ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 466 เขาหมื่นวิญญาณ
“แผ่นดินจงเทียนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีกลุ่มอิทธิพลมากมาย แต่มีมนุษย์เราเป็นหลัก และในกลุ่มอิทธิพลของเหล่ามนุษย์ ก็มีสี่ยอดนิกายใหญ่เป็นหัวหน้า แหล่งที่มาของประวัติศาสตร์ว่ากันว่าสามารถสืบสาวต้นสายไปถึงสมัยบรรพกาลได้ กลุ่มอิทธิพลที่สังกัดก็มีมากมายนับไม่ถ้วน สาขาที่มีประวัติหมื่นปีอย่างสำนักเสียงมหัศจรรย์เรา ก็มีมากถึงสามสิบหกสาขา นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีสถานที่บางแห่งที่ถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและเผ่าอื่นๆ จนกระทั่งว่ากันว่า เผ่าที่มีอำนาจในนั้น เกือบจะเทียบเท่ากับสี่ยอดนิกายใหญ่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจดูหมิ่นได้……” หญิงชุดขาวเล่าให้คนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังฟัง
ส่วนหลิ่วหมิงก็ฟังจนรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด
นิกายขนาดใหญ่อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์ มีมากถึงสี่นิกาย ทั้งยังมีเผ่าอื่นๆ ที่ไม่มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่!
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปมาก
สองสามชั่วยามผ่านไป ข้างเนินเขาสีขาวเทาที่ไม่สูงมากนัก หญิงชุดขาวหยิบจานเข็มทิศออกมาอันหนึ่ง หลังจากปล่อยพลังเวทใส่เข้าไปแล้ว เข็มที่อยู่บนนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนไหว และส่งเสียงดังหวึ่งๆ
ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากจานเข็มทิศ และจมหายไปในเนินเขา
เกิดเสียงดังโครมคราม จากนั้นเนินเขาก็สั่นสะเทือน และปรากฏทางเข้าที่สูงจั้งกว่าๆ
หลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินตามหญิงชุดขาวเข้าไปด้านใน พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่ยาวร้อยกว่าจั้งกับชั้นจำกัดหนาแน่น จนมาถึงหน้าแท่นหินที่ดูเก่าๆ แท่นหนึ่ง
ใจกลางแท่นหินมีค่ายกลส่งตัวขนาดเล็กที่มีสีเงินจางๆ และใจกลางค่ายกลก็มีหลุมขนาดเท่านิ้วมืออยู่หนึ่งหลุม บริเวณรอบๆ มีลวดลายจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งกำลังเปล่งประกายอยู่
หญิงชุดขาวแสดงท่าทีบ่งบอกให้ทั้งสองเดินเข้าไปในค่ายกล จากนั้นนางก็หยิบผลึกหินฟ้าออกมาก้อนหนึ่ง และวางลงบนหลุมเบาๆ
ต่อมาก็มีแสงสีขาวเปล่งประกาย จากนั้นทั้งสามก็หายไปจากที่เดิม
ตลอดการเดินทาง พวกเขาทั้งสามบ้างก็เหินเวหา บ้างก็อาศัยกลส่งตัวบางแห่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ยังใช้เวลาครึ่งปีถึงมาถึงเขตใจกลางแผ่นดินใหญ่ในที่สุด และค่อยๆ เข้าใกล้เขาหมื่นวิญญาณที่เป็นที่ตั้งของนิกายยอดบริสุทธิ์
…….
