ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 46 เกาะสยบมังกร
พอหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินแบบนี้ ต่างก็จ้องมองเรือไม้ที่อยู่ด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว
นี่คืออาวุธจิตวิญญาณที่เล่าลือกัน ทั้งยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่เหาะได้และหาได้ยากมาก นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็น
จูชื่อเรียกพวกเขา แล้วก็ขึ้นเรือไปกับนักพรตจง
การเดินทางครั้งนี้กุยหรูฉวนไม่ได้ไปด้วย เพราะต้องอยู่ดูแลเขาเก้าทารก
ครู่ต่อมา หลังจากที่จูชื่อ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือเหาะอย่างระมัดระวังแล้ว จูชื่อทำท่ามือ ม่านแสงสีเขียวก็ปรากฏออกมาแผ่คลุมเรือทั้งลำไว้
จากนั้นจูชื่อร่ายคาถาอีกหลายบท ทำให้เรือค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า
หลังเขาเปล่งคำว่า “ไป” ออกมา เรือไม้สั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างผู้ที่อยู่บนเรือซวนเซจนเกือบล้มลง
หลิ่วหมิงส่งพลังไปที่เท้า จนสามารถกลับมายืนมั่นคงได้ และมองไปยังม่านแสงสีเขียว
ถ้ามองด้วยตาเปล่า เมฆขาวแต่ละก้อนที่อยู่นอกเรือต่างก็ลอยถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เทือกเขาสูงก็กลายเป็นจุดสีเขียวเล็กๆ จนมองไม่ออกว่าเป็นอะไร
เรือเหาะหยกจิตวิญญาณลอยสูงจากพื้นหลายพันจั้ง และก็เหาะไปด้วยความเร็วที่พวกเขาคาดไม่ถึง
“แม้แต่เรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าวันกว่าจะไปถึงที่หมายได้ ช่วงระหว่างเวลานี้นอกจะหาสถานที่พักชั่วคราว พวกเจ้าก็พักผ่อนอยู่บนเรือเถอะ” จูชื่อกล่าวเสร็จก็เดินไปยืนนิ่งๆ อยู่บนหน้าดาดฟ้าเรือ ควบคุมเรืออย่างจดจ่อ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ รับปากเสร็จ ก็พานั่งขัดสมาธิลงไป
ส่วนนักพรตจงนั้น ตั้งแต่ขึ้นเรือมาก็นั่งอยู่มุมๆ หนึ่งทางด้านหลังของเรือ นางหลับตาลงโดยไม่สนใจสิ่งรอบด้าน
หลิ่วหมิงไม่ได้ฝึกฝนพลังจริงๆ แต่หลังจากที่มือทั้งสองวางบนเข่า อักขระต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในสมองเขา อักขระนั้นก็คือเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่มีไม้หอมสงบจิตคอยช่วย แต่ความพยายามเมื่อหลายวันก่อนกลับทำให้เขาเข้าใจเคล็ดวิชานี้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แค่ทำความเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ก็สามารถหาปีศาจที่เหมาะสมต่อนำการมาฝึกให้เชื่องได้แล้ว
นี่เป็นวิธีการสำคัญในการต่อสู้กับศัตรูของศิษย์นิกายปีศาจ
อวี๋เฉิงที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ผมสีแดงพลิ้วตามสายลม ในขณะเดียวกันบนร่างก็มีไอร้อนแผ่ออกมา
มันไม่เหมือนกับการฝึกวิชาพื้นฐาน แต่เหมือนกับกำลังฝึกเคล็ดวิชาบางอย่างอยู่
ส่วนเซียวเฟิงนั้น ร่างของเขาถูกแสงสีขาวอ่อนคลุมอยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังฝึกเคล็ดวิชา ‘ภูติพฤกษา’ ที่นักปราชญ์กุยถ่ายทอดให้
ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางอย่างเขากับหลิ่วหมิงนั้น ต้องเพิ่มเสถียรภาพในระดับนี้ให้มากหน่อย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เรือเหาะหยกจิตวิญญาณกลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพาพวกเขาทั้งห้าไปยังท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก
ในระหว่างการเดินทาง นอกจากแต่ละคืนจะหาสถานที่โล่งเปลี่ยวพักผ่อนแล้ว เวลาอื่นๆ ล้วนอาศัยอยู่บนเรือ
ตลอดการเดินทางไม่พบเจอกับปัญหาใดๆ เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ในที่สุดเรือก็เหาะมาถึงริมทะเลสาบที่กว้างสุดลูกหูลูกตา เรือเหาะผ่านไปยังใจกลางทะเลสาบอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้เรือเหาะอยู่สูงจากพื้นผิวน้ำไม่ถึงร้อยกว่าจั้ง แม้แต่ผิวน้ำด้านล่างที่ถูกลมเย็นพัดเป็นระลอก ก็สามารถมองเห็นเงาของผู้ที่อยู่บนเรือได้อย่างชัดเจน
ครู่ต่อมา พวกเขาก็มองเห็นเกาะสีเขียวดำด้านหน้าอยู่รำไร
“เอาล่ะ ในที่สุดก็มาถึงเกาะสยบมังกรแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะลงกันแล้ว” พอจูชื่อเห็นเกาะที่อยู่ด้านหน้าก็รีบลุกขึ้นกล่าว
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ขานรับ แล้วค่อยๆ ละมือจากการฝึก จากนั้นจึงลุกขึ้นมา
ครู่เดียว เรือเหาะหยกจิตวิญญาณที่ถูกแผ่คลุมด้วยม่านแสงสีเขียวก็มาถึงด้านบนของเกาะสีเขียวดำ และหยุดอยู่บนนั้นทันที
หลิ่วหมิงกวาดสายตาลงไปด้านล่าง เห็นกลุ่มหินสีขาวเทาที่อยู่อย่างสะเปะสะปะ และด้านล่างนั้นเหมือนมีเงาร่างของคนสิบกว่าคนเคลื่อนไหวอยู่
พอเรือเหาะหยกจิตวิญญาณสั่นไหว ม่านแสงสีเขียวก็สลายไปทันที แล้วค่อยๆ เหาะลงด้านล่าง
“ฮ่าๆ สหายจู สหายจง ในที่สุดพวกเจ้าก็มา พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว วันนี้ท่านทั้งสองยังมีท่วงทีที่สง่างามเช่นเดิม” พอเรือเหาะลงพื้นผู้อาวุโสผมสีขาวสีหน้าอ่อนโยนผู้หนึ่ง ก้าวออกมาจากกลุ่มคนสิบกว่าคนนั้น และกล่าวทักทายจูชื่อกับนักพรตจง
“สหายต้าจื้อก็ดูมีราศีไม่ใช่น้อย แต่ว่าทำไมถึงได้พาศิษย์มามากมายเช่นนี้ หรือว่าพวกเขาทุกคนต่างก็เข้าร่วมประลองด้วย?” จูชื่อนำหน้าเดินลงจากเรือก่อน สายตาของเขากวาดมองผู้คนด้านหน้าแล้วกล่าวขึ้นอย่างเฉยชา
“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อได้ตกลงกันแล้วว่าจะประลองแค่สามรอบ พวกเราทั้งสองย่อมนำศิษย์เข้าประลองแค่สามคนเท่านั้น ส่วนศิษย์คนอื่นๆ อยู่เฝ้าดูผลจิตวิญญาณตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว ถึงแม้จะไม่มีความดีความชอบ แต่ก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่” ผู้อาวุโสผมสีเทาสวมใส่ที่เก็บผมที่ทำจากไม้ กล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ฮึ! ทำไมข้าจำได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่กุยก็คิดจะให้ศิษย์อยู่เฝ้าด้วยเหมือนกัน แต่สหายทั้งสองหาเหตุผลต่างๆ นานามาปฏิเสธ การฝึกฝนบริเวณต้นจิตวิญญาณนี้ได้ผลดีกว่าการกินข้าวจิตวิญญาณทั่วไป ทั้งยังได้พลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ด้วย ดูศิษย์ของพวกเจ้าแต่ละคนคงจะมีพลังเวทย์ก้าวหน้าไปไม่น้อย” นักพรตจงกล่าว
ตอนนี้เขากำลังพาหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เดินลงจากเรือเหาะเหมือนกัน
