ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 447 ถอนพิษ
“สหายฝานฝึกฝนมาหลายร้อยปี คิดไม่ถึงว่าจะพลาดท่าถูกอสูรตั๊กแตนโลหิตลอบโจมตี ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ฟางเหยาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวออกมา เขาดูเหมือนจะเสียใจต่อการเสียชีวิตของฝานหลิงจื่อเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้ฝึกฝนอย่างพวกเราเดิมทีก็เป็นเรื่องที่ฝืนชะตาสวรรค์ เสียชีวิตระหว่างเส้นทางการฝึกฝนบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือช่วยจัดการศพของสหายฝานให้ดีๆ ก็เท่านั้น” ซ่านฉางเฟิง ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย
เซียนมู่อู่ก็มีสีหน้าเศร้าหมองลง แม้ว่าจะไม่กล่าวอะไรออกมา แต่พอสะบัดแขนเสื้อ แถบผ้าในมือก็ม้วนตัวออกไป และม้วนเอาศพของบัณฑิตกลับมา
“เกาะเฟยเหลียนที่สหายฝานหลิงจื่ออยู่ ห่างจากเกาะเสี่ยวขุยไม่มากนัก พวกเรามีความสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร ให้ข้านำศพกลับไปให้คนของเขาประกอบพิธีฝังเถอะ” เซียนมู่อู่ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนท่านเซียนมู่อู่แล้ว” ฟางเหยาพยักหน้ากล่าวออกมา
ต่อมาพวกเขาก็ใช้ยันต์เก็บของจำนวนมาก เก็บศพอสูรตั๊กแตนโลหิตเหล่านี้เข้าไป ส่วนราชาอสูรตัวนั้น ก็ใช้ยันต์เก็บของอีกผืนเก็บแยกไว้ต่างหาก จากนั้นก็พากันไปจากใต้ทะเลแห่งนี้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็ขึ้นมาจากใต้ทะเล และกลับมาถึงเกาะที่ฟางเหยาอยู่อีกครั้ง
พอมาถึงห้องโถงภายในถ้ำที่พักของฟางเหยา พวกเขาก็ปล่อยยันต์เก็บของออกมาหลายสิบผืน หลังจากทำท่ามือ ศพอสูรตั๊กแตนโลหิตก็ทะลักออกมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้น
พวกเขาพูดเรื่องการแบ่งอสูรตั๊กแตนโลหิตตามที่ได้ตกลงไว้ในก่อนหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นศพอสูรตั๊กแตนโลหิตระดับต่ำ ก็ถูกแบ่งจนหมดเกลี้ยง
หลิ่วหมิงกับซินหยวนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ พวกเขาเพียงแค่ขายมันให้คนอื่นๆ จนได้หินจิตวิญญาณมาหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณ
ขณะนี้ก็เหลือแค่อสูรตั๊กแตนโลหิตระดับของเหลวตัวนั้นแล้ว
“ไม่ทราบว่าจะแบ่งราชาอสูรตั๊กแตนโลหิตตัวนี้อย่างไร?” ฟางเหยาจ้องมองศพอสูรตั๊กแตนโลหิตบนพื้นแล้วเอ่ยปากถาม
ทุกส่วนของอสูรตั๊กแตนโลหิตระดับของเหลวล้วนเป็นของล้ำค่า แก่นปีศาจของมันไม่ต้องพูดถึง เลือดเนื้อบนตัวมันล้วนเป็นวัสดุชั้นยอดในการปรุงโอสถ และยังสามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณอย่างเกราะนักรบได้
และตามที่ได้ตกลงไว้ในก่อนหน้า ชิ้นส่วนของราชาอสูรตัวนี้ จะแบ่งตามผลงานของแต่ละคน
แม้เขาจะเป็นคนเริ่มแผนการนี้ก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าอำนาจการตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในมือเขาแล้ว
พอผู้อาวุโสกับเซียนมู่อู่ได้ยิน ก็มองไปทางหลิ่วหมิงกับซินหยวนด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“พวกข้าทั้งสองต้องการแค่ถุงพิษกับโลหิตส่วนหนึ่งก็พอ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวอย่างไม่ลังเล
ในระหว่างที่เดินทางกลับ เขาก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับซินหยวนไปแล้ว
พอผู้อาวุโสและคนอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
แม้จะนับว่าโลหิตกับถุงพิษของราชาอสูรมีมูลค่าไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับผลงานในตอนท้ายของทั้งสองแล้ว ย่อมไม่อาจเทียบได้
