ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 462 การต่อสู้รอบสุดท้าย (2)
“ฟิ้ว!” หอกยาวพุ่งผ่านอากาศ!
หัวหอกแผ่ไอเย็นสะท้านอันน่าตกใจออกมา มันดูแหลมคมเป็นอย่างมาก จากนั้นก็แทงลงบนม่านแสงห้าสีของเจียหลานอย่างรุนแรง
ม่านแสงสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีทีท่าจะไม่มั่นคงขึ้นมา
เจียหลานรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางรีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยพลังเวทใส่ม่านแสงทันที
แสงห้าสีหมุนวนอยู่บนม่านแสงชั่วขณะหนึ่ง พริบตาเดียวก็สงบขึ้นมา และดีดหอกยาวสีทองจนกระเด็นกลับไป
อีกด้านหนึ่ง บริเวณรอบๆ ตัวหลิ่วหมิงมีเงาร่างจำนวนมากก่อกวนอยู่ เขารู้สึกแค่ว่าศีรษะหนักอึ้ง ทันใดนั้นจิตรับรู้ก็เริ่มง่วงเล็กน้อย แม้ว่าจะทำการป้องกันไว้ก่อนแล้ว แต่ท่ามือก็เริ่มคลายลง เขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แม้แต่นิ้วก็ไม่ยอมขยับ และยิ้มแปลกๆ ออกมา
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
วิชามายาที่นางแสดงออกมา เทียบกับที่ต่อสู้กับเขาเมื่อวานแล้ว มันรุนแรงกว่ามาก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีกว่ามาก สายตาที่มองไปยังหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ
เฟิงจ้านที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล กลับไม่แสดงสีหน้าร้อนใจออกมา แต่สายตากลับมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ทันใดนั้นก็กัดลิ้นในทันที ทำให้ตนเองได้สติกลับมาอีกครั้ง และพอพลิกฝ่ามือ โซ่เล็กๆ สีเงินขนาดชุ่นกว่าๆ ที่มีลวดลายประทับอยู่ก็ปรากฏออกมา
มันคือโซ่ตรวนสะกดวิญญาณนั่นเอง!
ภายใต้การกระตุ้นพลังเวท ลวดลายบนโซ่เล็กๆ ก็สว่างขึ้น และส่งเสียงดังออกมา จากนั้นก็มีอักขระปรากฏออกมาหนึ่งตัว และจมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นเฉียบภายในร่าง จากนั้นมันก็รวมตัวเป็นกระแสลมเย็นไหลรินไปในทะเลจิตรับรู้ ทำให้เขาสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว ดวงตากลับมาแจ่มใสเป็นปกติ
โซ่ตรวนสะกดวิญญาณนี้ควบคุมวิชาละเมอฝันได้ดีเกินความคาดหมายยิ่งนัก!
หลิ่วหมิงกวักมือด้วยความดีใจ หอกยาวสีทองที่พุ่งกลับมากลายเป็นเม็ดทรายลอยวนอยู่ตรงหน้า
เจียหลานกระตุ้นท่ามือติดต่อกัน แต่กลับค้นพบว่าไม่สามารถกระตุ้นเงาร่างให้สั่นสะเทือนจิตรับรู้หลิ่วหมิงได้เลยแม้แต่น้อย นางจึงรู้สึกแปลกใจมาก
นางชี้มือข้างหนึ่งไปทางหลิ่วหมิงทันที จากนั้นลูกประคำสีทองก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองพุ่งยิงออกไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยกมือทั้งสองขึ้นบนอากาศ และปล่อยพลังออกไป
ภายใต้การรวมตัวของทรายทองคำ มือยักษ์ขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็พุ่งออกไป และปะทะลงบนลูกประคำ
“ตู๊ม!”
