ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 438 ฑูตจื่อเซียว
สิ่งที่อยู่ในมือหลิ่วหมิงก็คือโล่เก้ากระโหลกที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้น!
จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามืออีกข้างขึ้นมา เผยให้เห็นจุดแสงสีทองที่เปล่งประกายอยู่บนมือ ซึ่งมันก็คือทรายทองคำร่วง อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ได้มาจากเหยียนเจวียในวันนั้น
ตั้งแต่เขาได้อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั้งสองชิ้นมา ก็ไม่เคยทำการปรับแต่งใดๆ เลย และกระบี่จิตวิญญาณกับเกราะหนังมังกรแดงก็หายไปแล้ว เขาจึงนำมันทั้งสองออกมาใช้แทน
……
สามวันต่อมา
ค่ายกลซับซ้อนที่มีความยาวรอบวงยี่สิบจั้งประทับอยู่บนพื้นว่างเปล่าใจกลางห้องลับที่อยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงปล่อยพลังใส่ค่ายกลอยู่ไม่หยุด ทำมีให้แสงสีเทาเปล่งประกายออกมาชั่วขณะหนึ่ง
ใจกลางค่ายกล มีโล่เก้ากะโหลกลอยอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวกัน อักขระสีดำพร่ามัวก็ปรากฏออกมาจำนวนมาก มันเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน จนก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระเลือนลาง ซึ่งมีมากกว่าสามสิบห้าชั้น
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา มือทั้งสองหยุดลงทันที ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกโลหิตลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็ชี้มือข้างหนึ่งไปบนอากาศ
หมอกโลหิตหมุนติ้วๆ และค่อยๆ จมหายไปในโล่เก้ากระดูก
ครู่ต่อมา โล่เก้ากระดูกค่อยๆ สั่นสะเทือน และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา ชั้นจำกัดนอกสุดของค่ายกลอักขระเริ่มชัดเจนขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เคลื่อนไหวนิ้วทั้งสิบอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ และปล่อยวิชาออกมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มร่ายคาถา และมีเสียงต่ำๆ เล็ดลอดออกมา
วิธีการปรับแต่งในครั้งนี้ เขาใช้วิธีการที่เรียนมาจาก ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ เล่มนั้น ซึ่งเหยียนเจวี๋ยสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อโล่เก้ากระโหลกโดยเฉพาะ เพียงแค่ไม่ถูกรบกวนในระหว่างการปรับแต่ง ทุกอย่างก็จะราบรื่นไปด้วยดี
ด้วยเหตุนี้ พอเขาเริ่มทำการปรับแต่งได้ไม่นาน ชั้นจำกัดแรกก็ค่อยๆ คลายออกมา
ประกายแห่งความดีใจปรากฏขึ้นในแววตาของหลิ่วหมิง ทันใดนั้น เขาก็เริ่มกระตุ้นพลังเวททันที มือทั้งสองก็เปลี่ยนท่ามืออย่างต่อเนื่อง
ครึ่งเดือนผ่านไป
กลางอากาศในห้องลับ
ในขณะที่แสงสีทองม้วนตัว จะเห็นว่าทรายสีทองกำลังแผ่คลุมไปทั่ว และยังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงแผดร้อง
และด้านล่างของทรายทองคำ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้ามุ่งมั่น มือทั้งสองกำลังทำท่ามือ และมีเสียงร่ายคาถาดังออกมาจากปาก
“เกาะตัว!”
พอเขาตะคอกเสียงต่ำออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย วิชาในมือก็ถูกปล่อยไปยังทรายทองคำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แสงสีทองเปล่งประกายกลางอากาศทันที มันเกาะตัวกันจนกลายเป็นหอกยาวสีทองที่ยาวหลายจั้ง จากนั้นก็ทะลวงไปมากลางอากาศพร้อมกับส่งเสียงแหลมดังออกมา และทิ้งเงาสีทองเจิดจ้าไว้เส้นหนึ่ง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็วราวกับล้อรถหมุน ทรายทองคำกลางอากาศเปล่งประกายสีทอง ประเดี๋ยวกลายเป็นกำปั้นยักษ์สีทองอร่าม ประเดี๋ยวก็กลายเป็นค้อนยักษ์สีทองอันทรงพลัง แลดูอัศจรรย์ยิ่งนัก
“เก็บ!”
หลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำออกมาอีกครั้ง และหยุดทำท่ามือทันที พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป ทรายที่แผ่คลุมอยู่เต็มอากาศ ก็กลายเป็นก้อนกรวดสีทองที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองจำนวนสิบเอ็ดก้อน หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ตกลงบนฝ่ามือของเขา
หลิ่วหมิงมองดูทรายทองคำร่วงบนฝ่ามือด้วยความดีใจ
พอเขากระตุ้นพลังจิต ไอดำก็พวยพุ่งออกจากแขนเสื้อ และกลายเป็นระลอกคลื่นสีดำหมุนวนอยู่กลางอากาศ และมีเสียงดังหวึ่งๆ มาจากใจกลางระลอกคลื่น
สิ่งนั้นก็คือโล่เก้ากะโหลกที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดนั่นเอง!
“ดี! ในที่สุดก็ปรับแต่งงอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว เหยียนเจวี๋ยผู้นี้สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธจริงๆ วิธีการปรับแต่งที่เขาทิ้งไว้ ก็ใช้ได้ดีเลยทีเดียว! ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน” หลิ่วหมิงจ้องมองโล่เก้ากระโหลกกลางอากาศ และพูดพึมพำออกมา
พอเขาโบกมือ แผ่นโล่ก็กลับมาหาอีกครั้ง หลังจากมองดูเล็กน้อยแล้ว เขาก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน
การหายไปของกระบี่จิตวิญญาณกับเกราะหนังมังกรแดงในก่อนหน้านั้น ทำให้พลังของเขาลดลงไปมาก
และในวันนี้ หลังจากปรับแต่งอาวุธทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว มันไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสิ่งที่ขาดหายไปในก่อนหน้านั้น ไม่ว่าคุณภาพหรือพลังของมันล้วนเหนือกว่ามาก สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง นับว่าโล่งใจไปเปราะหนึ่งแล้ว
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียใจก็คือ โล่เก้ากะโหลกไม่ใช่อาวุธประเภทกระบี่ มิเช่นนั้น หากอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดนี้ประสานกับวิชาขี่ของเขาล่ะก็ อานุภาพของมันคงจากที่จะคาดเดาได้
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเก็บค่ายกลแล้ว เขาก็ค่อยๆ เดินออกไปจากห้องลับ
แต่พอเดินออกจากประตู กลับค้นพบว่าหญิงรับใช้ที่ชื่อเหลียนเอ๋อร์ กำลังยืนรออยู่ด้วยสีหน้าร้อนใจ พอนางเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบก้าวเข้าไปคารวะด้วยความดีใจ
“ผู้อาวุโสหลิว ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว”
“มีเรื่องอันใด?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ
“วันนี้รองประมุขฟ่านส่งคนมาบอกว่า ฑูตจากอารามจื่อเซียวใกล้จะมาถึงเกาะมัจฉาเขียวแล้ว รองประมุขทั้งสองเรียกแขกระดับของเหลวทุกท่านที่อยู่บนเกาะไปต้อนรับด้วย” เหลียนเอ๋อร์กล่าว
“เอาล่ะ! ข้ารู้แล้ว!” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘อารามจื่อเซียว’ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา และตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิด
ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกไปจากถ้ำที่พักนั้น ก็พบว่ามีศิษย์ทั่วไปของพรรคฉางเฟิงรออยู่หน้าประตูแล้ว พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา ก็รีบเข้าไปคารวะแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“ผู้อาวุโสหลิ่ว รองประมุขรออยู่ในห้องโถงใหญ่ของที่ทำการพรรคแล้ว ข้าน้อยจะนำทางท่านไปเดี๋ยวนี้”
