ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 449 ประลองคัดเลือก
ขณะนั้นเอง ก็มีอีกข่าวที่น่าตกใจแพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว!
ชวีหลิงที่เป็นรองประมุขพรรคอีกคน ก็ประกาศว่าตนเองเกิดการฝึกฝนผิดพลาด ทำให้พลังลดลงไปมาก จำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้จึงถอนตัวออกจากเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ จำนวนคนที่ขาดอยู่ก็กลายเป็นสองคนทันที!
พอข่าวนี้แพร่ออกไป ก็เกิดความฮือฮาในพรรคฉางเฟิงอีกครั้ง ทำให้ผู้คนในพรรครู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ประมุขพรรคฉางเฟิงก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะจัดประลองคัดเลือกบนเกาะมัจฉาเขียว เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งสองคนเป็นตัวแทนเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้!
พอคำพูดนี้แพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากที่คิดว่าตนเองมีพลังแข็งแกร่ง ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา และเตรียมที่จะแสดงฝีมือในการประลองคัดเลือกครั้งนี้
และในช่วงเวลานี้ ผู้ดูแลพรรคและแขกในพรรคต่างก็มารวมตัวทำการแลกเปลี่ยนกันบ่อยขึ้น ผู้ที่ค่อนข้างมีพลังจำนวนหนึ่ง ยอมไปซื้อยันต์และอาวุธจิตวิญญาณจากสถานที่อื่นๆ เพื่อหวังจะได้เป็นตัวแทนของพรรคไปทำการเดิมพันต่อสู้ ส่วนผู้ที่มีพลังน้อย และคิดว่าตนเองไม่มีหวังได้เข้าร่วม ก็ถือโอกาสนี้หารายได้เข้าใส่ตัว
……
ห้องรับแขกภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกับซินหยวนนั่งตรงข้ามกัน พวกเขาจิบชาไปพลาง พูดคุยเรื่องคัดเลือกผู้เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ไปพลาง
“พูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพี่ซินค่อนข้างสนใจเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ และเตรียมลงชื่อเข้าร่วมแล้ว” หลิ่วหมิงจิบชาไปคำหนึ่งแล้วกล่าวอย่างสงบ
“ตอนนี้ข้าต้องการหินจิตวิญญาณแบบเร่งด่วน เพื่อสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิตในก่อนหน้านั้น แม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายก็ลงทุนไปหมดแล้ว ตอนนี้กระเป๋าแห้งเหือดมาก” ซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ พัวพันถึงผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มในทะเลหนานไห่ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น เจ้าคิดดีแล้วหรือ?” หลิ่วหมิงมองซินหยวนด้วยตาที่เป็นประกาย และกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! แค่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้เท่านั้น ข้ายังมีความมั่นใจที่จะถอนตัวออกมาได้” ซินหยวนได้ยินก็หัวเราะออกมา
“พลังของท่านข้าย่อมรู้ดี แต่การต่อสู้ในครั้งนี้อันตรายมาก ควรระวังตัวไว้ก่อน” พอหลิ่วหมิงเห็นว่าซินหยวนมีท่าทีจะเข้าร่วมให้ได้ เขาก็ไม่ห้ามปรามอีก เพียงแค่กล่าวเตือนสองสามประโยค
“พี่หลิ่วชมเกินไปแล้ว พลังของท่านแกร่งกว่าข้ามาก ท่านไม่คิดเข้าร่วมประลองเลยหรือ?” ซินหยวนพูดอย่างถ่อมตนไปไม่กี่ประโยค และเอ่ยปากถามในฉับพลัน
“ข้าเตรียมเก็บตัวฝึกฝนซักระยะหนึ่ง รอจนพิษราชาปีศาจสมุทรถูกขับออกไปจนหมดแล้ว ค่อยวางแผนกันต่อไป” หลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนิ่มนวลโดยไม่ลังเล
แม้เขาจะรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แต่ในมือเขายังมีสมบัติอยู่บ้าง หากอยากเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