แสงห้าสีบนลูกประคำหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานกำปั้นยักษ์สีทองไว้ได้
ทั้งสองหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนว่ามันจะร้ายกาจพอๆ กัน
เจียหลานเปลี่ยนท่ามือในทันที และชี้ไปบนอากาศอีกครั้ง
ลูกประคำพร่ามัวหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา จุดแสงสีทองเปล่งประกายเหนือศีรษะหลิ่วหมิง และลูกประคำก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง เพียงแค่มันม้วนตัว ก็กลายเป็นแสงสีทองปกคลุมหลิ่วหมิงไว้
เหตุเกิดอย่างฉับพลันจนหลิ่วหมิงไม่ทันได้ตั้งตัว เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามีพลังกดดันไร้รูปปกคลุมไปทั่งร่าง ค่ายกลอักขระสีทองปรากฏอยู่ใต้เท้ารำไร อักขระสีทองแต่ละตัวโผล่ออกมาจากในนั้น และหมุนวนขึ้นมาตามเสียงภาษาสันสกฤต ทำให้เขารู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงหลุดปากออกมา จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทควบคุมกำปั้นยักษ์ที่กลายร่างมาจากทรายทองคำให้หมุนวนหนึ่งรอบ และโจมตีลงบนค่ายกลสีทองที่อยู่ด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกัน ไอหมอกดำก็พุ่งออกจากร่าง และแยกตัวเป็นสองสาย สายหนึ่งกลายเป็นมังกรดำ อีกสายหนึ่งกลายเป็นพยัคฆ์ดำ
ทั้งสองหมุนวนรอบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขา
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็คว้ามือทั้งสองไปกลางอากาศ ทันใดนั้นไอดำสองกลุ่มก็หมุนวนออกไป และต่างก็กลายเป็นมุกกลมๆ ซึ่งก็คือมุกพลังวารีสองเม็ดนั้นเอง
เขาเพียงแค่ฝ่าถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน มุกพลังวารีทั้งสองก็รวมเป็นหนึ่ง และกำมันไว้แน่น จากนั้นก็โจมตีไปยังม่านแสงสีทอง
เสียงมังกรคำรามดังก้องขอบฟ้า ทำให้พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ฝูงชนที่อยู่ในหุบเขาเพียงแค่รู้สึกว่าใบหูสั่นสะเทือน และมองเห็นเงามังกรดำคาบมุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่งพุ่งออกจากค่ายกล หลังจากค่ายกลที่กลายร่างมาจากลูกประคำ ถูกกำปั้นยักษ์สีทอง และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่มีมุกพลังวารีคอยช่วยโจมตี มันก็พังทลายลงมา
จากนั้นเงาร่างมนุษย์ที่มีไอดำลอยวน ก็ปรากฏออกมาท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังกึกก้อง และพุ่งเข้าหาเจียหลาน
และในระหว่างทาง เงามังกรดำก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งกลับมารวมเป็นหนึ่งกับเงาร่างมนุษย์
ภายใต้ความตกใจ เจียหลานพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงาร่างพร่ามัวจำนวนมาก
หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป ภายใต้การเพิ่มพลังของโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ ทำให้มันค้นหาตำแหน่งร่างที่แท้จริงของเจียหลานได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแค่อึดใจเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าร่างที่แท้จริงของเจียหลาน และปล่อยกำปั้นข้างหนึ่งออกไป
ดูเหมือนเจียหลานจะเตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว พอนางชี้ไปทางหลิ่วหมิง ลูกประคำสีทองเส้นนั้นก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของหลิ่วหมิงอย่างน่าประหลาดใจ และร่วงลงมาห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้อย่างรวดเร็ว
พอมองดูอย่างละเอียด บนผิวลูกประคำมีรอยแตกร้าวอยู่!
คิดว่าการโจมตีอย่างรุนแรงในก่อนหน้านั้น คงทำให้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เกิดความเสียหายขึ้นมา
“เก็บ!”
เจียหลานชี้มือออกไปอีกครั้ง ลูกประคำสีทองเปล่งประกาย แต่ร่างหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
สีหน้าเจียหลานเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกหนักตรงไหล่ ฝ่ามือที่ถูกปกคลุมด้วยไอดำกดอยู่บนไหล่อย่างไร้สุ้มเสียง
นางรีบทำท่าหลบด้วยความตกใจ มีเสียงดัง “ฟู่!” บนไหล่ จากนั้นคลื่นสั่นสะเทือนอันน่าตกใจก็ก่อตัวเป็นชั้นจำกัด และควบคุมร่างของนางไว้
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงมาปรากฏตัวตรงหน้าของนางอย่างน่าประหลาดใจ
เจียหลานย่อมทั้งตกใจทั้งโมโห นางทำท่ามืออย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถกระตุ้นพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงดีดนิ้วออกไป ก็มีวิชาบางอย่างจมเข้าไปในร่างเจียหลาน
ขณะนี้ นางไม่สามารถกระตุ้นพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
“สหายมากความสามารถจริงๆ การต่อสู้ในครั้งนี้ข้ายอมแพ้แล้ว” พอเจียหลานเห็นว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว ก็เอ่ยปากยอมรับแต่โดยดี สีหน้านางกลับมาสงบอีกครั้ง
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา พอมือข้างหนึ่งพร่ามัว ก็มีวิชากระพริบผ่านไปปลดชั้นจำกัดบนร่างของนาง จากนั้นก็โบกมือเรียกทรายทองคำร่วงกลับเข้ามาในแขนเสื้อ
เจียหลานมองดูหลิ่วหมิงตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากค่ายกล และตรงไปยังอารามชิงสุ่ยทันที
ประจักษ์ชัดว่าชัยชนะของหลิ่วหมิง เหนือความคาดหมายของผู้คนจำนวนมาก
แม่ชีชุดดำไม่ได้ประกาศผลเดิมพันการต่อสู้ออกมา แต่กลับประนมมือสวดมนต์เบาๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด
นักพรตแซ่สือขมวดคิ้วจ้องมองหลิ่วหมิง และแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ภาพมังกรพยัคฆ์ทมิฬที่พุ่งออกจากตัวหลิ่วหมิง และโจมตีค่ายกลแสงพุทธะในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออก
หญิงงดงามแซ่เซียวจากหอเทียนเซียง ก็เผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา และยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ทูตของกลุ่มอิทธิพลทั้งสามต่างก็ไม่ได้เอ่ยปากออกมา ผู้คนที่รับชมการต่อสู้อยู่รอบๆ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และแสดงสีหน้าต่างๆ ออกมา ชั่วเวลานั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
ทั่วทั้งลานต่อสู้เงียบเหงาไปชั่วขณะหนึ่ง
ส่วนเฟิงจ้านย่อมดีใจอย่างถึงขีดสุด!