ต่อมา เซียนมู่อู่กับซ่านฉางเฟิงก็เดินไปเลือกเขาอสูรกับโลหิตและชิ้นส่วนอื่นๆ
ฟางเหยาย่อมได้แก่นปีศาจที่อยู่ในร่างราชาอสูรสมใจ การดำเนินการในครั้งนี้ นอกจากมีคนเสียชีวิตไปหนึ่งคนแล้ว ทุกคนล้วนปีติยินดีกันทั้งสิ้น
ภายใต้การยับยั้งของฟางเหยา ผู้อาวุโสชุดดำกับหญิงหยาดเยิ้มก็ไม่ได้รีบร้อนจากไปในทันที พวกเขาหลิ่วหมิงและซินหยวนจึงพักอยู่ในถ้ำชั่วคราว
หลังจากฟางเหยาได้เห็นพลังของหลิ่วหมิงกับซินหยวน เขาก็ไม่กล้าคิดตุกติกใดๆ อีก หลังจากใช้เวลาจำนวนหนึ่งจัดการบาดแผลบนตัวแล้ว ก็รีบทำการปรุงโอสถชิงซ่านทันที
……
ห้องลับบางแห่งภายในถ้ำของฟางเหยา หลิ่วหมิงกับซินหยวนกำลังนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวทอยู่ ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ใช้พลังเวทไปจำนวนหนึ่งเท่านั้น ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน พลังเวทก็ฟื้นคืนโดยสมบูรณ์แล้ว
และภายในห้องหินที่อยู่ด้านข้าง ฟางเหยาที่สวมชุดสีเทาทั้งตัวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมสีขาวที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง มือทั้งสองทำท่ามือ และปล่อยพลังใส่เตาหลอมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มันเกิดการสั่นไหวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งของเขาก็เปลี่ยนท่ามือในทันที จากนั้นฝาเตาหลอมก็ลอยขึ้นมา
ฟางเหยาพลิกมือขวาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ขวดหยกสีขาวเล็กๆ ใบหนึ่งปรากฏออกมา สิ่งที่อยู่ในขวดก็คือพิษที่เอาออกมาจากถุงพิษของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิต
เขาเทของเหลวสีดำจำนวนหนึ่งลงไปในเตาหลอมสีขาวอย่างระมัดระวัง และหยิบวัตถุดิบจำนวนหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดคำนวณอะไรบางอย่างแล้ว เขาก็นำสิ่งของต่างๆ ใส่ลงไปในเตาหลอม
หลายชั่วยามผ่านไป
เปลวเพลิงสีแดงลุกไหม้จากหลุมแห่งหนึ่งตรงก้นเตาหลอม ครู่ต่อมาก็มีกลิ่นหอมของโอสถโชยออกมาจากเตา นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าวัตถุดิบหลายอย่างเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว
ขณะนั้นเอง ควันสีดำกลุ่มหนึ่งได้พุ่งออกจากเตาหลอม พอเห็นเช่นนี้เขาก็หยุดทำท่ามือทันที จากนั้นเปลวเพลิงก็ดับไป
ฟางเหยาถอนหายใจเบาๆ และขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้จะมีพิษของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิตเป็นเชื้อกระตุ้น แต่โอสถชิงซ่านก็ไม่ได้ปรุงขึ้นมาง่ายๆ นี่เป็นการล้มเหลวครั้งที่ห้าแล้ว และเขาก็เพิ่งจะปรุงออกมาได้เก้าเม็ดเท่านั้น
สำหรับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ มีโอกาสสำเร็จราวๆ หกในสิบส่วน ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
แต่สำหรับการถอนพิษภายในร่างหลิ่วหมิงกับซินหยวนนั้น นับว่ายังไม่เพียงพอ โชคดีที่พิษในถุงพิษของราชาอสูรตั๊กแตนโลหิตมีมากพอ
พอฟางเหยาคิดมาถึงจุดนี้ ก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็วเปลวเพลิงรอบๆ เตาหลอมคุโชนขึ้นมาอีกครั้ง
……
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดฟางเหยาก็ออกมาจากห้องปรุงโอสถ ขณะที่เดินเข้ามาในห้องลับที่หลิ่วหมิงกับซินหยวนอยู่นั้น ในมือเขาก็ถือโอสถชิงซ่านอยู่สองขวด
