอวิ๋น หลิ่วหมิงกับซินหยวนจึงเข้าเมืองโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ หลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงลานหน้าห้องมุขงดงามแห่งหนึ่ง
หน้าลานมีหินสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นมีอักขระสีทองจางๆ สลักไว้ว่า ‘ลานฉางเฟิง’
“ที่นี่เป็นสถานที่รับแขกของพรรคเรา สหายทั้งสองพักผ่อนกันก่อน ลองชิมชาจิตวิญญาณของพรรคเราดู”
เหวยอวิ๋นพาทั้งสองมายังศาลาหินที่ตกแต่งอย่างหรูหรา และทำการปรบมืออยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นานหญิงรับใช้ใบหน้างดงาม ก็นำชาที่มีกลิ่นหอมกรุ่นมาหนึ่งกา จากนั้นชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ก็กำชับเบาๆ ไปสองสามประโยค ก่อนที่จะบอกให้นางออกไป
หลิ่วหมิงกับซินหยวนจิบชาไปพลาง พูดคุยเกี่ยวกับประเพณีพิเศษบนเกาะมัจฉาเขียวกับเหวยอวิ๋นไปพลาง
ในขณะที่ฉิบชา หลิ่วหมิงก็ฟังเหวยอวิ๋นเล่าเรื่องราวแปลกมหัศจรรย์ในเขตทะเลหนานไห่ไปด้วย ด้วยคำพูดที่คมคายเฉียบแหลมของเขา ทำให้หลิ่วหมิงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแล้วชาจิตวิญญาณที่ชื่อว่า ‘ดารามืด’ นี้ ไม่เพียงแค่มีกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นพิเศษ แต่ในขณะที่เปิดฝาถ้วยจะเห็นว่าน้ำชาเป็นสีดำทั้งหมด ใบชาที่อยู่ในนั้นก็ดูคล้ายกับดวงดาวเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำชาสีดำ ทำให้รู้สึกราวกับกำลังมองภาพราตรีอันมีเสน่ห์ในถ้วยชา”
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป
“ฮ่าๆ คุณชายเหวย ได้ยินมาว่าท่านเชิญสหายที่มีระดับการฝึกฝนไม่ธรรมดามาสองคน ตอนนี้ท่านประมุขไม่อยู่บนเกาะ ข้าเลยมาดูสักหน่อย” เสียงหัวเราะอย่างเปิดเผยดังมาจากนอกลาน พอเงาร่างสีเหลืองเปล่งประกายตรงประตู ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“รองประมุขฟ่าน” เหวยอวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนทันที
หลิ่วหมิงก็รีบสังเกตคนผู้นี้เช่นกัน เขาค้นพบว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้ สวมชุดคลุมสีเหลือง รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ โครงหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดูจากใบหน้าแล้วเหมือนจะอายุน้อยกว่าเหวยอวิ๋นสองสามปี
ฟังจากการเรียกขานของเหวยอวิ๋นแล้ว คนผู้นี้ก็คือรองประมุขพรรคฉางเฟิงที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายนั่นเอง
และพอชายฉกรรจ์เดินมาถึงตรงหน้าคนทั้งสาม ก็มีกลิ่นไอหนักแน่นราวกับภูเขาแผ่ออกมา ราวกับผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับเป็นภูเขาที่สูงตระหง่าน ดูก็รู้ว่าเขาสำเร็จวิชาเฉพาะบางอย่าง ถึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเช่นนี้
“ท่านรองประมุขพรรค สหายสองท่านนี้คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน” เหวยอวิ๋นแนะนำด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เป็นเกียรติยิ่งนัก เป็นเกียรติยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงทั้งสองลุกขึ้นมาอย่างไม่รอรี ขณะเดียวกันก็คุมมือคารวะ และกล่าวออกมา
