ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 453 จับฉลาก
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองหาต้นตอของเสียง ก็ค้นพบว่าขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ มีวิหคจิตวิญญาณตัวหนึ่งแผดเสียงร้องเข้ามา
มันมีลำตัวยาวราวๆ สองสามจั้ง ขนสีฟ้าปกคลุมเต็มตัว มีหงอนสีแดงเลือดอยู่บนหัว ปีกทั้งสองกระพืออย่างรวดเร็ว จนก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ มีคนราวๆ สิบกว่าคนยืนอยู่บนนั้น
“นิกายวิหคสวรรค์” ตู๋กูอวี้เห็นเช่นนี้ก็พูดโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
เฟิงจ้านเองก็หรี่ตาลงทันที!
พอเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเรือเหาะพุ่งมาจากด้านหลังของวิหคหกยักษ์
เรือลำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พื้นผิวเป็นสีฟ้าอ่อน ปลายทั้งสองมีผลึกหินสีเทาจางๆ ฝังอยู่
พอหญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือเห็นเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หลังจากวิหคยักษ์เหาะมาอยู่เหนือพื้นที่ท้องกระทะแล้ว ชายที่มีจมูกราวกับปากเหยี่ยว ก็เหาะลงมาจากบนนั้น
จากนั้นเรือเหาะที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาถึง และค่อยๆ ร่อนลงพื้น แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำหลายคนเหาะลงมาเช่นกัน
แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำที่นำหน้ามานั้น สวมหมวกสีเทา ใบหน้าหมดจด มีท่าทีอ่อนโยนมาก ซึ่งนางก็คือคนที่พาเจียหลานไปจากเกาะเล็กๆ ในวันนั้น
“อารามชิงสุ่ย!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปากออกมา
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเมี่ยวซินซือไท่กับสหายจากนิกายวิหคสวรรค์นั่นเอง ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่กลุ่มอิทธิพลเดียวกับพวกเรา มาเกาะเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ทำไมกัน?” หญิงแซ่เซียวหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยปากออกมา
“ท่านเซียนเซียว ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะได้ยินว่าพันธมิตรจินอวี้กับพรรคฉางเฟิงทำการเดิมพันต่อสู้กันเอง ลืมไปแล้วหรือว่านิกายวิหคสวรรค์เรา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้? ในเมื่อเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่กันใหม่ ข้าคิดว่านิกายวิหคสวรรค์ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้” แม่ชีชุดดำยิ้มเล็กน้อย และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
“เมี่ยวซินซือไท่ ในเมื่อเป็นจุดเชื่อมต่อของพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ พวกเขาทั้งสองจะแย่งชิงกัน ก็ไม่มีอะไรที่พอจะวิจารณ์ได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายวิหคสวรรค์นะ เหตุผลของซือไท่ดูไม่หนักแน่นพอ” นักพรตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ข้าไม่คิดว่ามีตรงไหนที่ไม่หนักแน่นพอ! หากท่านทั้งสองไม่ยอมรับปากล่ะก็ ไม่ว่าผลการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นเช่นไร อารามชิงสุ่ยข้าก็จะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน” แม่ชีถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงยังคงสงบเช่นเดิม แต่คำพูดข่มขู่ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“สหายคิดว่าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะตอบตกลงงั้นหรือ?” หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหอท่านแล้ว ในเมื่ออารามเราเป็นเบื้องบนของนิกายวิหคสวรรค์ ย่อมต้องช่วยพวกเขาเรียกร้องความยุติธรรม หรือสหายคิดว่าทางอารามเราจะยอมรับเรื่องนี้โดยปริยายหรือ?” แม่ชีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ สำนวนการพูดคมกริบมาก
