ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 468 ศิษย์สายนอก
เด็กชายค่อยๆ พยักหน้า และโบกมือปล่อยพลังออกไป แสงสีขาวปกคลุมร่างหลิ่วหมิงไว้ ขณะเดียวกัน กระแสความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่ากระแสความร้อนเหล่านี้ไหลผ่านไปทั่วทุกจุด จนดูเหมือนมันจะมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายในร่างของเขา
จากนั้นกระแสความร้อนก็เริ่มเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ในทะเลจิตวิญญาณเป็นสถานที่อยู่อาศัยของฟองอากาศลึกลับ เขาไม่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้จะสัมผัสได้หรือไม่ หากถูกเด็กชายผู้นี้ค้นพบเข้าล่ะก็……
แต่ครู่ต่อมา กระแสความร้อนก็หมุนวนบริเวณรอบๆ ทะเลจิตวิญญาณหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของฟองอากาศลึกลับแต่อย่างใด
“เฮ้อ……”
เด็กชายมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ส่งเสียงให้ชายหน้าขาว
“ศิษย์ผู้นี้มีคุณสมบัติด้อยมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ต่อให้กายเนื้อจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ร่างจิตวิญญาณอะไร ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝึกฝนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ คาดว่าคงจะทานโอสถเป็นจำนวนมาก”
“หากเป็นเช่นนี้ อาศัยแค่พลังของโอสถในการยกระดับพลัง ก็เป็นการฝืนกฎเกณฑ์การพัฒนาเกินไป มาจนถึงระดับเขตแดนนี้ ก็คงไม่ค่อยมีพลังที่มีศักยภาพมากนัก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่คุ้มที่เจ้ากับข้าจะเปลืองแรงบ่มเพาะแล้ว ศิษย์สายในของยอดเขาเมฆาหยกก็มีไม่น้อย ทรัพยากรที่ทางนิกายแบ่งมาให้คงไม่เพียงพอ” พอชายหน้าขาวได้ยิน ก็กล่าวด้วยความเสียดายเล็กน้อย
“ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง นอกจากนี้บริเวณทะเลจิตวิญญาณของคนผู้นี้ ยังมีร่องรอยการระเบิดตัวของตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ก่อตัวแล้ว ดูท่าต่อไปคงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งได้อีก” เด็กชายส่งเสียงต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นำเรื่องนี้ไปรายงานหอคุมกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ ให้พวกเขาตัดสินก็พอแล้ว” ชายหน้าขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่เด็กผู้นี้เคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จะจัดการอย่างไรดี เพราะเขาได้วิชามาจากลิ่วยิน ก็สามารถพูดได้ว่า ได้รับวิชามาจากยอดเขาเมฆาหยกโดยทางอ้อมเช่นกัน หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกรงว่าจะทำให้ผู้คนครหาได้” เด็กชายคิดใคร่ครวญแล้วกล่าวออกมา
“เรื่องเหล่านี้ใยข้ากับเจ้าต้องพิจารณาด้วยเล่า จะจัดการอย่างไรนั้น ทางหอคุมกฎก็มีกฎที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเจ้าพวกที่อยู่หอคุมกฎ กลัวคนครหายิ่งกว่าพวกเราอีก” ชายหน้าขาวหัวเราะเยือกเย็นแล้วส่งเสียงกลับไป
“ศิษย์พี่เฉียบแหลมยิ่งนัก!” เด็กชายเข้าใจในทันที และตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
หลิ่วหมิงรออยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทั้งสองส่งออกไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น จนเขาต้องเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ดูท่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณสมบัติของเขาก็ไม่ดีพอ
เมื่อหลิ่วหมิงออกจากวิหารใหญ่แล้ว ชายหน้าขาวก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด และผนึกไว้ในแผ่นหยกอันหนึ่ง จากนั้นก็ให้ชายชุดดำในก่อนหน้านั้นนำไปส่งที่หอดำเนินการ และก็นับว่าเรื่องนี้ได้สิ้นสุดแล้ว
หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักไม่นาน อวี้ชิงซือไท่ก็พาเจียหลานออกไปจากหอ
เช้าตรู่วันที่สาม ก็มีชายใบหน้าเคร่งขรึมมาอยู่หน้าประตู
ชายผู้นี้ใช้สายตาเคร่งขรึมสังเกตดูหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายคำสั่งหอคุมกฎออกมาโบก และกล่าวอย่างราบเรียบ
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงสินะ ข้าเก่อหลินจากหอคุมกฎ ที่มาวันนี้เพื่อถ่ายทอดคำตัดสินของหอคุมกฎให้กับเจ้า”
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ ดูท่าเรื่องที่คนผู้นี้จะพูดคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“จากการตรวจสอบของนิกาย เจ้าเป็นผู้สืบทอดของนิกายเล็กๆ ซึ่งลิ่วยินที่เป็นศิษย์นิกายเราได้สร้างไว้ เจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ คำตัดสินแรก เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งเป็นคัมภีร์ลับของนิกายเรา เจ้าเป็นคนนอกไม่คุณสมบัติที่จะฝึกฝน เดิมทีควรจะทำลายวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่จากการตรวจสอบ ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่เจ้าบ่มเพาะขึ้นมาได้เสียหายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าถูกทำลายไปแล้ว จึงสามารถละเว้นการดำเนินการในเรื่องนี้ได้”
พอชายหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดพักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรออกมา
“คำตัดสินที่สอง เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็เป็นวิชาที่ต้องเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถฝึกฝนได้ เจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังไม่มีความรู้มาก่อน แต่ก็ฝึกฝนวิชานี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสามารถยืดหยุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และผู้อาวุโสของหอคุมกฎได้หารือเรื่องนี้กันแล้ว ตอนนี้ให้เจ้าสองทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งก็เหมือนกับเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ให้ทางหอคุมกฎทำลายความสามารถที่เกี่ยวข้อง และเปลี่ยนเป็นวิชาที่เหมาะสมอื่นๆ ที่นิกายจะมอบให้ บวกกับโอสถจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยให้เจ้าฝึกฝนถึงจนถึงระดับหนึ่ง ทางเลือกที่สอง นิกายเราสามารถยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อไป แต่เคล็ดวิชานี้ เป็นวิชาลับของนิกายเรา ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องส่งมอบหนึ่งล้านแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์ และจ่ายให้ครบภายในร้อยปี เพื่อเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากในการแลกเปลี่ยนกับวิชานี้ จากนี้ไปทางนิกายจะไม่สืบหามูลเหตุของเรื่องนี้อีก หากถึงเวลาแล้วยังไม่สามารถชำระได้หมด จะยังคงใช้ทางเลือกที่หนึ่งในการจัดการ”
ศิษย์หอคุมกฎผู้นี้ พูดคำพูดทั้งหมดออกมาภายในอึดใจเดียว จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และรอคำตอบรับจากเขา
“ศิษย์เลือกทางเลือกที่สอง”
หลิ่วหมิงฟังจบ ก็ดูเหมือนจะไม่ลังเลที่จะเลือกทางเลือกที่สอง
ตั้งแต่เขาควบแน่นไอปีศาจสำเร็จ ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงวันนี้ แม้จะบอกว่าหากทำลายไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนเป็นวิชาอื่นที่เหมาะสมได้ แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อานุภาพของมันจะต้องห่างชั้นจากสุดยอดวิชาอย่างเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หลังจากทำลายวิชาไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดภัยพิบัติแฝงมาก็ได้ เหมือนกับตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในก่อนหน้านั้น ตอนนี้เขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปได้อีก