วันนี้ บนอากาศที่อยู่ห่างจากเขาหมื่นวิญญาณไปไม่ไกล นกกระดาษที่มีแสงสีฟ้าขาวเปล่งประกาย กำลังพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
ส่วนหน้าของนกกระดาษ จะมองเห็นหญิงชุดขาวยืนอยู่รำไร ดวงตาดำขลับของนางกำลังทอดมองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ
มีชายหญิงสองคนนั่งอยู่ด้านหลังของนาง พวกเขากำลังมองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน
พวกเขาก็คืออวี้ชิง หลิ่วหมิง และเจียหลานที่ข้ามน้ำข้ามภูเขาจากเขตทะเลหนานไห่ จนมาถึงสถานที่แห่งนี้
บริเวณที่หลิ่วหมิงกวาดสายตามองผ่านในระยะไม่กี่สิบลี้ ล้วนเป็นยอดเขาขนาดสูงต่ำที่เรียงติดต่อกันไม่ขาดสาย บนเขาแต่ละลูกต่างก็มีไอหมอกสีขาวสลัวลอยวนเวียนอยู่รำไร
เมื่อผ่านอากาศที่ดูธรรมดาแห่งนี้ มันก็กระเพื่อมออกราวกับเป็นผิวน้ำ จนหลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัว
ขณะที่เรียกสติกลับมาได้นั้น ก็ค้นพบว่าทิวทัศน์ตรงหน้าแตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง และนกกระดาษก็พาพวกเขาเข้าไปในพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง
เขากวาดสายตามองด้วยความประหลาดใจ แต่ค้นพบว่ารอบด้านล้วนเป็นยอดเขาทอดยาวติดต่อกันที่สูงใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นมาก และตรงปลายยอดเขาขนาดใหญ่ที่เข้าใกล้นั้น มีป้ายศิลาค้ำฟ้าที่สูงพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ บนป้ายศิลามีอักขระสีดำขนาดใหญ่ที่ดูเรียบง่ายและทรงพลังสลักอยู่ ‘นิกายยอดบริสุทธิ์’
ภายใต้การส่องสะท้อนของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดแสงสีเงินระยิบระยับ อักขระสีดำบนนั้นทำให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมและน่าเคารพ
ขณะนั้นเอง พลันมีอินทรียักษ์สีขาวสองตัวบินออกมาจากยอดเขา บนตัวของมันแต่ละตัว ต่างก็มีชายหนุ่มสวมชุดนักพรตสีฟ้ายืนอยู่หนึ่งคน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็บินมาถึงตรงหน้านกกระดาษ และขวางทางพวกเขาไว้
“ไม่ทราบสหายทั้งหลายมีนามว่าเยี่ยงไร ที่นี่เป็นเขตของนิกายเรา ผู้ที่ไม่ใช่คนในนิกายและไม่ได้รับอนุญาต ไม่อาจมุ่งไปด้านหน้าได้” นักพรตหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่บนอินทรีตัวซ้ายกวาดสายตามองอวี้ชิงซือไท่ จากนั้นก็ค่อยๆ โค้งคารวะก่อนกล่าวออกมา
ดูเหมือนชายหนุ่มจะอายุน้อยกว่าหลิ่วหมิงสองสามปี บนตัวของเขาแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวออกมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างอวี้ชิง เขากลับไม่แสดงตัวต่ำต้อย และก็ไม่แสดงตัวโอหังออกมา
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงจ้องมองคนผู้นี้ด้วยตาที่เป็นประกาย
“ข้าชิงอวี้ เป็นผู้คุมกฎของสำนักเสียงมหัศจรรย์ ครั้งนี้พาผู้น้อยมาสองคน เพื่อจะขอเข้าพบศิษย์พี่จางแห่งยอดเขาเมฆาหยก” พอกล่าวจบอวี้ชิงซือไท่ก็พลิกฝ่ามือหยิบจี้หยกสีเขียวออกมา และโยนไปให้ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้าย
พอชายหนุ่มรับจี้หยกมาแล้ว ก็ปล่อยพลังเวทลงบนนั้น หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คืนมันให้กับอวี้ชิงซือไท่
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีของยืนยันอย่างอื่นหรือไม่?” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายหันไปส่งเสียงให้ชายหนุ่มหน้าอ่อนวัยสองสามประโยค จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง
อวี้ชิงซือไท่เห็นทั้งสองระมัดระวังเช่นนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว ก็ทำท่ามือและยกขึ้นมา
แสงสีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อไปในระยะสองสามจั้ง และก่อตัวเป็นเข็มขนาดเท่าฝ่ามือ จากนั้นก็ส่งเสียงภาษาสันสฤตออกมาเป็นระลอกๆ