หญิงแซ่เซียวมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และไม่อาจกล่าวปฏิเสธออกมาได้จริงๆ ทันใดนั้น นางก็หันไปถามนักพรตใบหน้าซึมกระทือด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“สหายสือ ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
“ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ท่านเซียนเซียวตัดสินใจได้เลย” นักพรตวัยกลางคนแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้าเฒ่าจิ้งจอกนี่!” พอหญิงเซียวได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ
คำพูดลอยๆ ของฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับว่าให้นางเผชิญหน้ากับความกดดันของอารามชิงสุ่ยเพียงผู้เดียว
ถ้าจะให้ทางด้านแม่ชีเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ก็จะมีศัตรูแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ในใจนางย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านวางใจได้ เพียงแค่นิกายวิหคสวรรค์ได้เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ข้าจะสาบานในนามของอารามชิงสุ่ยว่า ไม่ว่าผลลัพธ์การต่อสู้จะออกมาเป็นรูปแบบใด ก็จะไม่มีข้อคัดค้านใดๆ นอกจากนี้เพื่อความยุติธรรม สหายหยวนของนิกายวิหคสวรรค์ก็ยอมใช้พื้นที่หนึ่งในสามเป็นของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย” แม่ชีกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่ผิด! เป็นอย่างที่ซือไท่พูด หากพวกท่านทั้งสองมีความมั่นใจจริงๆ ก็ลองเอาเกาะเปล่าเปลี่ยวสองสามแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายวิหคสวรรค์ของเราไปให้ได้สิ” ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อซือไท่พูดเช่นนี้ หากข้าไม่ยินยอมก็คงถูกหาว่าเป็นคนเลวแล้ว” หญิงแซ่เซียวเงียบไปพักใหญ่ๆ จากนั้นก็กัดฟันตอบรับในที่สุด
นักพรตสือแห่งอารามจื่อเซียวกลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด และก็พยักหน้าตอบรับอย่างเงียบๆ
แม้เฟิงจ้านกับตู๋กูอวี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเช่นกัน แต่ต่อหน้าหนึ่งในสิบนิกายขนาดใหญ่ของทะเลหนานไห่ กลับไม่สามารถแทรกแซงการตัดสินใจในครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้ากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ
หลังจากแม่ชีกับหญิงแซ่เซียวและคนอื่นๆ เจรจาต่อรองกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินการต่อสู้จากสองฝ่ายให้เป็นสามฝ่าย และหมุนเวียนกันต่อสู้
“สหายหยวน ไม่ทราบว่านิกายวิหคสวรรค์ส่งผู้ใดเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้?” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะแล้วพลันโบกมือไปยังวิหคยักษ์ที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นศิษย์ชายหญิงที่สวมชุดนิกายวิหคสวรรค์จำนวนสิบกว่าคน ก็ค่อยๆ เหาะลงมาด้านล่าง และผู้ที่ร่วมการประลองเป็นหนึ่งหญิงกับสองชาย
ชายหนึ่งในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ผมแดงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนอีกคนกลับผอมแห้งราวกับท่อนไม้ หน้าตาอัปลักษณ์มาก
ส่วนหญิงสาวกลับสวมชุดสีฟ้า ใบหน้างดงาม ดวงตาทั้งคู่ใสแจ๋วไร้ตำหนิ
พอหลิ่วหมิงกับซินหยวนเห็นใบหน้าของหญิงสาวชุดสีฟ้าอย่างชัดเจน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงในทันที
หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นใด นางคือเจียหลานที่พลัดจากกันหลังจากออกจากจุดตัดมิตินั่นเอง!