“ฮ่าๆ! สหายทั้งสองไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้าฟ่านเจิ้ง เป็นรองประมุขพรรคฉางเฟิง” ชายฉกรรจ์ชุดเหลืองหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นทั้งสี่ก็นั่งลง และไม่นานก็มีคนมารินชาให้
พวกเขาบอกชื่อแซ่เป็นพิธีรีตองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเหวยอวิ๋นก็เล่าเรื่องที่พบเจอหลิ่วหมิงทั้งสองไปหนึ่งรอบ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าสหายทั้งสองมาทะเลหนานไห่เป็นครั้งแรกสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมอีก คุณชายเหวยคงได้พูดกับท่านทั้งสองแล้ว พรรคของเราในขณะนี้ กำลังขาดแคลนผู้ที่มีความสามารถ ท่านทั้งสองสนใจมาเป็นแขกของพรรคฉางเฟิงเราหรือไม่?” ฟ่านเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็สบตากับซินหยวนทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ฟ่านเจิ้งกลับโบกมือปัด
“สหายทั้งสองอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้ข้าพูดสักสองสามประโยคแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ที่ข้าต้องการเน้นย้ำมีเพียงแค่สองจุดเท่านั้น จุดแรก ในบรรดาเกาะต่างๆ ของทะเลหนานไห่ พรรคฉางเฟิงเราก็นับว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง ผู้ที่เป็นแขกของพรรคไม่เพียงแต่จะได้รับถ้ำชีพจรจิตวิญญาณของพรรคเราเป็นสถานที่ฝึกฝนเท่านั้น ทุกเดือนยังได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนจำนวนไม่น้อย”
“จุดที่สอง เทียบกับกลุ่มอื่นๆ แล้ว พรรคของเรามีภาระให้กับผู้ที่มาเป็นแขกของพรรคน้อยมาก หากไม่พอใจก็สามารถถอนตัวออกได้ตลอดเวลา ขอเพียงแค่ไม่ไปเข้าร่วมกลุ่มอิทธิพลที่เป็นศัตรูกับพรรคเราเท่านั้น และจะไม่มีผลกระทบใดๆ ตามมาในภายหลัง ตอนนี้ท่านทั้งสองลองดูสักปีก่อนก็ได้ หากไม่ชินล่ะก็ สามารถออกได้ตลอดเวลา และจะไม่มีใครห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย”
พอซินหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าประทับใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยปากถามออกมา
“ข้อเสนอของพรรคท่านดีงามมาก แต่ข้าน้อยอยากขอถามสักประโยค หากพรรคฉางเฟิงทำการต่อสู้กับพรรคอื่นๆ แขกอาวุโสต้องเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
ฟ่านเจิ้งรู้สึกตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“หากพรรคของเราเจอปัญหาที่จำเป็นต้องให้สหายทั้งสองลงมือช่วยล่ะก็ ท่านทั้งสองสามารถพิจารณาเองได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ โดยที่ทางเราจะไม่มีการบีบบังคับแต่อย่างใด แต่หากสหายยอมช่วยล่ะก็ พรรคของเราจะตอบแทนในภายหลังอย่างแน่นอน!”
พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็เผยสีหน้าพอใจออกมาในที่สุด หลังจากที่เขาขยับปากส่งเสียงให้ซินหยวนสองสามประโยคแล้ว ก็พยักหน้าก่อนกล่าวออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองจะรับปากเป็นแขกของพรรคท่านชั่วคราว”
ฟ่านเจิ้งได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เพราะก่อนหน้านั้นเหวยอวิ๋นได้บอกเขาว่า หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง สำหรับพรรคฉางเฟิงแล้ว หากมีผู้ฝึกฝนระดับนี้มาเป็นแขกจิตวิญญาณ อิทธิพลของพรรคก็จะเพิ่มขึ้นมาทันที
