ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 463 อวี้ชิง
หญิงสาวที่ดูเหมือนไร้ที่ติผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนที่ไว้ผมเช่นกัน
พอคำพูดนี้ดังออกมา ผู้คนในพรรคฉางเฟิงต่างก็รู้สึกตกใจมาก แม้แต่นักพรตแซ่สือก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
“ที่แท้ก็เป็นคนของสำนักเสียงมหัศจรรย์ ข้าว่าอยู่ทำไมถึงหาต้อตอเสียงของสหายไม่เจอ วิชาหมื่นเงียบวังเวงของสำนักท่านล้ำลึกจริงๆ” น้ำเสียงที่ดูตื่นตะลึงเล็กน้อยดังเข้ามา
เงาร่างชายชุดดำปรากฏขึ้นมาบนอากาศทางด้านพรรคฉางเฟิง
ชายผู้นี้มีอายุราวๆ สี่สิบปี ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ริมปีปากค่อยๆ เปล่งแสงสีม่วงแวววาว แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
พอเฟิงจ้านเห็นคนผู้นี้ เขาก็รีบเข้าไปคารวะด้วยความดีใจ
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน เขาไม่อาจคาดเดาระดับการฝึกฝนของชายชุดดำผู้นี้ได้ เกรงว่าคงอยู่ในระดับแก่นแท้เช่นกัน
นักพรตแซ่สือกับหญิงงดงามแซ่เซียวสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็สงบปากสงบคำด้วยใบหน้าซีดขาว เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ในนิกายห้าวิญญาณที่มีประวัติหมื่นปีเช่นนี้ ไหนเลยจะมีที่พูดคุยสำหรับพวกเขา
“ข้าเซวียคุ่ย เป็นผู้อาวุโสสาขาย่อยของนิกายห้าวิญญาณชั่วคราว คิดว่าท่านคงเป็นสหายอวี้ชิงสินะ! ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว” ชายชุดดำค่อยๆ ประสานมือคารวะ น้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเซวีย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาเกาะเล็กๆ แห่งนี้ของทะเลหนานไห่ทำไมกัน?” อวี้ชิงซือไท่คารวะกลับแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ฮ่าๆ สำนักเสียงมหัศจรรย์มาที่นี่ได้ ข้านิกายห้าวิญญาณทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ? ข้าจะไม่พูดคลุมเรือ ประมุขพรรคฉางเฟิงได้มอบสายแร่หยกที่มีวัสดุจิตวิญญาณแฝงอยู่แห่งนี้ ให้กับนิกายห้าวิญญาณแล้ว และยังเข้าร่วมสาขาของนิกายห้าวิญญาณเราด้วย ตอนนี้มีสถานะเป็นผู้ดำเนินการคนหนึ่ง ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็แค่มาตรวจสอบดูสายแร่ของนิกายเท่านั้น” ชายชุดดำหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็พากันฮือฮาขึ้นมา เพียงแต่เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสอง ถึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรออกมามากนัก
“สหายกล่าวไม่ถูกต้อง สายแร่หินหยกแห่งนี้เป็นแหล่งแร่ของทะเลหนานไห่ เดิมทีก็ไม่ได้เป็นของพรรคฉางเฟิงเพียงผู้เดียวแต่อย่างใด นิกายวิหคสวรรค์ย่อมมีส่วนแบ่งบ้าง และอารามชิงสุ่ยก็เป็นเบื้องบนของนิกายนี้ ซึ่งเป็นสาขาย่อยของสำนักเสียงมหัศจรรย์เราในเขตทะเลหนานไห่ สายแร่นี้แห่งนี้จะยอมให้คนอื่นได้อย่างไร?” หญิงชุดขาวขมวดคิ้ว และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละประโยคๆ
พอคำพูดนี้ดังออกมา นักพรตแซ่สือกับหญิงแซ่เซียวก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม
แม้อารามจื่อเซียวกับหอเทียนเซียงจะรู้ว่าอารามชิงสุ่ยมีคนหนุนหลังอยู่ในแผ่นดินจงเทียน และรู้ลางๆ ว่าเป็นสำนักเสียงมหัศจรรย์ แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ถึงขั้นนี้
สำนักเสียงมหัศจรรย์กับนิกายห้าวิญญาณ ต่างก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่มีประวัติมานับหมื่นปี
ขณะนี้ นักพรตแซ่สือกับหญิงงดงามแซ่เซียว ต่างก็แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา ดูท่าสายแร่หินหยกแห่งนี้ พวกเขาคงไม่มีหวังได้ส่วนแบ่งเลยแม้แต่น้อย
“สหายอวี้ชิง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้น้อยที่อยู่ด้านล่างได้ทำการตกลงโดยใช้เดิมพันการต่อสู้มาตัดสินมิใช่หรือ ตอนนี้พรรคฉางเฟิงได้รับชัยชนะแล้ว นิกายวิหคสวรรค์ยังจะมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งสายแร่อีกหรือ?” ชายชุดดำส่ายหน้ากล่าวเบาๆ สีหน้าของเขายังคงสงบเช่นเดิม
“เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ผู้น้อยคิดเอาเองทั้งนั้น ไหนเลยจะนำมากล่าวอ้างได้จริงๆ จะว่าไปแล้วที่พรรคฉางเฟิงเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของนิกายห้าวิญญาณหรอกนะ?” อวี้ชิงซือไท่จ้องมองนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านล่างทีหนึ่ง และกล่าวออกมา
นักพรตแซ่สือได้ยินเช่นนี้ ก็ก้มหน้าลงไปทันที เหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มใบหน้า
“นี่……” ชายชุดดำสะอึกไปทันที คำพูดนี้ดูเหมือนจะสะกิดจุดอ่อนของเขา ที่พรรคฉางเฟิงแย่งชิงสายแร่แห่งนี้ มีอารามจื่อเซียวคอยหนุนหลังอย่างเปิดเผย แม้ว่ากลุ่มอิทธิพลเล็กๆ อย่างอารามจื่อเซียว จะไม่เข้าตาชายชุดดำเลยแม้แต่น้อย แต่เบื้องหลังของอารามจื่อเซียวก็มีกลุ่มอิทธิพลหนุนหลังอยู่ หากเรื่องนี้ยืดเยื้อนานเข้าจนคนเหล่านั้นรู้ล่ะก็ เกรงว่าเรื่องมันคงไม่ง่าย
“เว่ยจ้ง ศิษย์นิกายข้าก็เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ทำไมจะไม่ใช่ตัวแทนของนิกายห้าวิญญาณเรา?” ชายชุดดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! หรือว่าเมื่อครู่ข้าจะดูผิดไป? ดูเหมือนว่าศิษย์ของเจ้าผู้นั้น จะพ่ายแพ้ให้กับศิษย์นิกายวิหคสวรรค์มิใช่หรือ?” หญิงชุดขาวหัวเราะๆ และมองชายชุดดำด้วยแววตาเย้ยหยัน
ชายชุดดำค่อยๆ หน้าแดงขึ้นมา แต่อย่างไรซะเขาก็เป็นผู้ที่ผ่านโลกมาไม่น้อย สีหน้าจึงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“สหายเซวีย ในเมื่อสายแร่แห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของพรรคฉางเฟิงกับนิกายวิหคสวรรค์ ข้ากับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงแต่อย่างใด แหล่งแร่ระดับสุดยอดแห่งนี้ ไม่คุ้มค่าที่พวกเราทั้งสองจะต้องมาฉีกหน้ากัน ไม่สู้พวกเราต่างก็ถอยออกมาคนละก้าว และแบ่งสายแร่แห่งนี้เท่าๆ กันดีไหม?” อวี้ชิงซือไท่ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
ชายชุดดำฟังจบก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ก็พยักหน้ากล่าว
“ในเมื่อสหายอวี้ชิงกล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจหักหน้าท่านได้ ดี! ทำตามที่สหายกล่าว!”
