ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 437 คลื่นใต้น้ำ
ชั้นจำกัดโลหิตภายในร่างที่ถูกชิงฉินวางไว้ในก่อนนั้น ถูกหลานสี่จัดการไปตั้งแต่แรกที่เข้าไปในเหวลึกแล้ว แต่ไอหมอกดำที่เกิดจากโอสถราชาปีศาจสมุทรที่เกาะอยู่ตามอวัยวะภายในนั้นยังคงอยู่ แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ไข่หนอนไม่ทราบชื่อที่หลานสี่แบ่งให้ บวกกับการค้นเอามาจากทาสเหมืองแร่ที่เสียชีวิตในเหวลึก ก็เพียงพอที่จะไม่ได้รับผลกระทบเป็นเวลาครึ่งปี แต่หากจะกำจัดมันอย่างสมบูรณ์ ดูท่าคงต้องรอให้อาการบาดเจ็บภายในฟื้นฟูก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้จิตรับรู้ตรวจดูแมงป่องกระดูกกับหัวบินในถุงหนัง ซึ่งมันทั้งสองยังคงหลับใหลอยู่
ตอนนั้นเขารีบหนีออกจากจุดตัดมิติ จึงไม่ได้ตรวจสอบดูอย่างละเอียด แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ที่ทั้งสองสลบไสลจะต้องเกี่ยวข้องกับหัวปีศาจยักษ์ที่อันตรธานหายไปอย่างแน่นอน
และทั้งสองก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน!
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา เขารู้สึกรอคอยว่าหากแมงป่องกระดูกกับหัวบินฟื้นขึ้นมาแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจอย่างไร
หลิ่วหมิงดึงจิตกลับมา และกระตุ้นพลังเวทอย่างเงียบๆ ครู่ต่อมาไอหมอกสีดำก็แผ่ออกจากร่าง พริบตาเดียวก็แผ่คลุมร่างของเขาไว้
……
เรื่องที่พรรคฉางเฟิงรับแขกอาวุโสระดับของเหลวขั้นกลางเข้าพรรค ถูกเล่าลือบนเกาะมัจฉาเขียวอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่กลุ่มอิทธิพลของมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แม้กระทั่งกลุ่มผู้ดูแลพรรค ก็เริ่มแอบสอบถามข่าวของหลิ่วหมิงกับซินหยวนอย่างเงียบๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอแขกอาวุโสใหม่ทั้งสองเข้าไปในถ้ำที่พักแล้ว ก็รีบเก็บตัวทันที ทำให้ผู้ที่อยากจะทำความรู้จักกับพวกเขาต้องผิดหวังเล็กน้อย
สำหรับเรื่องเหล่านี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ฝึกฝนและฟื้นฟูอยู่ตลอดเวลา
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า การฝึกฝนไม่มีแนวคิดเรื่องของเวลา พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
ช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงเอาแต่เก็บตัวรักษาบาดแผลโดยไม่ได้ออกไปจากถ้ำเลยแม้แต่ก้าวเดียว
หญิงรับใช้ทั้งสองไม่กล้ารบกวนเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่ทำตามที่เขาสั่งโดยปลูกสมุนไพรที่ดูธรรมดาแต่กลับต้องใช้บ่อยเท่านั้น
วันนี้ หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ไอดำพวยพุ่งอยู่บนตัวชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วห้องลับทันที ไม่นานก็รวมตัวกันอีกครั้ง และกลายเป็นมังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำอย่างละตัว ทั้งสองหมุนวนรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง และมีเสียงแผดร้องของมังกรกับพยัคฆ์ดังออกมารำไร
พอเขากระตุ้นจิต มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกก็กลายเป็นไอดำพวยพุ่งทันที จากนั้นก็จมหายไปในกระโหลกศีรษะราวกับปลาวาฬดูดน้ำก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเก็บพลังเวทเข้าไป หลังจากออกแรงที่มือทั้งสอง ก็มีเสียงดังราวกับประทัดดังออกมา ในขณะที่สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลนั้น เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้