จุดที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ฟองอากาศลึกลับในร่างหลิ่วหมิง จะดูดกลืนพลังเวทอีกครั้งในอีกหนึ่งปีครึ่ง หากทำลายเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬไปในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าตัดสินโทษตายให้กับตัวเอง
ส่วนแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งล้านแต้มนั้น ก็ได้แต่ดำเนินการไปทีละขั้นตอนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีเวลาชำระร้อยปี คงไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป หลิ่วหมิงได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
ชายวัยกลางคนได้ยินก็พยักหน้า ประจักษ์ชัดว่าการเลือกของหลิ่วหมิงอยู่ในการคาดการณ์ของเขา ทันใดนั้นเขาก็ประกาศคำตัดสินข้อที่สามของหอคุมกฎต่อ
“ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ เนื่องจากสถานะของเจ้าพิเศษ เป็นศิษย์สายตรงของลิ่วยิน บวกกับต้องการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อ ด้วยเหตุนี้ทางหอคุมกฎจึงให้เจ้าเป็นศิษย์สายนอกของนิกายเป็นกรณีพิเศษ และยังละเว้นการทดสอบก่อนเข้านิกาย โดยไม่สนข้อจำกัดในเรื่องคุณสมบัติ”
พอหลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวผู้หนึ่ง จะเป็นได้แค่ศิษย์สายนอก ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์คงจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก
ด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่ของระดับผลึก ต่อให้จะไม่มีมากมายราวกับขนวัว แต่เกรงว่าคงพอที่จะยืนมั่นในนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น
นิกายปีศาจในตอนนั้น ศิษย์สายนอกเป็นแค่ผู้ฝึกปราณเท่านั้น พอเปิดจิตวิญญาณสำเร็จและเลื่อนเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้ และผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ไม่ว่าจะในนิกายหรือทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน ต่างก็เป็นแกนกำลังสำคัญเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่ง
แน่นอนว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาก็รู้ตั้งนานแล้วว่า ความแข็งแกร่งและทรัพยากรในเขตพื้นที่ห่างไกลอย่างแผ่นดินอวิ๋นชวน แตกต่างจากแผ่นดินจงเทียนหลายร้อยหลายพันเท่า
ด้วยเหตุนี้ การได้เข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เป็นที่เพิ่งขนาดใหญ่เช่นนี้ ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์สายนอก ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากแล้ว สำหรับคำตัดสินของหอคุมกฎ เขาย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ และยอมรับด้วยความยินดียิ่ง
ชายจากหอคุมกฎเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย ทันใดก็ตบเอวด้วยมือข้างหนึ่ง และหยิบสมุดหยกเล่มหนึ่งกับแผ่นป้ายอันหนึ่งออกมา
สมุดหยกมีขนาดเท่ากับหนังสือ บนนั้นมีอักขระสลับซับซ้อนสลักอยู่จำนวนหนึ่ง
หลิ่วหมิงเองก็นับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างไกล แต่กลับไม่รู้จักอักขระที่อยู่บนสมุดหยกแม้แต่ตัวเดียว
ส่วนแผ่นป้ายมีขนาดพอๆ กับฝ่ามือ พื้นผิวของมันเปล่งแสงแวววาว บนนั้นมีอักขระสีเขียวอ่อนประทับอยู่ ‘นิกายยอดบริสุทธิ์สายนอก’ และมันก็แผ่ไอเย็นออกมาตลอดเวลา ราวกับว่าสร้างมาจากน้ำแข็ง