สำหรับหลิ่วหมิงและซินหยวนแล้ว พวกเขาเพิ่งมาถึงเขตทะเลหนานไห่ที่ไม่คุ้นเคย สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรีบทำความคุ้นเคยกับสภาพในพื้นที่ และฟื้นฟูพลังเวทให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยวางแผนกันต่อไป
ส่วนสิบนิกายใหญ่ในเขตทะเลหนานไห่ที่พูดถึง คงไม่สามารถเข้าร่วมได้โดยง่ายอย่างแน่นอน ส่วนนิกายขนาดกลางและขนาดเล็กอื่นๆ พวกเขาก็ไม่คุ้นเคยกับผู้คน ดังนั้นย่อมไม่อาจทนรับข้อผู้มัดของนิกายเหล่านี้ได้ และต้องเอาตัวเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยหรือไม่นั้น ก็ไม่อาจรู้ได้
เวลาต่อมา ชายฉกรรจ์ชุดเหลืองก็พูดคุยเรื่องค่าตอบแทนที่เป็นรูปธรรมของแขกในพรรคเล็กน้อย
แขกของพรรคฉางเฟิงมีการแบ่งระดับสูงต่ำ ระดับของเหลวขั้นต้นสามารถเป็นแขกอาวุโสทั่วไป หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง ย่อมเป็นแขกอาวุโสระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ค่าตอบแทนของแขกระดับสูงค่อนข้างมาก ทุกเดือนจะได้รับหินจิตวิญญาณร้อยกว่าหินจิตวิญญาณ หินจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงทั้งสอง ถูกใช้เกือบหมดตั้งแต่อยู่ในถ้ำเหมืองแร่ใต้ทะลึกแล้ว แม้หินจิตวิญญาณเหล่านี้จะไม่มาก แต่สำหรับทั้งสองในตอนนี้แล้ว สามารถใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
นอกจากนี้ พรรคฉางเฟิงยังรับปากยังจะมอบถ้ำที่พักส่วนตัวให้แขกอาวุโสคนละหลัง ซึ่งตั้งอยู่บนชีพจรจิตวิญญาณใต้ดินทางด้านตะวันออกของเกาะมัจฉาเขียว ถ้ำเหล่านี้เกิดจากการขุดเจาะหน้าผาของเทือกเขาจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับที่ทำการของพรรคฉางเฟิง
ว่ากันว่าภายในถ้ำที่พัก นอกจากจะมีห้อง
สำหรับการฝึกฝนที่เงียบสงบแล้ว ยังมีพื้นที่ปลูกสมุนไพรขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ และถ้าถ้ำที่พักยิ่งอยู่ใกล้กับศูนย์กลางชีพจรจิตวิญญาณ ปราณจิตวิญญาณก็จะยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ด้วยสถานะแขกอาวุโสระดับสูงอย่าหลิ่วหมิงกับซินหยวน ถ้ำที่พักจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เลว
หลังจากแนะนำจบแล้ว ฟ่านเจิ้งก็ให้เหวยอวิ๋นพาหลิ่วหมิงทั้งสองไปผ่านพิธีเข้าร่วมพรรค และเลือกถ้ำที่พัก
เหวยอวิ๋นตอบรับด้วยความยินดียิ่ง จากนั้นก็พาทั้งสองกล่าวลาฟ่านเจิ้งก่อนออกไปจากศาลาหิน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็เลือกถ้ำที่พักอยู่ในห้องโถงหลังหนึ่งจนเสร็จ
ด้วยเหตุที่หลิ่วหมิงฝึกฝนวิชาค่อนข้างพิเศษ เขาจึงเลือกถ้ำที่พักที่มีปราณหยินค่อนข้างหนาแน่น
ผู้ดูแลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็อนุญาตด้วยความยินดียิ่ง ราวกับว่าได้รับการกำชับมาจากรองประมุขฟ่านผู้นั้นแล้ว
ที่ทำให้ทั้งสองรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็คือ พรรคฉางเฟิงยังส่งหญิงรับใช้งดงามสองคนมารับใช้พวกเขาด้วย
แน่นอนว่าหญิงรับใช้เหล่านี้ไม่ใช่ผู้ฝึกฝน แต่เป็นแค่ผู้ฝึกปราณธรรมดาเท่านั้น
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาทันที จากนั้นก็รีบเลือกหญิงรับใช้ที่มีรูปร่างอวบสองคน และใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดหญิงรับใช้นางหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวลาหลิ่วหมิ่ง ก่อนที่จะถูกศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งพาไปยังถ้ำที่พักของตน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พาหญิงรับใช้ที่ค่อนข้างงดงามสองคนทะยานออกไปจากที่ทำการพรรคภายใต้การนำของศิษย์จิตวิญญาณอีกคน