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด จากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็เหาะนำเขาไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นที่ทำการพรรค
ผ่านไปไม่นาน ก็มาปรากฏตัวในห้องโถงที่ดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
ห้องโถงดูกว้างขวางมาก กว้างราวๆ ร้อยกว่าจั้ง ไม่ว่าผนังรอบด้านหรือพื้นด้านล่างล้วนก่อขึ้นมาจากหินสีดำขนาดใหญ่ และมีมุกราตรีขนาดเท่าลูกกำปั้นเลี่ยมฝังอยู่เป็นจำนวนมาก มันส่องแสงจนห้องโถงสว่างขึ้นมา
ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะเก้าอี้สีเขียวหยกจัดวางอยู่สองแถว ขณะนี้มีแขกระดับสูงนั่งอยู่ในนั้นเจ็ดแปดคน บ้างก็พูดคุยกันเบาๆ บ้างก็หลับตาพักผ่อน และซินหยวนก็อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งดูเหมือนกำลังพูดคุยกันคนที่อยู่ด้านข้างอย่างออกรส
ตรงปลายของเก้าอี้ทั้งสองแถว มีชายฉกรรจ์ชุดเขียวนั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นหลิ่วหมิงเคยเห็นมาแล้ว ซึ่งก็คือรองประมุขฟ่านเจิ้งนั่นเอง ส่วนอีกคนก็เป็นชายฉกรรจ์ที่มีใบหน้าเหมือนสีพุทธา จมูกโด่ง ค่อนข้างดูมีสง่าและน่าเกรงขามมาก คงจะเป็นรองประมุขอีกคนที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน
พอหลิ่วหมิงก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถง ก็ทำให้แขกจำนวนหนึ่งมองมาที่เขา
“ท่านนี้คือแขกอาวุโสหลิ่วสินะ ข้าชวีหลิง หลายวันก่อนได้เก็บตัวฝึกฝน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่าน” พอชายฉกรรจ์หน้าแดงเห็นหลิ่วหมิง ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เป็นประกาย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาประสานมือคารวะหลิ่วหมิง และบอกชื่อตนเองด้วยเสียงที่ดังก้องราวกับเสียงระฆัง
“สหายชวีเกรงใจเกินไปแล้ว ควรเป็นข้าที่ไปเยี่ยมเยียนท่านมากกว่า” หลิ่วหมิงรีบประสานมือคารวะกลับอย่างเกรงใจ หลังจากกล่าวทักทายปราศรัยไปสองประโยคแล้ว ก็ยิ้มทักทายฟ่านเจิ้งที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นถึงเดินไปหาซินหยวน
“พี่หลิ่ว ท่านมาช้ามาก” พอหลิ่วหมิงนั่งลง ซินหยวนก็หันมาหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ทำไมล่ะ! ทูตพิเศษของอารามจื่อเซียวยังมาไม่ถึงหรือ?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วถามขึ้นมา
“คงจะมาถึงในเร็วๆ นี้” ซินหยวนส่ายหน้า
“ท่านนี้ก็คือก็ผู้อาวุโสหลิ่วที่ผู้อาวุโสซินพูดถึงบ่อยๆ ใช่ไหม? เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” แขกอาวุโสอีกคนที่พูดคุยเล่นกับซินหยวนในเมื่อครู่ ประสานมือคารวะหลิ่วหมิวแล้วกล่าวออกมา
คนผู้นี้มีใบหน้างดงาม อายุราวๆ ยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีเท่านั้น สวมชุดสีเขียวทั้งตัว รูปร่างลักษณะหล่อเหลาและสง่างามมาก ประดุจดังเป็นคุณชายที่ดูสะโอดสะอง
“ข้าจะแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือสหายกวนอวี๋ เป็นแขกใหม่ของพรรคเช่นกัน” ซินหยวนแนะนำให้กับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