อีกอย่างเขาก็มาเกาะมัจฉาเขียวได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ทางด้านพันธมิตรจินอวี้ หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก หลังจากเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกับหลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้ว เขาก็จากไป
……
สองวันต่อมา ภายในถ้ำค่อนข้างเร้นลับบริเวณที่ทำการพรรคบนเกาะมัจฉาเขียว ผู้ดูแลกับแขกระดับสูงจำนวนหนึ่งเพิ่งจะทำการแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เสร็จ จากนั้นก็ไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับเริ่มคุยเรื่องมโนสาเร่กัน
หลิ่วหมิงกับเหวยอวิ๋นที่เป็นคนชักนำให้เขาเข้าพรรค ก็อยู่ในนั้นด้วย
ช่วงนี้การรวมตัวขนาดย่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสนี้ นำวัสดุในมือที่ไม่ได้ใช้มาแลกเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง และก็ได้ข่าวจากคนเหล่านี้มาไม่น้อย
ขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังพูดคุยแบบถามคำตอบคำอยู่กับเหวยอวิ๋น และแขกอีกสองคน ขณะเดียวกัน ก็ใช้หนึ่งจิตสองพลัง ฟังบทสนทนาของคนอื่นๆ
ทันใดนั้นเขาก็ใจเต้นขึ้นมา และรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปยังคนสองคนที่นั่งสนทนาอยู่ฝั่งตรงข้าม
จะเห็นว่าทั้งสองต่างก็มีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปี คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว โครงหน้าสี่เหลี่ยม หูกาง อีกคนกลับเป็นนักพรตที่มีหน้าตาโหดเหี้ยม ยมยาวเคลียบ่า
คนทั้งสองดูแปลกหน้าเป็นอย่างมาก คงเป็นผู้ดำเนินการระดับสูงที่เพิ่งกลับมาหลังจากได้ยินข่าว ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ได้มาปรากฏตัวในห้องโถงในก่อนหน้า
“พี่หลี่ ได้ยินมาว่าท่านประมุขรับปากว่าหลังจากได้รับชัยชนะ ไม่เพียงแต่จะมอบสามแสนหินจิตวิญญาณให้เป็นค่าตอบแทน ทั้งยังจะเปิดคลังลับครั้งใหญ่ ให้เลือกสมบัติล้ำค่าสามชิ้น ท่านเคยเข้าไปในคลังลับของพรรคฉางเฟิง รู้บ้างไหมว่ามีสมบัติล้ำค่าอะไรอยู่ในนั้น?” ชายชุดคลุมสีเขียวสอบถามนักพรตหน้าตาโหดเหี้ยมด้วยตาที่เป็นประกาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้
ชายวัยกลางคนหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วกล่าวกับชายชุดคลุมสีเขียวเบาๆ
“ปีนั้นข้าได้ทำงานให้ท่านประมุข จึงโชคดีได้เข้าไปหนึ่งครั้ง แต่ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ได้ดูอะไรมาก หลังจากเอาของเสร็จแล้วก็ออกไปเลย แต่เพียงแค่ชำเลืองดูผ่านๆ สิ่งที่พบเห็นก็ทำให้ข้าตื่นตะลึงมากแล้ว ข้าว่าแค่หยิบสมบัติชิ้นไหนก็ได้อย่างไม่ใส่ใจ มันก็มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณแล้ว ซึ่งต่างก็เป็นสิ่งของมีมูลค่าที่หาไม่ได้ตามท้องตลาด ในนั้นยังมีสิ่งของหลายอย่าง หลังจากข้ากลับมาแล้วก็ยังไม่สามารถหาที่มาและประโยชน์การใช้สอยของมันได้……”
“แม้แต่ผู้ที่มีความรู้กว้างไกลอย่างพี่หลี่ยังไม่อาจแยกแยะ มันย่อมเป็นของดีอย่างแน่นอน! มีอะไรบ้างรีบๆ พูดมาเร็วๆ เถอะ” ชายชุดดำได้ยินเช่นนี้ ก็ซักถามด้วยความสนใจ