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ร่อนลงหน้าถ้ำที่อยู่บริเวณหน้าผาแห่งหนึ่ง และใช้ป้ายชั้นจำกัดเปิดประตูก่อนเดินเข้าไป
ถ้ำทั้งหลังมีขนาดใหญ่ราวๆ สองสามหมู่ ด้านในมีห้องโอสถ ห้องลับ และอื่นๆ อย่างเพียบพร้อม และสถานที่แห่งนี้มีปราณพลังฟ้าดินกับปราณหยินอยู่แน่นหนา เหมาะสมกับการฝึกฝนเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงรู้สึกพึงพอใจมาก หลังจากให้ศิษย์จิตวิญญาณกลับไป และสั่งกำชับหญิงรับใช้ไปสองสามประโยคแล้ว เขาก็เดินตรงเข้าไปในห้องลับ และปิดประตูหินลงทันที
ห้องลับไม่ใหญ่มาก มีขนาดราวๆ เจ็ดแปดจั้งเท่านั้น การตกแต่งก็เรียบง่ายเป็นอย่างมาก นอกจากเบาะกลมๆ สีเหลืองอันหนึ่งกับเตียงไม้สีขาวหนึ่งหลังแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อีก
หลิ่วหมิงพอใจกับการตกแต่งทั้งหมดมาก หลังจากตรวจสอบผนังหินรอบด้านกับลวดลายสีเงินที่ประทับอยู่บนพื้น จนแน่ใจว่าเป็นแค่ชั้นจำกัดป้องกันธรรมดาแล้ว เขาก็รู้สึกวางใจขึ้นมา จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสามสี่อันก็พุ่งออกมาปักตามมุมพื้นทั้งสี่มุม นอกจากนี้มันยังกลายเป็นม่านแสงสีขาวจางๆ ปิดกั้นทุกสิ่งภายในห้องลับจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาถึงดูดซับปรานจิตวิญญาณเข้าไปในร่างเพื่อฟื้นฟูพลังเวท ขณะเดียวกันก็ใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ภายในร่าง
ขณะที่อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับในตอนนั้น หลัวโหวเคยพูดกับเขาว่า แม้ขณะที่กลายร่างเป็นปีศาจนั้น กายเนื้อจะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่พอฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว กลับทิ้งผลกระทบให้กับร่างกายไม่น้อย
ตลอดการเดินทางในครั้งนี้ หลิ่วหมิงไม่มีโอกาสตรวจสอบอย่างละเอียดเลยสักครั้ง
เมื่อจิตรับรู้ของเขากวาดดูภายในร่างอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
ขณะนี้ สถานการณ์ภายในร่างเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก ไม่เพียงแต่ชีพจรตามจุดต่างๆ จะได้รับความเสียหายจากการได้รับพลังไม่ทราบชื่อเกินขีดจำกัดในตอนที่กลายร่างเป็นปีศาจเท่านั้น กล้ามเนื้อและกระดูกก็ได้รับความบอบช้ำไม่น้อย
โชคดีที่ตอนนี้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งมากพอ ทั้งยังฟื้นฟูได้เร็วกว่าคนทั่วไป มิเช่นนั้น ในขณะที่ฟื้นคืนจากร่างปีศาจ กายเนื้อนี้อาจจะพังทลายไปแล้วก็ได้
หลิ่วหมิงยิ้มในใจอย่างขมขื่น หากอยากจะฟื้นฟูบาดแผลจำนวนมากเหล่านี้ เกรงว่าคงไม่อาจทำได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ คงได้แต่ใช้พลังจิตวิญญาณอันอบอุ่นหล่อเลี้ยงเป็นเวลานาน และอาศัยพลังของโอสถถึงจะได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้
ดีที่เขาได้เข้าร่วมพรรคฉางเฟิงแล้ว ขณะนี้เขาอยู่ในสภาวะที่ตอบสนองเงื่อนไขเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คาดว่าคงต้องใช้เวลาสามเดือนถึงจะได้
…………………………………