ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 442 ถอนพิษและสารต่อสู้
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“เรื่องนี้สำคัญมาก ให้ข้าพิจารณาดูก่อน”
ฟางเหยายิ้มบางๆ แล้วหยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารยื่นให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“ความจริง หากไม่ใช้ถุงพิษของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิต ข้าก็สามารถจัดโอสถถอนพิษอย่างอื่นให้สหายได้ แต่ประการแรก มันต้องใช้เวลานานมาก ดูจากเวลาแล้วคงจะไม่ทัน ประการที่สอง ผลลัพธ์ของโอสถถอนพิษอื่นๆ ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจมากนัก บางทีอาจจะไม่สามารถขับพิษในร่างสหายออกไปได้หมด จากการสังเกตของข้า พิษสะสมในร่างสหายมาเป็นเวลานาน และมีจำนวนมาก ถึงแม้ข้าจะจัดโอสถชนิดอื่นให้ระงับพิษไว้ชั่วคราว แต่คิดว่ามันคงได้ผลไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้ยิ่งถอนพิษได้เร็วก็ยิ่งดี เพราะเมื่อข้าได้ถุงพิษอสูรตั๊กแตนโลหิตมาแล้ว ก็ต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่งในการปรุงโอสถถอนพิษ สหายรีบตัดสินใจโดยเร็วเถิด หากยอมไปทำลายรังของอสูรตั๊กแตนโลหิตด้วยกันล่ะก็ สามารถติดต่อผ่านสิ่งนี้ได้ตลอดเวลา”
หลิ่วหมิงฟังจบก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ายังคงดูสงบ หลังจากรับแผ่นค่ายกลจากอีกฝ่ายและกล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็ออกไปจากสถานที่แห่งนี้
พอเขาออกไปจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่ได้กลับไปยังเกาะมัจฉาเขียว แต่กลับพุ่งไปยังทิศทางอื่น
ก่อนที่จะมาเกาะแห่งนี้ เขาได้ไปสอบถามเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนที่มีชื่อเสียงทางด้านการแพทย์ในเขตอิทธิพลของพรรคฉางเฟิงมาโดยเฉพาะ
และด้วยนิสัยของหลิ่วหมิง เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสใดๆ ให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน
……
สองวันผ่านไป บนเกาะแห่งหนึ่งที่ห่างจากเกาะมัจฉาเขียวไปไม่ไกล
หลิ่วหมิงเดินออกมาจากบ้านไม้หลังหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ด้านหลังของเขายังมีผู้อาวุโสสวมชุดผ้าป่านอยู่คนหนึ่ง
“พิษในตัวของสหายมีลักษณะแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าคิดไปคิดมาแล้ว ก็ยังหาวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถุงพิษอสูรตั๊กแตนโลหิตที่สหายพูดถึงในก่อนหน้านั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของข้า วิธีการใช้พิษต้านพิษแปลกประหลาดนี้ ค่อนข้างได้ผลมาก แต่วิธีการนี้ก็อันตรายไม่น้อย หากไม่มีความมั่นใจพอ อาจจะผิดพลาดได้”
หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ใจเต้นเล็กน้อย ทันใดเขาก็ประสานมือกล่าว
“ขอบคุณผู้อาวุโสเก่อที่ชี้แนะ หากถึงเวลาวิกฤตของชีวิต ย่อมไม่อาจคำนึงอะไรได้มาก”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใช่สิ! บริเวณนี้ยังมีสหายฟางเหยาที่มีวิชาแพทย์สูงกว่าข้ามาก คนผู้นี้มีวิชาแพทย์ล้ำลึก หากเขายอมยื่นมือเข้าช่วย บางทีอาจจะหาวิธีถอนพิษได้ แต่ดูเหมือนเขาจะชอบอยู่สันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้คนภายนอกมากนัก” ผู้อาวุโสชุดผ้าป่านพยักหน้าและกำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ดูเหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถึงกล่าวออกมาในฉับพลัน
หลิ่วหมิงได้ยินก็ได้แต่ยิ้มในใจอย่างขมขื่น แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็ขี่เมฆเหาะจากไป
ทิศทางที่เขาไปครั้งนี้ก็คือเกาะมัจฉาเขียวนั่นเอง