“ข้ามีความรู้ธรรมดาเท่านั้น ของที่ยังไม่เคยเห็นกับตาย่อมมีนับไม่ถ้วน แต่หลายชิ้นในนั้น หลังจากที่ข้ากลับไปหาอ่านคัมภีร์แล้ว ก็ยังหาเส้นสนกลในไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นหินแร่ห้าสีกับไผ่เงินท่อนหนึ่งที่มีลวดลายห้าสีปกคลุมอยู่ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก……” นักพรตถูกสหายยกยอจนเผยสีหน้าพอใจออกมา หลังจากคิดใคร่ครวญดูเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มเล่าออกมา
แม้ทั้งสองจะพูดคุยกันเบามาก แต่ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
ในขณะที่นักพรตวัยกลางคนพูดถึง ‘ไผ่เงิน’ และบรรยายลักษณะของมัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“สหายเหวย ผู้ดูแลทั้งสอง ข้าน้อยมีเรื่องต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็รีบหาข้ออ้างไปจากสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ และตรงดิ่งไปทางที่ทำการพรรค
แม้เหวยอวิ๋นและคนอื่นๆ จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เพียงพูดยับยั้งให้อยู่ต่อไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ปล่อยเขาไป
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา
เมื่อหลิ่วหมิงเหยียบเข้าไปในถ้ำที่พัก เขาก็รีบเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และหลับตาทั้งคู่ลง
พอเขานำจิตดิ่งลึกลงไป พลันมีแสงสีทองกลมๆ ลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้ หลังจากใช้จิตสัมผัสมันเล็กน้อย มันก็หมุนตัวติ้วๆ แล้วกลายเป็นคัมภีร์สีทองเล่มหนึ่ง
สิ่งนี้คือคัมภีร์เคล็ดวิชาปราณแกร่งเล่มนั้นนั่นเอง เขาค่อยๆ เปิดดูทีละหน้า และอ่านดูส่วนที่บันทึกเกี่ยวกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อย่างละเอียด
เนื้อหาครึ่งแรกของคัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ย่อมพูดถึงวิธีการผนึกตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง และครึ่งหลังกลับพูดถึงข้อพึงสังเกตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวอ่อนกระบี่
ในนั้นระบุอย่างชัดเจนว่า หากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ถูกทำลาย ผู้ฝึกฝนไม่อาจเกาะผนึกตัวอ่อนกระบี่ธรรมดาอย่างตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งได้อีก แต่สามารถใช้วิธีการอื่นๆ โดยผ่านเคล็ดวิชาบางอย่างในการเกาะผนึกเป็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่สองสามแบบที่พบเจอได้น้อยได้
จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่สองสามแบบนี้ ต้องใช้วัสดุกับวิธีการบ่มเพาะที่แตกต่างจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ครั้งที่สองได้
เพียงแต่ตัวอ่อนกระบี่ที่หาได้ยากนี้ วัสดุที่ใช้มีน้อยมาก วัสดุที่ใช้ก็หาได้ยากในโลก บวกกับเวลาที่ทำการบ่มเพาะ ก็นานกว่าตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีคนบ่มเพาะน้อยมาก แต่หลังจากสำเร็จแล้วกลับทำให้กระบี่บินมีอานุภาพอันเหลือเชื่อ
และในคัมภีร์กระบี่ปรานแกร่งก็บันทึกวิชาการหลอมตัวอ่อนกระบี่หายากอย่าง ‘กระบี่เขาพระสุเมรุ’ ไว้ ว่ากันว่าพอใส่มันเข้าไปในกระบี่บินที่แท้จริงแล้ว สามารถทำให้กระบี่บินปรากฏหายๆ ได้ ไปมาไร้รูปเงา สังหารศัตรูได้อย่างไร้ร่องรอย
ส่วนวัสดุที่ใช้เกาะผนึกตัวก่อนกระบี่นี้ กลับต้องใช้วัสดุพิเศษที่มีชื่อว่า ‘ไผ่ว่างเปล่า’ ซึ่งเป็นวัสดุที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
และภาพวาดในคัมภีร์ก็ดูเหมือนกับไผ่เงินที่เขาได้ยินคนผู้นั้นพูดถึงไม่มีผิด
“หรือว่าไผ่เงินท่อนนั้นจะเป็นไผ่ว่างเปล่าจริงๆ?” ก่อนหน้านั้นหลิ่งหมิงเคยอ่านเนื้อหาในเคล็ดวิชาปราณแกร่งไปหลายรอบแล้ว วันนี้หลังจากได้ตรวจสอบไปอีกรอบ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