มาถึงวันนี้ พลังเวทของเขาฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว และแผลบอบช้ำหลังจากกลายร่างเป็นปีศาจ ก็นับว่าหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ส่วนกลุ่มแสงโลหิตที่เหลืออยู่ในทะเลจิตรับรู้ หลังจากเขาพยายามอย่างหนัก มันก็ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้อีก
ช่วงเวลาที่อยู่ในสายแร่ใต้ทะเลลึก แม้พลังเวทจะไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากทานเนื้ออสูรโฉดเหล่านั้นแล้ว กลับกระตุ้นให้พลังของกายเนื้อก้าวหน้าไปอีกขั้น ตอนนี้หลังจากอาการบาดเจ็บของเขาหายดี เขาก็รู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างจากขั้นที่สองของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬไม่มากแล้ว
และขณะที่เขาฝึกฝนขั้นที่สองของวิชานี้ คงจะเป็นโอกาสอันดีในการทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากสะบัดแขนเสื้อเก็บธงค่ายกลตรงมุมทั้งสี่แล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาและค่อยๆ เดินออกไปจากห้องลับ
พอเดินออกมานอกห้อง หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อค้นพบว่า หญิงสาวชุดเขียวนางหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในห้องโถง โดยเอามือข้างหนึ่งประคองศีรษะไว้
หญิงนางนี้เป็นหนึ่งในหญิงรับใช้ที่พรรคฉางเฟิงมอบให้เขา นางชื่อว่า ‘เหลียนเอ๋อร์’
ปกติหลิ่วหมิงจะปิดประตูฝึกฝน เพียงแค่สั่งให้นางปฏิเสธแขกทุกคนที่มาหา และไม่ยอมให้นางเข้ามาในห้องลับแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยพูดอะไรกับนางเลย
และตอนนี้หญิงรับใช้อีกคนที่ชื่อ ‘หงเอ๋อร์’ กำลังอยู่ที่แปลงสมุนไพร
ในขณะนั้นเอง พลันมีน้ำเสียงคุ้นเคยดังผ่านชั้นจำกัดตรงทางเข้า
“พี่หลิ่ว ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที ข้ามาหาท่านเป็นครั้งที่สามแล้ว”
เหลียนเอ๋อร์ที่กำลังนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา นางมองออกไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม นางจึงรีบลุกขึ้นมาคารวะด้วยใบหูที่แดงก่ำ
หลิ่วหมิงโบกมือบอกเป็นนัยให้นางออกไปรับแขกเข้ามา เหลียนเอ๋อร์คารวะอย่างอ่อนช้อย จากนั้นก็รีบเดินไปยังปากถ้ำทันที
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างสูงใหญ่ที่ค่อนข้างผอม ก็มาปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง คนผู้นี้สวมชุดสีเขียวอ่อน ซึ่งเขาก็คือซินหยวนที่แต่งกายด้วยชุดของแขกอาวุโสพรรคฉางเฟิงนั่นเอง
หลังจากซินหยวนกวาดสายตาสังเกตดูหลิ่วหมิงแล้ว ก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“พี่หลิ่ว ท่านเก็บตัวนานขนาดนี้ หากหญิงรับใช้ของท่านไม่บอกข้า ข้าคงนึกว่าท่านจากไปโดยไม่ลาแล้ว”
หลิ่วหมิวโบกมือให้เหลียนเอ๋อร์ถอยออกไป จากนั้นถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เป็นที่น่าขบขันเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นร่างของข้าบอบช้ำมาไม่น้อย ย่อมต้องใช้เวลาฟื้นฟูค่อนข้างนาน ดูจากสภาพของพี่ซินแล้ว คงหายจากอาการบาดเจ็บนานแล้วสินะ”
“เฮ่อๆ! ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เพียงแค่สูญเสียพลังเวทมากไปหน่อยเท่านั้น ใช้เวลาเดือนกว่าๆ ก็ฟื้นคืนมาแปดเก้าส่วนแล้ว” ซินหยวนกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ครู่ต่อมา ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีอารมณ์ขันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ขณะที่พูดถึงประสบการณ์ในสายแร่ใต้ทะเลลึกนั้น ย่อมรู้สึกหดหู่เล็กน้อย!