ตู๋กูอวี้ก็จ้องมองเฟิงจ้านด้วยความเคียดแค้น
สำหรับเขาแล้ว ยอมให้เจียหลานที่เป็นตัวแทนของนิกายวิหคสวรรค์ชนะ ยังดีกว่าให้เจ้าเฒ่าแห่งพรรคฉางเฟิงผู้นี้ชนะ เพราะว่านิกายวิหคสวรรค์ไม่ได้มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์กับพันธมิตรจินอวี้มากนัก
และหากครั้งนี้พรรคฉางเฟิงได้สายแร่หินหยกกับพื้นที่หนึ่งในสามของสองกลุ่มอิทธิพลไปจริงๆ ล่ะก็ อิทธิพลของพรรคฉางเฟิงก็จะขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พันธมิตรจินอวี้จะยังสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่อาจพูดได้
“ดีมาก! ในเมื่อรู้ผลชนะของเดิมพันการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว ตามกฎในก่อนหน้า คิดว่าทุกท่านคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าจะขอประกาศ……” นักพรตแซ่สือเก็บความสงสัยไว้ และพอเห็นว่าแม่ชีชุดดำยังไม่กล่าวอะไรออกมา เขาก็กระแอมไอเบาๆ และเตรียมประกาศผล
“ข้ามีข้อคัดค้าน เกรงว่าสายแร่หินหยกแห่งนี้ กลุ่มอิทธิพลของท่านคงไม่อาจรับไปได้โดยลำพัง” นักพรตแซ่สือกล่าวยังไม่ทันจบ ก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมากลางอากาศ ราวกับว่ากระซิบอยู่ข้างหูทุกคนเบาๆ
“ใครกัน?” นักพรตแซ่สือได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็ตะโกนออกไปทันที
ก่อนหน้านั้นอารามจื่อเซียวไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จนเฟิงจ้านกลับมาได้ระยะหนึ่ง อารามจื่อเซียวถึงได้ทุ่มกำลังไปสืบหาการดำรงอยู่ของสายแร่หินหยกจนกระจ่าง
ด้วยเหตุนี้ก่อนออกเดินทาง เทียนกวงจื่อได้กำชับเขาให้ช่วงชิงสายแร่แห่งนี้มาให้ได้
ตอนนี้ศิษย์นิกายห้าวิญญาณอย่างเว่ยจ้งได้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่หลิ่วหมิงกลับเอาชนะได้ในตอนท้าย สิ่งนี้ย่อมเป็นโอกาสดีที่อารามจื่อเซียวจะยื่นมือเข้ามา
แต่เขากลับได้ยินน้ำเสียงแปลกๆ กล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโมโหอย่างถึงขีดสุด
มีเสียงหัวเราะดังเข้ามา!
คลื่นก่อตัวขึ้นบนอากาศเหนือศีรษะบรรดาแม่ชีอารามชิงสุ่ย จากนั้นก็มีหญิงสาวดวงตาดำขลับ ใบหน้างดงามราวกับหยก ค่อยๆ ปรากฏออกมา
นางดูมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเท่านั้น ผมยาวเคลียบ่า ชุดสีขาวโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด พอนางปรากฏออกมา ก็กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ตรงนั้นอย่างราบเรียบ
“คารวะอาจารย์อาอวี้ชิง!”
พอแม่ชีเมี่ยวซินเห็นนาง กลับโค้งคารวะด้วยความดีใจ ศิษย์อารามชิงสุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็รีบคุกเข่าคารวะทันที
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็รู้สึกตกใจมาก
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างแม่ชีเมี่ยวซิน ยังต้องคารวะหญิงชุดขาวผู้นี้ แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามมีสถานะใด และมีการฝึกฝนระดับใดกันแน่?
หลิ่วหมิงยังคงอยู่กลางค่ายกล ซึ่งอยู่ใกล้กับนางมาก แต่กลับไม่ค้นพบว่ามีพลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนบนร่างนางเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ขณะที่นางกวาดสายตามองดูเขานั้น กลับทำให้เขารู้สึกใจเต้น และรู้สึกเหมือนกับหายใจอึดอัดแบบแปลกๆ
หญิงชุดขาวละสายตากลับมามองแม่ชีเมี่ยวซินด้วยรอยยิ้ม พอโบกแขนเสื้อ สายลมอ่อนโยนก็พัดเข้ามา และพยุงคนของอารามชิงสุ่ยขึ้น จากนั้นถึงหันมากล่าวอย่างราบเรียบ
“สหายนิกายห้าวิญญาณผู้นี้ ท่านคิดว่าคำพูดของข้าในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
…………………………………