“เช่นนี้ก็ดี” อวี้ชิงซือไท่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด
ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองแบ่งสายแร่หินหยกระดับสุดยอดแห่งนี้อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่กล่าวถึงอารามจื่อเซียวเลยแม้แต่น้อย
แม้นักพรตแต่สือจะรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ก็ยังคงแสดงใบหน้ายิ้มแย้มออกมา และไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
ต่อมา ทั้งสองก็ทำการต่อรองพื้นที่ส่วนใหญ่กับเรื่องการขุดเจาะไปหนึ่งรอบ ส่วนรายละเอียดนั้น ก็มอบให้นิกายวิหคสวรรค์กับพรรคฉางเฟิงไปจัดการ
เมื่อทั้งสองเจรจากันเสร็จแล้ว เซวียคุ่ยกับอวี้ชิงซือไท่ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ใจกลางค่ายกลพร้อมกัน
“ไม่ทราบว่าสหายน้อยผู้นี้มีนามว่าอย่างไร มีความสัมพันธ์อันใดกับนิกายยอดบริสุทธิ์? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ วิชาที่สหายน้อยแสดงเมื่อครู่ เป็นวิชาสายปีศาจที่ศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติฝึกได้ มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬใช่หรือไม่?” อวี้ชิงซือไท่เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชายชุดดำนิกายห้าวิญญาณก็กำลังสังเกตดูหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะได้เจอกับคนที่รู้จักเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬในสถานที่แห่งนี้ และเจอพร้อมกันถึงสองคน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ด้วย เขาจึงได้แต่ร้องทุกข์อยู่ในใจไม่หยุด
ตามคำพูดที่จิตของปรมาจารย์ลิ่วยินได้ทิ้งไว้ในห้องจิตรับรู้ในปีนั้น เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ต่างก็เป็นคัมภีร์ที่ไม่ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างแรก ดูเหมือนศิษย์ทั่วไปในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่อาจฝึกฝนได้
ดูจากคำพูดของคนตรงหน้าในวันนี้ เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็เป็นเคล็ดวิชาลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังดูเหมือนจะมีชื่อเสียงมาก เมื่อครู่ตนเองใช้เงามังกรพยัคฆ์เพียงเล็กน้อย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามจำได้ทันที
และเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าทั้งสอง มีความสัมพันธ์อันใดกับนิกายยอดบริสุทธิ์กันแน่ หากพูดผิดไปหนึ่งประโยค อาจจะสร้างภัยร้ายให้ตนเองก็เป็นได้
หลิ่วหมิงรู้สึกลังเลขึ้นมาทันที เม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมาบนหน้าผากอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่ต้องกลัวอะไร ความจริงแล้วสำนักเสียงมหัศจรรย์ของเรา ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสำนักย่อยของนิกายยอดบริสุทธิ์ หากเจ้ามีสัมพันธ์อันลึกล้ำกับนิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอย่างแน่นอน แต่หากที่มาของวิชาที่เจ้าฝึกฝนมีปัญหาล่ะก็ ข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่คุมกฎของสำนักเสียงมหัศจรรย์ จะไม่ยอมให้เจ้าจากไปง่ายๆ มิใช่นั้นพอนิกายยอดบริสุทธิ์ทราบเรื่องนี้แล้วคาดโทษลงมา ข้าก็คงหนีไม่พ้น” ดูเหมือนอวี้ชิงซือไท่จะสังเกตเห็นอาการลังเลของหลิ่วหมิง ถึงกล่าวออกมาเช่นนี้
หลิ่วหมิงยังคงเงียบกริบเช่นเดิม หญิงชุดขาวจึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้าไม่ต้องลังเลอะไร และก็ไม่ต้องคิดปิดบังด้วย คำพูดที่เจ้าพูดออกมา ข้าย่อมมีวิธีแยกแยะเท็จจริง ต่อให้เจ้าจะไม่ยอมพูดออกมา ข้าก็มีหลากหลายวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดออกมาอย่างง่ายดาย”
คำพูดนี้ย่อมทำให้สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที
“ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว คงไม่ใช่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่สหายอวี้ชิงกล่าวไว้ไม่มีผิด แม้ว่ากลุ่มอิทธิพลอย่างพวกเราจะนับว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่มีประวัติมานับหมื่นปี แต่เมื่อเทียบกับหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว กลับไม่อาจเทียบได้ แต่เจ้าก็อย่าได้กังวลไป หากเจ้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใด มีเหตุผลพิเศษอะไรถึงได้รับถ่ายทอดวิชานี้ล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไรมาก และอาจจะได้เข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เป็นได้ แต่หากเจ้าใช้วิธีที่ผิดทำนองคลองธรรม วางแผนเอาวิชามาจากศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ล่ะก็ ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ที่คุมขังของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถพบเห็นได้” ชายชุดดำพูดราวกับยั่วเย้าไปสองสามประโยค จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น
พอหญิงแซ่เซียวจากหอเทียนเซียง นักพรตแซ่สือจากอารามจื่อเซียว และคนอื่นๆ ได้ยินว่าหลิ่วหมิงมีความเกี่ยวพันกับนิกายยอดบริสุทธิ์ พวกเขาต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
และนักพรตแซ่สือก็นึกได้ในฉับพลัน!
ในที่สุดเขาก็นึกได้ว่า เงามังกรพยัคฆ์บนตัวหลิ่วหมิงเมื่อครู่ เขาเคยพบเจอบนตัวศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียนครั้งหนึ่ง
แต่ดูเหมือนว่าเงาร่างที่คนผู้นั้นแสดงออกมา จะแตกต่างกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำไม่ได้ในตอนแรก
ตู๋กูอวี้ เฟิงจ้าน และคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตื่นเต้นมาก
ซินหยวนก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
สำหรับเขาแล้ว กลุ่มอิทธิพลระดับพรรคฉางเฟิง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มในเขตทะเลหนานไห่เลย แต่กลับสังกัดอยู่แค่หนึ่งในสิบกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของทะเลหนานไห่เท่านั้น
และอารามชิงสุ่ยที่เป็นหนึ่งในสิบกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในทะเลหนานไห่ กลับเป็นแค่หนึ่งในสาขาของสำนักเสียงมหัศจรรย์ในแผ่นดินจงเทียนที่มีประวัติมานับหมื่นปี และสำนักเสียงมหัศจรรย์เองกลับเป็นแค่สำนักย่อยของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่จะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่อาจจินตนาการออกมาได้
“ดี! ในเมื่อซือไท่กับนิกายยอดบริสุทธิ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่มีผิด และสถานะของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ค่อนข้างพิเศษมาก” หลิ่วหมิงครุ่นคิดไปมาหลายตลบ เขารู้แก่ใจว่าไม่อาจพูดแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปได้ จึงได้แต่กัดฟันตอบกลับไป
“ดีมาก! สหายทุกท่าน สหายหลิ่วผู้นี้อาจมีที่มาเกี่ยวพันกับนิกายยอดบริสุทธิ์ หวังว่าทุกท่านจะหลบเลี่ยงเล็กน้อย” อวี้ชิงซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า ทันใดนั้นก็กล่าวกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าสงบ
พอได้ยินเช่นนี้ แม้แต่เซวียคุ่ยเองก็ต้องพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และหมุนตัวจากไป
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา พวกเขาต่างพากันทะยานขึ้นฟ้าเพื่อหลบไปไกลๆ
แต่ก่อนซินหยวนจะไป ก็มองหลิ่วหมิงด้วยความเป็นห่วง จากนั้นถึงจำใจจากไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ส่วนเจียหลานนั้น ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนไปก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าสงสัยแปลกๆ
…………………………………