“หยดโลหิตบริสุทธิ์ลงบนสมุดหยกกับแผ่นป้าย เช่นนี้ก็นับว่าเสร็จพิธีเข้าร่วมนิกายแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงพยักหน้า และหยดเลือดใส่สมุดหยกกับแผ่นป้าย จากนั้นมันก็ซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มีเงาร่างพร่ามัวพุ่งขึ้นมาจากสมุดหยกอยู่ครู่หนึ่ง ครู่เดียวก็กลายเป็นภาพหลิ่วหมิงที่ดูราวกับมีชีวิต
และแผ่นป้ายก็มีแสงสีเขียวไหลวนอยู่ครู่หนึ่ง จนดูราวกับมีชีวิตและค่อยๆ เกาะตัวเป็นอักขระที่อ่านว่า ‘หลิ่วหมิง’ จากนั้นก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตอนนี้นับว่าเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายเราอย่างเป็นทางการแล้ว นี่คือป้ายของเจ้า อย่าได้ทำหายเป็นอันขาด นับแต่นี้เป็นต้นไป การไปตามสถานที่ต่างๆ ในนิกาย ต่างก็ต้องใช้ป้ายยืนยันสถานะ นอกจากนี้ ในเมื่อเจ้ากลายเป็นศิษย์สายนอกแล้วก็ ก่อนอื่นต้องไปรายงานตัวที่หองานนอกก่อน และที่รับรองแขกแห่งนี้ เจ้าไม่สามารถอยู่ได้แล้ว ทางนิกายจะจัดการที่พักอีกแห่งให้กับเจ้า” ในตอนท้าย ชายผู้นี้ได้อธิบายเกี่ยวกับสถานที่ที่ต้องระมัดระวังไปสองสามประโยค จากนั้นก็เก็บสมุดหยก
หลังจากมอบป้ายให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็กำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็จากไป
หลิ่วหมิงมองดูป้ายในมือ และส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าด้านในมีชั้นจำกัดประทับอยู่เป็นจำนวนมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชิ้นหนึ่ง
“นิกายยอดบริสุทธิ์มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลมากจริงๆ สมกับที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แค่ป้ายสถานะยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณเลย” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ และเดินไปหาชายที่อยู่ชั้นหนึ่งของหอ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับตำแหน่งของหองานนอกที่พูดถึง จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปที่นั่น
……
ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกแห่งของนิกายยอดบริสุทธิ์
ยอดเขาแห่งนี้ก็สูงใหญ่เหมือนกับยอดเขาเมฆาหยก มองจากล่างขึ้นบนจะเห็นว่ามันสูงทะลุเมฆจนมองไม่เห็นปลายสุดของยอด ต้นไม้โบราณจำนวนมากสูงเสียดฟ้า และปกคลุมไปทั่วยอดเขา
บริเวณปลายยอดเขา ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยวน มีศาลาและหอที่แกะสลักอย่างสวยงามจำนวนมาก ซ้อนกันแน่นขนัด ดูงดงามและเรียบง่ายเป็นอย่างมาก
สถานที่แห่งนี้ก็คือยอดเขาเลื่อนลอยที่มีชื่อเสียงของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
ภายในห้องโถงแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา หญิงใบหน้างดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก
ด้านซ้ายของนาง คือเจียหลานที่กำลังนั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่านางเปลี่ยนเป็นชุดสีฟ้าตั้งแต่เมื่อใด และหญิงผู้นี้กำลังใช้นิ้วแตะบนหน้าผากของนางเบาๆ
ปลายนิ้วของหญิงผู้นี้มีแสงสีม่วงเปล่งประกายไม่หยุด ดวงตางดงามของเจียหลานหลับสนิท ระหว่างคิ้วของนางดูเจ็บปวดเล็กน้อย
ไม่นานหญิงผู้นี้ก็หดนิ้วกลับมา และกล่าวด้วยสีหน้าพอใจ
“ดีมาก! เจ้ามีร่างมายาสวรรค์จริงๆ เหมาะสมกับการฝึกฝนวิชาของยอดเขาเลื่อนลอยเรามาก และพลังจิตของเจ้ายังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะเทียบกับระดับผลึกได้แล้ว คงเคยพบโชคมาก่อนใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว!” เจียหลานลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และพยักหน้าตอบรับเบาๆ มีความสับสนซับซ้อนอยู่ในประกายตาลึกๆ
…………………………………