นึกถึงตอนแรก ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งของเขาต้องระเบิดตัวเองในตอนเผชิญหน้ากับราชาปีศาจสมุทรอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้อานุภาพของวิชาขี่กระบี่ลดลงไปมาก จนดูเหมือนว่าต้องหยุดเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ไว้เพียงเท่านี้
ในเมื่อเขามีสุดยอดคัมภีร์ในการฝึกฝนเส้นทางสายกระบี่อย่างคัมภีร์กระบี่ปราณแกร่ง แต่หากไม่สามารถทำการฝึกฝนได้อย่างแท้จริง เขาจะรู้สึกเสียใจแค่ไหนก็ไม่อาจจรู้ได้
เพราะผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นอย่างเย่เทียนเหมย อาศัยแค่กระบี่ยาวสีเงินเล่มเดียว ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นปลายก็ไม่กล้าต้านทานพลังมหาศาลนี้โดยตรง
ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับทราบว่ามีโอกาสเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงความหวังเล็กๆ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกดีใจมากแล้ว
เพราะยิ่งเขามีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น ก็ยิ่งรับรองได้ว่าตนเองจะเดินบนเส้นทางการฝึกฝนเส้นนี้ได้ไกลมากขึ้น
“หากเกาะผนึกกระบี่เขาพระสุเมรุได้ ต่อให้แบกรับกับอันตรายก็นับว่าคุ้มค่า” หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
……
หลายวันต่อมา
การประลองคัดเลือกตัวแทนเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ที่เป็นข่าวโกลาหลวุ่นวายมาหลายวัน ก็ได้เปิดฉากขึ้นในที่สุด
ในหอที่อยู่ด้านข้างที่ทำการพรรคฉางเฟิง ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมคัดเลือก ต่างก็ทยอยกันมาลงชื่อที่นี่
“พี่หลิ่ว คิดไม่ถึงว่าท่านก็มาด้วย ช่างดีจริงๆ! ไม่ใช่บอกว่าจะเก็บตัวฝึกฝนหรอกหรือ?” พอซินหยวนลงชื่อเสร็จ ก็มองเห็นหลิ่วหมิงโดยไม่คาดคิด ตอนแรกเขาก็รู้สึกตกตะลึงมาก แต่ก็รีบกล่าวด้วยความแปลกใจระคนดีใจ
“เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้ว ยังคงทนแรงยั่วยวนของสามแสนหินจิตวิญญาณไม่ได้” หลิ่วหมิงย่อมไม่พูดความจริงออกมา แต่กลับตอบอย่างคลุมเครือ
“เฮ่อๆ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ คงหนีพวกเราสองคนไม่พ้น” ซินหยวนหัวเราะโดยไม่สนใจคำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของหลิ่วหมิง
ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นหลิ่วหมิงก็กุมมือคารวะก่อนขอตัวจากไป
……
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณเกาะมัจฉาเขียว
ขณะนี้ บนแท่นหินขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายลานประลองในระหว่างยอดเขาเล็กๆ สองลูก มีสังเวียนสองแห่งที่มีขนาดหลายจั้งตั้งอยู่
เฟิงจ้าน ประมุขพรรคฉางเฟิงที่สวมชุดคลุมสีเขียว และใส่ที่ครอบผมหยกสีเขียวกำลังยืนอยู่กลางสังเวียน ด้านหลังของเขามีเฟิงไฉ่กับเว่ยจ้งยืนอยู่
รอบตัวของเขา มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ประจักษ์ชัดว่าการประลองคัดเลือกในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ดูแลพรรค และแขกในพรรคฉางเฟิงพากันมาดูบรรยากาศอันคึกคักเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยังดึงดูดศิษย์ระดับต่ำในพรรคมาเปิดโลกทัศน์ และเข้าร่วมบรรยากาศจำนวนไม่น้อย
ชั่วขณะนั้น ผู้คนในลานประลองเบียดเสียดกันแน่น ดูคึกคักเป็นอย่างมาก
…………………………………