หลายวันนี้ เขาไปเยี่ยมเยียนผู้ฝึกฝนที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ในบริเวณใกล้ๆ แต่คนเหล่านี้ต่างก็ไม่มีวิธีจัดการพิษในร่างของเขา มีสองสามคนที่พูดถึงวิธีการถอนพิษ แต่กลับต้องใช้เวลานานมาก ทั้งยังมีความเชื่อมั่นไม่มาก
เปรียบเทียบดูแล้ว วิธีการของฟางเหยาน่าเชื่อถือกว่ามาก เพราะเรื่องการใช้พิษต้านพิษ เขาเองก็เคยได้รับการยืนยันจากคนอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้มาก
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง คงได้แต่กลับไปดูสถานการณ์ทางด้านซินหยวนแล้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนกันยาวๆ
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พอดีดนิ้วออก ยันต์ผืนหนึ่งก็พุ่งออกไป จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวจมลงบนก้อนเมฆที่เหยียบอยู่ ทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
หนึ่งวันผ่านไป เขาก็มองเห็นเงาของเกาะมัจฉาเขียวอยู่ไกลๆ
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในเกาะมัจฉาเขียวแล้ว ก็ร่อนลงไปหน้าถ้ำที่พักของซินหยวนทันที
แต่หลังจากเขาเคาะประตูแล้ว ถึงทราบจากหญิงรับใช้ที่เดินออกมาจากด้านในว่า ตั้งแต่ซินหยวนออกไปข้างนอกยังไม่ได้กลับเข้ามาเลย
หลังจากหลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้ว ก็กลับไปยังถ้ำที่พักของตนเองก่อน
ผ่านไปครึ่งวัน ซินหยวนก็มาหาเขาถึงที่พักด้วยความดีใจ และพริบตาที่เจอหลิ่วหมิงในห้องโถง เขาก็หยิบขวดเล็กหลากสีออกมาสองสามใบ
หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองมาด้วยความยินดี
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังจ้องมองขวดว่างเปล่าสองสามใบตรงหน้า และสบตากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
หลังจากลองทานโอสถจิตวิญญาณของพรรคฉางเฟิงเหล่านี้แล้ว กลับดูเหมือนจะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เลย
“แขกพรรคฉางเฟิงเหล่านั้น คุยโม้สรรพคุณของโอสถเหล่านี้จนลิงหลับ สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย” ซินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ไม่ว่าใครก็ตามที่ทนทรมานสองสามวัน จนทำให้ตนเองอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่สุดท้ายกลับพบว่ามันไร้ประโยชน์ ย่อมอารมณ์เสียเป็นธรรมดา
“เพราะนี่เป็นพิษที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ปรุงขึ้นมา โอสถที่พรรคฉางเฟิงรวบรวมมา จะไร้ประโยชน์ก็เป็นเรื่องธรรมดา” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ดูท่าแผนการในตอนนี้ คงต้องไปสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิตกับฟางเหยาแล้ว” ซินหยวนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงได้เล่าเรื่องการเสาะหาผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ของตนเองให้ซินหยวนฟังไปหนึ่งรอบแล้ว
“ข้าเองก็มีความคิดเช่นนี้ แต่เรื่องนี้อาจมีอันตรายเล็กน้อย ข้ากับเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ทั้งสองหารือกันอีกรอบ ไม่ว่าที่ฟางเหยาพูดมาจะเป็นจริงหรือเท็จ พวกเขาก็จะตอบรับข้อเสนอของฟางเหยาไปทำลายรังอสูรตั๊กแตนโลหิตก่อน
เพราะด้วยพลังของทั้งสอง ย่อมไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลับสัตย์แต่อย่างใด
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หลิ่วหมิงก็หยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารออกมาติดต่อกับฟางเหยา
สำหรับซินหยวนที่หลิ่วหมิงแนะนำให้ ฟางเหยาย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด
เพราะว่าอสูรตั๊กแตนโลหิตนั้นมีจำนวนมาก ยิ่งมีคนมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็นัดหมายให้ไปรวมตัวกันที่เกาะเล็กๆ ของฟางเหยาในครึ่งเดือนให้หลัง จากนั้นค่อยไปทำลายรังของอสูรตั๊กแตนโลหิตพร้อมกัน
และหลิ่วหมิงกับซินหยวนย่อมต้องเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรง หลังจากหารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัว
……
ขณะที่หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังยุ่งกับการเตรียมการนั้น กลับมีข่าวมาจากที่ทำการพรรคฉางเฟิงว่า ในที่สุดพันธมิตรจินอวี้ก็ส่งสารสู้รบที่เป็นทางการมาให้กับพรรคฉางเฟิงแล้ว
สามวันต่อมา
ภายในหอใหญ่ของพรรคฉางเฟิง เฟิงจ้านที่เป็นประมุขพรรคฉางเฟิงกำลังนั่งอยู่ในด้านใน รองประมุขพรรคทั้งสอง และผู้ดูแลกลุ่มหนึ่งกับแขกระดับสูงต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด และนั่งถัดจากทางด้านซ้ายของเขา
หลังจากหลิ่วหมิงกับซินหยวนทราบข่าว ก็รีบมาสมทบอย่างรวดเร็ว และนั่งอยู่ในตำแหน่งท้ายๆ
เว่ยจ้งกับเฟิงไฉ่ก็ยืนอยู่ข้างเก้าอี้หลัก และกำลังพูดคุยเบาๆ ราวกับไม่มีคนอื่นอยู่ ณ ที่นั้น
ฝั่งตรงข้ามมีชายสวมชุดคลุมสีทองนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสผมขาว ใบหน้าแดงมีเลือดฝาด ว่ากันว่าเป็นรองประมุขพันธมิตรจินอวี้ และด้านข้างของเขาก็เป็นชายรูปร่างผอมแห้ง แต่กลับมีสีหน้าซื่อๆ และเงียบมาโดยตลอด
“เช่นนี้ก็หมายความว่า พรรคฉางเฟิงไม่มีข้อคัดค้านที่จะให้ทั้งสองฝ่ายส่งคนสามคนมาทำการต่อสู้ แต่สำหรับวิธีเดิมพันการต่อสู้นี้ ทางพันธมิตรเราคิดว่าให้ทั้งหกคนออกมาสับเปลี่ยนกันต่อสู้ แม้พวกเราทั้งสองฝ่ายจะส่งคนออกมาสามคน แต่เพียงแค่ยังไม่พ่ายแพ้ ก็สามารถท้าสู้ต่อบนแท่นประลองได้ จนกระทั่งตัวเลือกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตีจนพ่ายแพ้หมดก่อน ถึงนับว่าสิ้นสุดการต่อสู้ เช่นนี้ถึงแดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของพวกเราทั้งสองฝ่าย” ผู้อาวุโสผมขาวค่อยๆ กล่าวออกมา ใบหน้าเขาดูไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
พอคำพูดนี้ออกจากปาก สมาชิกพรรคฉางเฟิงที่อยู่ในนั้นก็รู้สึกอึ้งขึ้นมา
เฟิงจ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ระบบการต่อสู้แบบสับเปลี่ยนนี้ แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ในตอนแรกมาก ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวของพันธมิตรจินอวี้แข็งแกร่งกว่าพรรคฉางเฟิงมาก แต่กลับเสนอวิธีการเดินพันต่อสู้ออกมาเช่นนี้ ย่อมมีจุดประสงค์อื่นที่ไม่อาจบอกคนอื่นได้ ดูท่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องมีที่พึ่งพาอย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้ว โอกาสชนะของพรรคฉางเฟิงส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ชายหนุ่มชุดดำ ดังนั้นการต่อสู้เช่นนี้ ก็นับว่าตรงตามที่ใจเฟิงจ้านต้องการมาก
แต่เขายังคงกวาดสายตาดูเว่ยจ้งที่อยู่ด้านข้างว่ามีความเห็นเช่นไร
“ผู้อาวุโสเฟิงโปรดวางใจ วิธีการต่อสู้เช่นนี้ตรงตามที่ข้าต้องการพอดี” ชายหนุ่มชุดดำเห็นเช่นนี้ กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มอันดุร้าย
“ฮึ! ในเมื่อจิ้งจอกเฒ่าตู๋กูมีความกล้าเช่นนี้ ข้าก็จะเล่นด้วยอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อพวกเจ้าเป็นคนตัดสินเรื่องวิธีการต่อสู้ ตามหลักแล้ว สถานที่ต่อสู้ก็ควรเป็นพวกข้าที่เป็นคนกำหนด ถ้าอย่างนั้นต่อสู้กันที่หุบเขาเปลวเพลิงเถอะ หุบเขานี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในทะเลหนานไห่ คิดว่าท่านทูตทั้งสองก็คงรู้จัก” เฟิงจ้านคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้กันที่หุบเขาเปลวเพลิง วันนี้ในอีกสองเดือนให้หลัง ก็คือวันเดิมพันกันการต่อสู้! หวังว่าพรรคฉางเฟิงคงจะไม่ทำให้พันธมิตรของพวกข้าผิดหวัง!” ผู้อาวุโสผมขาวคิดไตร่ตรองเพียงเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบรับในทันที
เว่ยจ้งได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และกระซิบข้างหูเฟิงไฉ่เบาๆ สองสามประโยค
เฟิงไฉ่ฟังจบก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกข้าทั้งสองต้องขอลาก่อน” ผู้อาวุโสผมขาวลุกขึ้นมากล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ไปส่งแล้ว!” เฟิงจ้านกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ผู้อาวุโสผมขาวหัวเราะแห้งๆ สองสามที จากนั้นก็ละสายตามาดูชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ข้างเฟิงจ้าน และกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายอันลึกซึ้ง
“ท่านนี้คงเป็นคุณชายเว่ยจ้ง ศิษย์ระดับสูงของนิกายห้าวิญญาณสินะ ผู้อาวุโสเฟิงมีวิธีการที่ดีจริงๆ!” กล่าวจบเขาก็ก้าวยาวๆ เดินออกไป
เฟิงจ้านได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แต่พอเหลือบตาไปมองชายหนุ่มชุดดำ กลับพบว่าเขากำลังพูดคุยกับบุตรสาวของตนอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจคำพูดของผู้อาวุโสเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เขาจึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ต่อมา ประมุขพรรคฉางเฟิงก็รอจนฑูตพันธมิตรจินอวี้เดินออกไปจากห้องโถงแล้ว ถึงกระแอมไอเบาๆ และประกาศออกมา
“เอาล่ะ! ในเมื่อเรื่องเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้ถูกกำหนดแล้ว ตอนนี้ข้าจะขอประกาศว่าศิษย์พี่ของบุตรสาวข้า ซึ่งก็คือคุณชายเว่ยจ้ง ได้ตัดสินใจเชื่อมสัมพันธ์กับพรรคเรา ซึ่งขณะนี้ได้ตกลงเข้าร่วมกับพรรคฉางเฟิงเราแล้ว และถูกเลื่อนขั้นเป็นแขกระดับสูงโดยตรง เขาเป็นหนึ่งในตัวแทนที่จะไปเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ สำหรับตัวแทนอีกสองคน ให้รองประมุขทั้งสองรับหน้าที่นี้ ทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”
ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็มองหน้ากัน และย่อมไม่กล้าทำการคัดค้านใดๆ
รองประมุขพรรคทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งแล้วก็เงียบไปเช่นกัน
หลิ่วหมิงกับซินหยวนยิ่งไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา
ทั้งสองกำลังยุ่งเรื่องการเดินทางไปทะเลลึกในครึ่งเดือนให้หลังกับเรื่องถอนพิษอยู่ ย่อมไม่อยากออกหน้าในเรื่องนี้
ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกลงตามนี้
ต่อมาทุกคนก็หารือเกี่ยวกับเดิมพันการต่อสู้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเฟิงจ้านก็ประกาศให้หยุดการชุมนุมในครั้งนี้
ผู้คนต่างก็พากันกล่าวลา และออกจากห้องโถงไป
หลิ่วหมิงตามผู้คนออกไปจากห้องโถง หลังจากกล่าวลากับซินหยวนแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปถ้ำที่พักในทันที แต่กลับทะยานฟ้าไปยังอีกฝั่งของเกาะ
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ขี่เมฆร่อนลงหน้าหุบเขาเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
ปากทางเข้าหุบเขาสร้างขึ้นมาจากหินยักษ์สีแดงที่ก่อตัวกันเป็นชั้นๆ แม้จะอยู่ในระยะไกลๆ ก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงหรี่ตาสังเกตปากทางเข้าหุบเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินเข้าไป
หากเขาฟังไม่ผิดล่ะก็ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นแขกระดับของเหลวขั้นต้นคนหนึ่ง แม้มีระดับการฝึกฝนไม่สูง แต่ก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้
…………………………………