“เคล็ดวิชาเสียงกระจ่าง! ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสสำนักเสียงมหัศจรรย์จริงๆ ด้วย ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว ศิษย์น้องเจิ้ง เจ้าพาผู้อาวุโสไปยอดเขาเมฆาหยกก่อน ข้าจะลาดตระเวนอยู่ที่นี่ต่อ” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับชายหนุ่มบนหลังอินทรีที่อยู่ด้านข้าง
คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุแค่สิบห้าสิบหกปีผู้นี้ ก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวเช่นกัน
“ผู้น้อยเจิ้งเสี่ยว ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา” พอชายหนุ่มทางซ้ายขี่อินทรีบินไปแล้ว ชายหนุ่มทางขวาก็แนะนำตัว และขี่อินทรียักษ์นำทางไป
อวี้ชิงซือไท่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นนกกระดาษตรงใต้เท้าก็ส่งเสียงร้อง และบินตามไป
เขาหมื่นวิญญาณที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวในระยะหมื่นลี้
ในนั้นมียอดเขาขนาดต่างๆ เกือบพันกว่าลูก ยอดเขาขนาดใหญ่มีความสูงหลายหมื่นจั้ง มองไม่เห็นยอด และยอดเขาขนาดเล็กก็มีขนาดไม่เกินพันกว่าจั้ง แม่น้ำลำธารขนาดต่างๆ ไหลตามระหว่างเทือกเขา ที่เป็นทะเลสาบก็มีนับไม่ถ้วน
ระหว่างเดินทางมา เป็นเพราะยอดเขาต่างก็สูงเสียดเมฆ แม้หลิ่วหมิงจะมองจากบนหลังนกกระดาษ ก็มองเห็นหอคอยสูงจำนวนหนึ่งที่อยู่กลางเมฆขาวลางๆ เท่านั้น
ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจก็คือ ในระหว่างยอดเขาจำนวนหนึ่ง ยังมีสิ่งก่อสร้างประณีตงดงามไม่เป็นสองรองใคร ลอยอยู่กลางอากาศ บ้างก็ถูกเมฆขาวพยุงไว้ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บ้างก็ถูกแสงสีต่างๆ บดบังไว้ จึงดูพร่ามัว และดูเหมือนไม่อาจเข้าใกล้ได้โดยง่าย
และแสงหลบหลีกเป็นกลุ่มๆ ที่เข้าออกสิ่งก่อสร้างในยอดเขาเหล่านี้ มีทั้งขี่วิหคจิตวิญญาณ ขี่เมฆ แลดูคล้ายกับเทพเซียนที่อยู่ในโลกมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีคนขี่รถเหาะ เรือเหาะ และอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาอื่นๆ ที่มีรูปร่างแปลกๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงกับเจียหลานมองดูจนตกตะลึงตาค้างมาตลอดทางนั้น พวกเขาก็มาถึงหน้าหอที่มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง
หอสูงสิบกว่าจั้ง สร้างติดกับภูเขา บนประตูมีป้ายไม้การบูรแขวนอยู่อันหนึ่ง บนนั้นมีอักขระสีทองเขียนติดอยู่ ‘หอโชคชะตา’ ลวดลายแกะสลักอย่างประณีตที่อยู่รอบๆ ทำให้มีเสน่ห์พิศมัยไปอีกแบบ
“สหายทั้งสอง พักผ่อนอยู่ในหอโชคชะตาชั่วคราวก่อน ผู้อาวุโสอวี้ชิง โปรดตามข้ามา ตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล ก็คือยอดเขาเมฆาหยกแล้ว”
เจิ้งเสี่ยว ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์บอกหลิ่วหมิงกับเจียหลานก่อน จากนั้นก็หันไปกล่าวกับอวี้ชิงซือไท่อย่างนอบน้อม
“พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน เรื่องต่อจากนี้ รอข้ารายงานผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวี้ชิงซือไท่พยักหน้า และกำชับทั้งสองไปสองสามประโยค จากนั้นก็ให้ทั้งสองลงจากหลังนกกระดาษ และนางก็จากไปพร้อมกับเจิ้งเสี่ยว
หลิ่วหมิงกับเจียหลานสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่เดินเข้าไปในหออย่างว่านอนสอนง่าย
พอเดินเข้าประตูใหญ่ไป ชั้นแรกของหอก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่กว้างสิบกว่าจั้ง มีโต๊ะเก้าอี้ไม้วางจัดวางอย่างเรียบง่าย มีชายวัยกลางคนสวมชุดทะมัดทะแมงสีฟ้าสองคน กำลังพูดคุยอะไรกันเบาๆ
พอหนึ่งในนั้นเห็นหลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นและแสดงท่าทีเชื้อเชิญให้ทั้งสองตามเขาขึ้นไปด้านบน