คนผู้นี้ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดกับหลิ่วหมิงตามพิธีรีตองนั้น พลันมีเสียงเท้าดังขึ้นหน้าประตู จากนั้นนักพรตหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีก็เดินเข้ามา
“ท่านทูตมาไกลถึงเพียงนี้ แต่พวกข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับ หวังว่าท่านจะให้อภัย!” ฟ่านเจิ้งกับชวีหลิงลุกขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และเดินออกไปต้อนรับ
คนอื่นๆ ในห้องโถงก็พากันลุกขึ้นมา และมองไปยังฑูตพิเศษผู้นี้ด้วยสายตานอบน้อม
สำหรับแขกส่วนมากของพรรคฉางเฟิงที่อยู่ในทะเลหนานไห่ นับว่าอารามจื่อเซียวเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่น่าเคารพและยำเกรงสำหรับผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไป
“สหายทุกท่านไม่ต้องเกรงใจไป” นักพรตหนุ่มยิ้มเล็กน้อย และมือพนมมือข้างหนึ่งขึ้นมา
หลิ่วหมิงสังเกตผู้ที่มาอย่างเงียบๆ นักพรตผู้นี้มีใบหน้าค่อนข้างงดงาม ชุดคลุมสีม่วงลากไปกับพื้น ปากกระบอกแขนเสื้อมีรูปยันต์โค้งๆ ปักอยู่ ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ทำให้รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง
พอนักพรตหนุ่มนั่งลงไปแล้ว ฟ่านเจิ้งก็แนะนำแขกในพรรคที่อยู่ข้างเขาทั้งสองคน คนอื่นๆ ต่างก็เคารพนักพรตหนุ่มเป็นอย่างมาก
นักพรตหนุ่มผู้นี้ดูสุภาพเรียบร้อยมาก ราวกับว่ามีเมตตาและอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง แต่หลิ่วหมิงกลับมองเห็นแววเหยียดหยามที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขา
นักพรตหนุ่มกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ในนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวกับรองประมุขพรรคทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนข้ามา อาจารย์ข้ายังกังวลเล็กน้อย แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ท่านคงกังวลเกินเหตุไปหน่อย หลายปีมานี้พรรคฉางเฟิงพัฒนาไปได้ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะมีสหายเข้าร่วมพรรคเป็นจำนวนมาก พลังจึงเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ มาก”
รองประมุขพรรคทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แต่ขณะที่กำลังจะตอบกลับไปนั้น นักพรตชุดม่วงกลับเบนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน
“แต่ว่าจุดสำคัญของพรรคยังต้องดูพลังการต่อสู้เป็นหลัก คิดว่าทั้งสองคงจะคิดเหมือนกัน?”
ฟ่านเจิ้งได้ยินเช่นนี้ก็พูดอะไรไม่ออก และชวีหลิงที่อยู่ด้านข้างกลับตอบรับด้วยใบหน้าเหยเก
ขณะนี้ ซินหยวนแอบส่งเสียงมาให้หลิ่วหมิง
“เฮ่อๆ! ดูท่าอารามจื่อเซียวจะมีสายตาสูงสู่งมาก มองไม่เห็นหัวกลุ่มอิทธิพลระดับพรรคฉางเฟิงด้วยซ้ำ เกรงว่าคงไม่เต็มใจช่วยพรรคฉางเฟิงรับมือกับพันธมิตรจินอวี้อย่างแน่นอน”
“ไม่ผิด! พอทั้งสองกลุ่มอิทธิพลเกิดการปะทะกัน เกรงว่าแขกอย่างพวกเราคงถูกโยงเข้าไปเกี่ยวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้พรรคฉางเฟิงจะเคยรับปากว่า จะไม่บังคับให้แขกอาวุโสอยู่หรือไป แต่ความจริงเป็นเช่นใดนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเราก็ควรเตรียมการรับมือไว้ด้วย” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับส่งเสียงตอบกลับไปอย่างเงียบๆ
…………………………………