“สหายท่านกล่าวผิดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกข้าจะรับปากแบ่งผลจิตวิญญาณให้พวกท่านได้อย่างไร ปีนั้นถ้ำที่นักพรตสยบมังกรได้ทิ้งไว้ถูกพวกเราสองคนค้นพบก่อน ต่อมาก็ได้ช่วยกันเปิดผนึกปากถ้ำ ช่างเถอะ! เรื่องปีก่อนจะเอามาพูดทำไม พวกเราต่างก็นับว่ารู้จักกันมานานหลายปี คงไม่แตกคอกันเพราะเรื่องผลจิตวิญญาณหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นสหายจูก็ตอบรับการต่อสู้เพื่อแบ่งผลจิตวิญญาณแล้ว เห็นได้ชัดว่าสาขาของท่านก็คงมีความมั่นใจบ้างแหละ ใช่สิ ข้าได้ยินมาว่าพี่กุยรับศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณมาคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าคือท่านใด” ผู้อาวุโสผมขาวดูเหมือนจะไม่โกรธเลยแม่แต่น้อย แต่กลับกล่าวคลี่คลายไปสองสามประโยค และกวาดสายตามองไปทางพวกหลิ่วหมิง
“สหายต้าจื้อกล่าวได้ถูกต้อง เอาเรื่องเก่ามาพูดก็ไม่มีประโยชน์ เซียวเฟิง มาคารวะผู้อาวุโสต้าซั่งกับผู้อาวุโสต้าจื้อหน่อย”
“ศิษย์คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง” เซียวเฟิงรีบก้าวออกมาข้างหน้าโค้งคารวะอย่างไม่รีรอ
“อือ! เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้วนี่ ช่างเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ” ต้าซั่ง ต้าจื้อ พินิจดูเซียวเฟิงชั่วครู่ก็กล่าวชมออกมาอย่างอดไม่ได้
จูชื่อโบกมือให้เซียวเฟิงถอยออกไป และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าเองก็ได้ยินมาว่า พิธีเปิดจิตวิญญาณเมื่อครั้งก่อนท่านทั้งสองก็ได้รับศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีเลิศมาผู้หนึ่ง ศิษย์ผู้นี้มีพรสวรรค์หนึ่งจิตหลายพลัง ไม่ทราบว่าจะให้ข้าพบเขาได้หรือไม่”
“หนึ่งจิตหลายพลัง?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ใจเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านทันที
“อ้อ! พี่จูพูดถึงอวี่เอ๋อร์สินะ อวี่เอ๋อร์ ออกมาพบผู้อาวุโสจากสาขาเก้าทารกทั้งสองท่านหน่อย” ต้าจื้อได้ยินแล้วก็ยิ้ม และกวักมือเรียกศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง
เด็กหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงิน ใบหน้าหม่นหมอง สีหน้าไร้ความรู้สึก ทำความเคารพจากที่ไกลๆ แล้วเดินออกจากกลุ่มไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
ทำให้จูชื่อและคนอื่นๆ ตกใจเล็กน้อย
“สหายทั้งสอง อย่าถือสาเลยนะ เจ้าเด็กจินอวี่คนนี้เติบโตขึ้นในเขาด้วยตัวคนเดียว ต่อมาก็ทุ่มเทแรงใจไปกับการฝึกฝน เลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกทางโลก ไม่ได้มีเจตนาเสียมารยาทกับท่านทั้งสองแต่อย่างใด” ผู้อาวุโสผมขาวรีบกล่าวอธิบาย แต่จากน้ำเสียงของเขาใครก็ดูออกว่าเขาโปรดปรานศิษย์ผู้นี้มาก
จูชื่อได้ยินก็คิ้วขมวดเข้าหากัน ครู่ต่อมาถึงยิ้มกล่าวออกมา
“ดูเหมือนว่าพรสวรรค์หนึ่งจิตหลายพลังของเด็กคนนี้ คงตรงกับความต้องการของทั้งสองท่านจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่แก้ต่างให้เช่นนี้ ช่างเถอะ! ข้ากับศิษย์น้องก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณมาหลายปีแล้ว จะคิดเล็กคิดน้อยกับผู้น้อยทำไมกัน พวกเรารีบไปดูต้นผลจิตวิญญาณนั้นก่อน แล้วค่อยมาดำเนินการประลองตัดสินดีไหม?”