ขณะนี้ ในสถานที่แปลกหน้าอย่างทะเลหนานไห่ ก็มีแต่เวลาที่หลิ่วหมิงอยู่กับซินหยวนเท่านั้น ถึงรู้สึกผ่อนคลายและคุ้นเคย
เพราะทั้งสองมาจากเขตทะเลชังไห่ นับว่าเป็นสหายที่ผ่านทุกข์มาด้วยกัน
ผ่านไปสักพัก ซินหยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็เล่าเรื่องอื่นๆ ที่เขาสืบมาได้หลังออกจากการเก็บตัว
ด้วยลักษณะนิสัย และระดับการฝึกฝนของเขา เพียงแค่ใช้วิธีการจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเข้ากับแขกอาวุโสในพรรคฉางเฟิงได้อย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาสองสามเดือนมานี้ เขาสอบถามแขกอาวุโสคนอื่นๆ จนได้ข่าวกรองมาไม่น้อย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าที่เหวยอวิ๋นกับฟ่านเจิ้งเร่งรีบดึงพวกเราเข้าพรรคในวันนั้น ทั้งยังเสนอค่าตอบแทนให้งามถึงเพียงนี้ จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงฟังจบก็เลิกคิ้วกล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ช่วงนี้พวกเขาปะทะกับ ‘พันธมิตรจินอวี้’ ที่เป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในหมู่เกาะอีกแห่งหนึ่ง เพราะแย่งชิงสายแร่หยกหายาก พันธมิตรจินอวี้เป็นหนึ่งในสิบนิกายขนาดใหญ่ ที่อยู่ภายใต้สังกัดของหอเทียนเซียง ผู้นำพันธมิตรของพันธมิตรจินอวี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก อิทธิพลของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าพรรคฉางเฟิงเลย ดังนั้นย่อมไม่หวาดกลัวพรรคฉางเฟิงแม้แต่น้อย”
“และประมุขพรรคฉางเฟิงได้ออกไปข้างนอกเมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงยังไม่กลับมา ด้วยเหตุนี้ จิตใจของผู้คนในพรรคฉางเฟิงจึงว้าวุ่นเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนคาดเดาว่า ประมุขพรรคอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้” ซินหยวนทำเสียงฮึดฮัดแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงถอนหายใจก่อนกล่าว “สุภาษิตว่าไว้ เรื่องราวในโลกไม่แน่นอน เดิมทีเส้นทางการฝึกฝนก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย แม้แต่ระดับแก่นแท้ ก็ใช่ว่าจะทำทุกเรื่องได้ดั่งใจ”
ซินหยวนใจเต้นขึ้นมา เขารู้ว่าหลิ่วหมิงหมายถึงใคร หลังจากคิดๆ ดูแล้วเขาก็กล่าวต่อ
“เพราะเหตุนี้ รองประมุขพรรคฉางเฟิงทั้งสอง ถึงได้พยายามขยายอิทธิพลของพรรคในช่วงสองปีมานี้ ด้านหนึ่งก็ใช้ค่าตอบแทนจำนวนมาก ในการดึงผู้ฝึกฝนอิสระระดับของเหลวมาเป็นแขกอาวุโส อีกด้านหนึ่งก็ขอความช่วยเหลือจากอารามจื่อเซียว เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด”
“แต่หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ผู้ฝึกฝนอิสระที่พวกเขารับมา จะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจพูดได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกว่าพรรคฉางเฟิงเป็นที่พักพิงเลย ส่วนแขกอาวุโสคนอื่นๆ ก็คงไม่มีความคิดที่จะช่วยพรรคฉางเฟิงอย่างสุดกำลังแน่นอน
“รองประมุขพรรคกับผู้ดูแลทั้งหลาย ต่างก็รู้ว่าแขกอย่างพวกเราไม่อาจไว้ใจได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีวิธีการอื่น ถึงได้คิดวิธีการโง่ๆ ขึ้นมา เพราะภายในพรรคขณะนี้ ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกประจำการอยู่ จึงได้แต่พยายามรวบรวมอาจารย์จิตวิญญาณมาค้ำหน้าไว้” ซินหยวนพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“อืม! สำหรับเรื่องนี้ พวกเราก็ได้แต่รับมือไปตามสถานการณ์ และดำเนินการตามโอกาสก็พอ” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ่อๆ! มันแน่นอนอยู่แล้ว! ใช่สิ! ช่วงเวลานี้ข้าเคยสืบข่าวเกี่ยวกับเขตทะเลชังไห่ด้วย” ซินหยวนหัวเราะและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่าทะเลชังไห่ ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“พี่ซินสืบได้เรื่องอะไรมาบ้าง?”