ประจักษ์ชัดว่าคนผู้นี้ได้รับการส่งเสียงจากเจิ้งเสี่ยวแล้ว
ชั้นสองเป็นห้องรับรองต่างๆ ชายวัยกลางคนกำชับเรื่องที่หลิ่วหมิงทั้งสองต้องระวังไปสองสามประโยค ให้ทั้งสองอย่าออกไปนอกหอตามอำเภอใจ จากนั้นก็จัดห้องพักให้ทั้งสอง
หลิ่วหมิงถูกจัดให้อยู่ในห้องชั้นสองตรงปลายสุดของระเบียง
พอเขาผลักประตูเข้าไป ก็ค้นพบว่าภายในห้องถูกจัดอย่างง่ายๆ นอกจากโต๊ะเก้าอี้กับเตียงไม้หลังหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ จัดวางอีก ส่วนใหญ่เก็บกวาดได้สะอาดมาก
หลิ่วหมิงปล่อยจิตรับรู้ออกไป หลังจากกวาดดูภายในห้องแล้ว ก็ค้นพบว่ามีเพียงชั้นจำกัดที่ปิดกั้นจิตรับรู้แบบง่ายๆ จำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง และเริ่มหลับตาพักผ่อน
คืนนั้น หลิ่วหมิงที่ฟื้นฟูกำลังวังชาแล้ว ก็เริ่มเดินเตร่ไปมาในห้อง และนึกถึงประสบการณ์ตั้งแต่ตอนที่ตนเองออกจากเกาะมฤตยู จนเข้ามาสู่เส้นทางผู้ฝึกฝน ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับฝัน ทำให้ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น เขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบนั่งขัดสมาธิลงบนเตียงแล้วหลับตาทั้งคู่ลง ขณะเดียวกัน ก็ส่งพลังจิตกวาดดูทะเลจิตรับรู้ของตนเอง และส่งพลังเวททั้งหมดเข้าไปในศิลาหุนเทียน
ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ศิลาหุนเทียนเปล่งแสงออกมา เขาก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว! ผู้น้อยมีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองอากาศสีเทาสลัวๆ และกล่าวอย่างนอบน้อม
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนเบาๆ บนอากาศตรงหน้า เงาร่างสีดำกระพริบออกมา ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบสามถึงยี่สิบสี่ปีที่มีใบหน้าคล้ายหลิ่วหมิง ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และหลังจากสังเกตดูเขาทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“พูดมาเถอะ! ครั้งนี้มาด้วยเรื่องอันใด?”
“ผู้อาวุโสหลัวโหว เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกท่านคงรู้ดี แต่หลายเดือนก่อน ตอนที่อวี้ชิงซือไท่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมากระตุ้นเคล็ดวิชา เพื่อตรวจสอบคำพูดของข้านั้น ข้ารับรู้ได้ลางๆ ว่าศิลาหุนเทียนมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ เล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าใช่ผู้อาวุโสช่วยข้าปิดบังไว้หรือไม่” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะชายหนุ่มตรงหน้า และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ไม่ผิด! เป็นข้าที่ลงมือช่วยจริงๆ มิเช่นนั้นต่อให้จะเหลือแค่ดวงวิญญาณเดียว เจ้าก็ไม่อาจปิดบังได้” ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยปากยอมรับโดยไม่กระพริบตา
“ที่แท้ผู้อาวุโสหลัวโหวก็ยื่นมือเข้าช่วยไว้ ผู้น้อยขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ทราบว่าหากเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งในภายหลัง ท่านจะสามารถ……” หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และกำลังจะพูดอะไรต่อ
“ทางที่ดีเจ้าละความคิดนี้ไปซะ หากไม่ใช่ว่าครั้งก่อนมันเกี่ยวพันกับการถูกเปิดเผยของ ‘กรงขัง’ ข้าจะไม่ลงมืออย่างแน่นอน อีกอย่างการลงมือในครั้งนี้ ก็ทำให้พลังที่ข้าเก็บสะสมมาหลายปีหมดไปไม่น้อย หากมีครั้งหน้าอีกล่ะก็ คงต้องจมดิ่งเข้าสู่ความหลับใหลแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำตรงหน้ากลับโบกมือขัดจังหวะการพูดของหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา
…………………………………