“อยากดูต้นจิตวิญญาณล่ะก็ ย่อมไม่มีปัญหา เย่เฟิง เจ้านำทางไป” ดูเหมือนต้าจื้อจะตอบรับอย่างไม่ลังเล และรีบสั่งออกไปทันที
ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีรีบก้าวออกมาขานตอบรับ แล้วก็หมุนตัวพาเดินไปยังกองหินขนาดใหญ่บางแห่ง
จูชื่อเห็นเช่นนี้ก็พลิกขึ้นมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์สีเหลืองอ่อนผืนหนึ่งเปล่งแสงออกมา และแกว่งมันไปทางเรือเหาะหยกจิตวิญญาณแล้วแสงสีขาวก็พ่นออกมา
เรือเหาะหยกจิตวิญญาณเลือนลางหายไปกับแสงสีขาวนั้น
จูชื่อถึงได้เก็บยันต์คืนกลับมา เขาพาหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน
พอเดินเข้าไปใกล้หน้ากองหินใหญ่ที่ดูสูงสิบกว่าจั้ง ชายหนุ่มที่นำทางยกมือข้างหนึ่งขึ้น ร่ายคาถาแล้วตีลงไปบนกองหินนั้น
หลังคลื่นพลังแปลกประหลาดพุ่งออกไป กองหินที่อยู่ด้านหน้าก็ลับหายไปกลางอากาศ และมีห้องหินขนาดใหญ่ที่ดูเก่าทรุดโทรมเข้ามาแทนที่
ด้านข้างของห้องหินยังมีเสาหินขนาดสูงใหญ่ที่ชำรุดทุดโทรมอยู่หลายต้น ผิวภายนอกมีสีเหลืองซีด และมีลวดลายที่เลือนลางจนทำให้มองเห็นไม่ชัด ดูเหมือนว่ามันจะมีมานานมากแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าไม่ได้มาหลายปี สถานที่แห่งนี้ยังเหมือนเดิมกับตอนแรกที่เรามาเปิดผนึก” หลังจากจูชื่อเห็นห้องหินก็กล่าวออกมา
“เป็นเรื่องธรรมดา ปีนั้นเราสองคนกำชับศิษย์ที่เฝ้าดูแลที่นี่เป็นพิเศษว่าไม่ให้ทำลายสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น” ต้าจื้อตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
“ฮึ! ดูเหมือนสหายยังจะไม่แล้วใจกับสิ่งของชิ้นนั้นสินะ” นักพรตจงได้ยินกลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“ตามผลตรวจสอบของพวกเราแต่ก่อน มีความเป็นไปได้ว่าที่นี่เป็นห้องลับที่นักพรตผู้สยบมังกรได้สร้างไว้เป็นครั้งสุดท้าย ว่าตามเหตุผล เจ้าของสิ่งนั้นคงจะซ่อนอยู่ในสถานที่นี้อย่างแน่นอน” ครั้งนี้ผู้อาวุโสผมขาวลังเล็กครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม
“เฮ่อๆ มันไม่ง่ายที่จะกล่าวเช่นนี้ ครั้งก่อนถึงแม้พวกเราจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากที่นี่ไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยค้นพบซากกระดูกของนักพรตสยบมังกร บางทีที่นี่อาจเป็นแค่ห้องลับที่ค่อนข้างสำคัญของผู้อาวุโสท่านนี้เท่านั้น ทั้งยังผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั้งสองค้นหาที่นี่ไปตั้งกี่รอบแล้ว ถ้าหากมีสิ่งของล้ำค่าอะไรซ่อนอยู่จริง ทำไมถึงหาไม่พบกันล่ะ” จูชื่อกล่าวอย่างเฉยชา
……………………………………….