“ไม่มีเลย ข้าเคยถามแขกอาวุโสส่วนมากมาแล้ว และเคยสอบถามรองประมุขพรรคทั้งสองด้วย คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีคนรู้จักเขตทะเลชังไห่เลย” ซินหยวนหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
“แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง ข้าได้ไปที่หอเก็บคัมภีร์ และพยายามตรวจดูคัมภีร์จำนวนหนึ่ง โชคดีที่พบเจอบันทึกจำนวนหนึ่งเข้า” ซินหยวนหยิบคัมภีร์เก่าๆ ออกมา และเปิดไปยังหน้าบางแห่งก่อนยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับคัมภีร์มาอ่านอย่างละเอียด
จากบันทึกในนั้น ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกโดยผู้อาวุโสระดับผลึกท่านหนึ่งเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้อาวุโสผู้นี้ก็เหมือนกับหลิ่วหมิงทั้งสอง ที่ผ่านรอยแยกมิติมายังสถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ทว่าพอหลิ่วหมิงยิ่งอ่าน สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมลง
ตามที่ผู้อาวุโสท่านนี้บอก เขตทะเลชังไห่ห่างจากสถานที่แห่งนี้มาก หากอยากกลับไปล่ะก็ จำเป็นต้องข้ามเขตทะเลขนาดใหญ่สิบกว่าแห่ง เขตทะเลเหล่านี้ไม่ได้เล็กไปกว่าเขตทะเลชังไห่เลย ในนั้นยังมีเขตที่เผ่าต่างๆ ควบคุมอยู่ด้วย
หากคิดจะเดินทางจากเขตทะเลหนานไห่ไปยังเขตทะเลชังไห่ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น และสุดท้ายผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นั้น ก็ได้แต่ละความคิดนี้ไป หลังจากอยู่ทะเลหนานไห่มาหลายร้อยปี ก็ละสังขารบนเกาะบางแห่งในเขตทะเลหนานไห่
หลิ่วหมิงปิดคัมภีร์ลง และไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
ซินหยวนเล่าเรื่องที่พบเห็นในช่วงเวลานี้ให้หลิ่วหมิงฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลากลับไปยังที่พักของตนเอง
หลิ่วหมิงส่งซินหยวนเสร็จ ก็กลับเข้ามาในห้องลับด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
หลังจากเขานั่งคิดไตร่ตรองอยู่บนเบาะเป็นเวลานานแล้ว ถึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
ความรู้สึกดีใจที่ฟื้นคืนพลังกลับมาได้ ขณะนี้ได้มลายไปจนหมดสิ้น
แม้จะบอกว่าพอมีเบาะแสเรื่องการกลับไปเขตทะเลชังไห่อยู่บ้าง แต่สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้ เทียบเท่ากับว่าไม่มีเลย
หากมีพลังไม่พอ แต่เสี่ยงอันตรายเดินทางกลับ ย่อมตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาระเร่งด่วนของเขาในตอนนี้ก็คือ ต้องยกระดับการฝึกฝนกับพลังถึงจะได้!
เรื่องกลับทะเลชังไห่ยังไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรื่องการยับยั้งการกลายร่างเป็นปีศาจที่หลัวโหวเคยบอก ล้วนจำเป็นต้องยกระดับการฝึกฝนในตอนนี้ถึงจะได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขตทะเลหนานไห่ที่เขาอยู่ในขณะนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสงบมากนัก หากไม่มีพลังในการป้องกันตนเองล่ะก็ เกรงว่าคงไม่อาจทนรับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลึกลับในครั้งหน้าได้
พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ก็ตัดสินใจได้ในทันที เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง หยิบโล่สีดำออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน
ภาพหัวกระโหลกทั้งเก้าที่ปรากฏอยู่บนนั้นดูคล้ายกับมีชีวิต แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก!
…………………………………