ไม่เจอกันหลายเดือน รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เสน่ห์บนตัวนางดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ เพียงแต่ดวงตาแวววาวทั้งคู่ ยังคงแผ่พลังยั่วยวนที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหญิงสาวที่ราชาปีศาจสมุทรพามาถึงมาอยู่ที่นั่นได้? ทั้งยังเข้าร่วมนิกายวิหคสวรรค์ด้วย?” ซินหยวนส่งเสียงไปให้หลิ่วหมิงเบาๆ
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เดิมทีคิดว่าเวลาที่นางข้ามจุดตัดมิติแตกต่างกับพวกเรา สถานที่ก็ควรจะห่างไกลกันมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอกันเร็วเช่นนี้” หลิ่วหมิงมองดูเจียหลานทีหนึ่ง และส่งเสียงกลับไปให้ซินหยวน
ซินหยวนได้ยินก็เงียบไปขณะหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ดูท่าพี่ซินก็คงคิดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อเจียหลานถูกส่งมาเขตทะเลหนานไห่ ถ้าอย่างนั้นราชาปีศาจสมุทรก็อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งของเขตทะเลแห่งนี้ หากเจอกับเขาเข้าจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน” พอหลิ่วหมิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนของซินหยวน เขาก็ส่งเสียงกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขณะนี้ เจียหลานก็มองมาทางผู้คนในพรรคฉางเฟิงพอดี หลังจากกวาดสายตามองผ่านหลิ่วหมิงกับซินหยวนไปแล้ว ก็หยุดนิ่งอยู่ที่ชายหนุ่มชุดดำครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น กลับเหลือบไปเห็นว่าเว่ยจ้งที่อยู่ไม่ไกล ก็จ้องมองหญิงสาวงดงามของฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาเร่าร้อน
ความงดงามของเจียหลาน ดึงดูดศิษย์นิกายห้าวิญญาณผู้นี้โดยสมบูรณ์ จนไม่อาจละสายตากลับมาได้
เฟิงไฉ่เห็นเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
ไม่เพียงแค่เพียงแค่ชายหนุ่มชุดดำเท่านั้น ศิษย์คนอื่นๆ ที่จิตไม่แข็งแกร่งพอ ก็ถูกความงามของนางดึงดูดจนต้องแอบมองอยู่ไม่หยุด
“ร่างละเมอฝันนี้ สำหรับผู้ที่มีการฝึกฝนอ่อนแอ และผู้ที่ไม่ทันได้ระวังแล้ว ย่อมมีผลลัพธ์น่าตกใจยิ่งนัก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมาเบาๆ
หลังจากประมุขนิกายวิหคสวรรค์ประกาศว่า ศิษย์ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ก็คือเจียหลาน กับชายสองคนที่อยู่ด้านข้างแล้ว นักพรตแซ่สือ หญิงแซ่เซียว และแม่ชี ก็พากันกันทำการสาบาน เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่กลับคำใดๆ หลังจากผลลัพธ์เดิมพันการต่อสู้ปรากฏออกมา
“สหายสือ ท่านเซียนเซียว ในเมื่อทำการสาบานกันแล้ว ศิษย์ของพวกเราที่เข้าร่วมก็มีค่อนข้างมาก กฎการประลองที่เป็นรูปธรรมก็ควรจะกำหนดกันใหม่” หลังจากแม่ชีชุดดำคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว นางก็กล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! สหายเมี่ยวซินมีข้อเสนออะไรก็พูดมาได้เลย” หญิงแซ่เซียวเห็นแม่ชีทำการสาบานแล้ว นางก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
นักพรตแซ่สือได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่มองไปยังแม่ชีด้วยสีหน้าซึมกระทือเช่นเดิม
“ในเมื่อท่านเซียนเซียวพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว ข้าเสนอให้ผู้เข้าร่วมเดิมการต่อสู้ทั้งเก้าคน จับฉลากพร้อมกัน นอกจากกลุ่มอิทธิพลเดียวกันแล้ว พอจับฉลากได้หมายเลขเดียวกัน ก็ทำการต่อสู้ในทันที ผู้พ่ายแพ้จะถูกคัดออก ผู้ชนะเข้ารอบต่อไป จากนั้นจะจับฉลากอีกครั้ง หากผู้ใดไม่มีคู่ต่อสู้ก็เข้ารอบต่อไปเลย จนกระทั่งเหลือแค่กลุ่มอิทธิพลเดียว หรือผู้ชนะเพียงคนเดียว” แม่ชีเมี่ยวซินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เป็นวิธีการที่ดี” หญิงแซ่เซียวคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพยักหน้าทันที