“โชคดีที่ครั้งนี้ข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างลุล่วงโดยไม่ทำให้เสียหน้า ข้าได้ปรุงโอสถชิงซ่านมาทั้งหมดสามสิบสองเม็ด ซึ่งเพียงพอที่จะขับพิษในร่างของท่านทั้งสองแล้ว” ฟางเหยาใช้มือข้างหนึ่งฟั่นหนวด และมอบขวดโอสถให้หลิ่วหมิงและซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็รีบรับขวดโอสถมาเปิดดู
ในขวดมีโอสถสีเขียวหยกขนาดเท่าเม็ดถั่วบรรจุอยู่ และยังมีกลิ่นคาวโชยออกมาจางๆ พื้นผิวของมันยังมีอักขระสีแดงเขียนอยู่
หลิ่วหมิงเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ย่อมมองออกว่าโอสถตรงหน้ามีคุณภาพไม่เบา หลังจากนำโอสถแตะลิ้น และหรี่ตาลิ้มรสชาติของโอสถเม็ดนั้นแล้ว เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็รีบนำโอสถใส่ปาก และนั่งขัดสมาธิลงไปทันที
ซินหยวนเบิกตามองดูท่าทีของหลิ่วหมิงอยู่ด้านข้าง
และพอโอสถเข้าปากมันก็ละลายทันที หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกขมเล็กน้อย จากนั้นโอสถชิงซ่านก็กลายเป็นปราณจิตวิญญาณสีเลือดกระจายไปตามจุดชีพจรต่างๆ
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดดูภายในร่าง ก็ค้นพบว่าปราณจิตวิญญาณสีเลือดไหลไปตามเส้นชีพจรอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ไหลไปทั่วอวัยวะภายใน พอไอหมอกดำสัมผัสกับมัน ก็จมหายเข้าไปในนั้นราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกปวดภายในช่องท้องราวกับถูกมีดกรีด
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ปราณจิตวิญญาณสีเลือดก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ!
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าไปในฉับพลัน จากนั้นก็พ่นโลหิตสีดำออกมา
ขณะเดียวกัน ไอดำที่ปกคลุมอวัยวะภายในอยู่ก็ลดลงไปไม่น้อย
ซินหยวนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็มองมาด้วยความดีใจ และเขาเองก็ทานโอสถลงไปหนึ่งเม็ดทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาว ขณะนี้เขาถึงประสานมือกล่าวขอบคุณฟางเหยา
“ขอบคุณสหายฟางที่ปรุงโอสถชิงซ่านให้กับพวกข้าทั้งสอง โลหิตราชาอสูรเหล่านี้มีประโยชน์กับพวกข้าไม่มากนัก ขอมอบมันให้สหายฟางก็แล้วกัน ถือว่าเป็นค่าตอบแทนการปรุงโอสถในครั้งนี้” ขณะที่กล่าว หลิ่วหมิงก็หยิบน้ำเต้าเล็กๆ ออกมา ในนั้นบรรจุโลหิตของราชาอสูรที่แบ่งกันเมื่อหลายวันก่อน
ฟางเหยาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากกล่าวด้วยความเกรงใจไปสองประโยคแล้ว ก็เก็บน้ำเต้าเข้าไป ขณะเดียวกัน ยังกำชับทั้งสองว่าหากอยากจะถอนพิษออกไปให้สิ้นซาก ต้องทานโอสถในขวดนี้ให้หมดตามเวลาที่กำหนดถึงจะได้
หลิ่วหยิงพยักหน้าตอบรับ
ไม่นาน เมื่อซินหยวนพ่นโลหิตสีดำกลุ่มหนึ่งออกมาจนพิษลดลงไปมากแล้ว ทั้งสองก็กล่าวลาฟางเหยากับผู้อาวุโสชุดดำและเซียนมู่อู่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเกาะมัจฉาเขียวทันที
ความรู้สึกในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่มา
ขณะนี้หลิ่วหมิงกับซินหยวนรู้สึกโล่งใจไปมาก และความกังวลในใจก็หายไปหมดสิ้น
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ในเขาลูกเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คน ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมัจฉาเขียวทางด้านตะวันตก
พุ่มไม้ต่างๆ ขึ้นเต็มบนเขา ดูเหมือนว่ามันจะเปล่าเปลี่ยวและไม่มีผู้คนเข้ามาถึง
บนเส้นทางที่ซ่อนอยู่กลางภูเขา ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินอย่างช้าๆ
คนผู้นี้มีโครงหน้ารูปสี่เหลี่ยม คิ้วเข้ม ซึ่งเขาก็คือฟ่านเจิ้ง รองประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!
ปลายสุดของทางเดิน มีปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง
ฟ่านเจิ้งตรวจสอบดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง หลังจากไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ เขาก็เดินเข้าไปในถ้ำทันที พอมาถึงมุมแห่งหนึ่ง เขาก็ยื่นแขนไปตบผนังหินสองที
“กรอกแกรก!”
ผนังหินที่ราบเรียบเกิดรอยเว้าลึกลงไปหลายจั้ง เผยให้เห็นค่ายกลขนาดเล็กที่อยู่ในนั้น
ฟ่านเจิ้งหยิบแผ่นหยกออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโยนเข้าไปในค่ายกล ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังสีขาวเข้าไปในนั้น
ค่ายกลเปล่งแสงสีขาวออกมา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ!
อักขระจำนวนมากลอยวนเวียนอยู่บนแผ่นหยก จากนั้นก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฟ่านเจิ้งถอนหายใจออกมา ขณะที่หมุนตัวเพื่อจะเดินจากไปนั้น พลันมีชายวัยกลางคน ใบหน้าขาว ไร้หนวดเครา กำลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ท่าน……ท่านประมุขพรรค ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่……?” พอฟ่านเจิ้งเห็นใบหน้าของชายผู้นี้อย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“ฮึ!”
เฟิงจ้านทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และแสงกระบี่สีเหลืองก็ม้วนตัวออกไป
ฟ่านเจิ้งรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขากระโดดถอยไปทันที ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นป้ายเหล็กสีเงินออกมา พอมันสั่นไหวตามแรงลม ก็กลายเป็นโล่สีเงินต้านทานไว้ตรงหน้า
“ฟู่!”
แสงกระบี่เปล่งประกาย โล่ที่ดูไม่ธรรมดาถูกผ่าราวกับก้อนเต้าหู้ และแสงกระบี่ยังกระพริบผ่านบริเวณคอของฟ่านเจิ้งไป!
รูปร่างสูงใหญ่ของฟ่านเจิ้งยังคงยืนนิ่ง แต่ศีรษะกลับกลิ้งหล่นลงมา ใบหน้ายังคงมีอาการหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด
จากนั้นโลหิตก็พุ่งสูงหลายฉื่อ ไอดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา และคิดจะหนีไปจากปากถ้ำ
เฟิงจ้านหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอสะบัดแขนเสื้อ ก็มีแสงกระบี่สีเหลืองม้วนตัวออกไปอีกครั้ง และปั่นไอดำจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่มีเสียงดังกึกก้องนั้น ค่ายกลขนาดเล็กตรงหน้าก็ถูกผ่าเป็นสองส่วนทันที
ขณะเดียวกัน เขาก็ยกมือข้างหนึ่งปล่อยลูกเปลวไฟออกไปหนึ่งลูก เพื่อเผาศพของฟ่านเจิ้งให้กลายเป็นขี้เถ้า
พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฟิงจ้านก็เก็บกระบี่จิตวิญญาณด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็หายไปจากถ้ำอย่างไร้สุ้มเสียง
…………………………………