นักพรตสือย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“ในเมื่อท่านทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก็เริ่มกันเถอะ!” แม่ชีเมี่ยวซินสั่งการลงไปทันที นางสั่งให้คนทำแผ่นไผ่ที่มีความยาวพอๆ กันมาเก้าอัน บนนั้นเขียนเลขหนึ่งถึงสี่ไว้ โดยแบ่งตัวเลขเป็นสี่กลุ่ม ส่วนอันสุดท้ายเป็นแผ่นไผ่เปล่าๆ
สุดท้ายแม่ชีก็สะบัดแขนเสื้อหยิบบาตรสีเงินที่มีลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมอยู่ออกมาใบหนึ่ง และนำไผ่ทั้งเก้าอันใส่ลงไปในนั้น
“บาตรนี้ป้องกันไม่ให้พลังจิตเข้าไปด้านในได้ ทุกสิ่งล้วนถูกฟ้ากำหนดมา” แม่ชีเมี่ยวซินค่อยๆ อธิบายออกมา
พูดจบนางก็ทำท่ามือ และชี้นิ้วลงบนบาตรเงิน ทันใดนั้น แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา
หญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านข้าง ปล่อยพลังจิตออกไปทันที หลังจากทดลองดูก็ค้นพบว่าไม่สามารถนำจิตเข้าไปในนั้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ
“ประมุขเฟิง ประมุขตู๋กู ประมุขหยวน ให้ศิษย์ที่เข้าร่วมต่อสู้มาจับฉลากเถอะ!” แม่ชีเมี่ยวซินกล่าวออกมา จากนั้นก็โยนบาตรออกไปเบาๆ และมันก็ลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
ผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ทั้งเก้าคนเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ เดินมาด้านหน้าด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
ขณะที่เดินไปนั้น หลิ่วหมิงก็มองไปทางพันธมิตรจินอวี้อย่างอดไม่ได้
และผู้ที่เดินออกมาคนแรกก็คือชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ที่หลิ่วหมิงให้ความสนใจในตอนแรก ส่วนอีกสองคนก็เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กับบัณฑิตชุดคลุมสีทอง
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูคนทั้งสาม ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็อยู่ระดับของเหลวขั้นกลางเหมือนกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นกลับมองไม่เห็นระดับการฝึกฝนได้อย่างชัดเจน คิดว่าคงจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
ต่อมา แม่ชีเมี่ยวซินก็ให้คนนิกายวิหคสวรรค์ทั้งสามคนออกมาจับฉลากก่อน
ชายผอมแห้งผู้นั้นยื่นมือขวาเข้าไปในบาตรเงิน และหยิบไผ่สีเขียวออกมาหนึ่งอัน บนนั้นมีหมายเลข ‘สาม’ เขียนอยู่ จากนั้นก็หัวเราะแล้วเดินออกไปด้านข้าง
ต่อมา ชายฉกรรจ์ผมแดงก็ยื่นมือไปหยิบไผ่ที่เขียนหมายเลข ‘สี่’ ไว้ จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ ชายผอมแห้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ขณะที่ถึงตาเจียหลานนั้น เมื่อนางยื่นมือไปหยิบออกมา ก็ได้ไผ่อันที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่
“หมายเลขสองหรือ?” เว่ยจ้งซุบซิบเบาๆ แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เลว ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่เฟิงจ้านที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ กลับมีสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมา หญิงแซ่เซียวกลับจ้องมองเฟิงจ้านอย่างยิ้มน้อยยิ้ม ดวงตาฉายแววเย้ยหยันออกมา
แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย หลังจากมองดูชายหนุ่มชุดดำทีหนึ่งแล้ว ถึงประกาศออกมาอย่างราบเรียบ
“ต่อไปให้คนของพรรคฉางเฟิงมาจับฉลากได้”
พอตู๋กูอวี้เห็นว่าแม่ชีเมี่ยวซินเอาพันธมิตรจินอวี้ไว้หลังสุด เขาก็เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่กลับไม่พูดอะไรมาก
…………………………………