ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 47 การต่อสู้ 1-3
“บางทีอาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ” ผู้อาวุโสผมขาวถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถกปัญหาเรื่องนี้แล้ว
ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เดินเข้าไปในห้องหิน และเดินตามบันไดหินที่ลาดเอียงลงไปยังด้านล่าง
หลิ่วหมิงเดินตามติดจูชื่อตลอดทาง และสำรวจดูรอบด้านอยู่ไม่หยุด
บันไดทั้งหมดนี้ทำจากหินสีเขียว และผนังด้านข้างมีที่ตั้งตะเกียงที่ทำจากหินติดอยู่ โดยเว้นห่างเป็นช่วงๆ ทำให้บริเวณนั้นดูสว่างขึ้น
พวกเขาเดินลึกลงไปสามสิบกว่าจั้ง แสงสว่างไสวก็ปรากฏตรงด้านหน้า พวกเขาเดินเข้าไปในใจกลางห้องโถงใหญ่ที่มีทางเดินเชื่อมไปยังทุกทิศทาง
รอบห้องโถงนี้มีประตูหินทรุดโทรมเปิดอยู่บานหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเชื่อมไปยังทิศทางใด
ชายหนุ่มที่นำทางอยู่ด้านหน้ากลับเลี้ยวไปทางซ้ายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่พอพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกล ก็มีห้องโถงแบบเดียวกันกับก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นมา และยังมีเส้นทางเชื่อมต่อไปทุกทิศทางเหมือนกัน
สถานที่แห่งนี้เป็นเขาวงกตเล็กๆ ใต้ดินที่มีคนสร้างขึ้นมา
แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์หุบเขาเก้าช่องสำรวจที่นี่จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ศิษย์ที่นำทางแค่พาพวกหลิ่วหมิงเลี้ยวซ้ายวนขวาไม่นาน ก็ปรากฏบานประตูทองแดงสีแดงแก่ตรงด้านหน้า
พอจูชื่อและนักพรตกูเห็นบานประตูทองแดงนี้ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เสียงดัง “แอ๊ด!”
ประตูทองแดงที่เดิมปิดแน่นอยู่ ก็ค่อยๆ เปิดออกหลังจากที่ถูกศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องออกแรงผลัก
ดูจากการออกแรงของพวกเขา ราวกับว่าประตูบานนี้หนักกว่าหมื่นชั่งขึ้นไป
พอประตูทองแดงเปิดออก ไอร้อนระอุก็กระจายออกมาทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ตามติดมาต่างก็สะดุ้งตกใจกันอย่างมาก
และพอจูชื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนหลังบานประตูนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แต่ครู่เดียวก็เดินเข้าไปกับนักพรตจงอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงเดินตามติดเข้าไป พอสำรวจดูรอบด้าน เขาก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ที่นี่เป็นโพรงใต้ดินขนาดกว้างหลายหมู่ บนพื้นปูด้วยแผ่นหินสีเขียว รอบด้านมีผลึกหินสีแดงจางๆ ตรงกลางมีต้นไม้สีแดงระเรื่อสูงจั้งกว่าๆ อยู่ต้นหนึ่ง บนนั้นมีผลกลมๆ สีเขียวหยกขนาดเท่าลูกกำปั้นติดอยู่เต็มไปหมด ดูเหมือนจะมีทั้งหมดสามสิบกว่าผล
ต้นไม้ทั้งต้นถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีฟ้าจางๆ แต่พื้นดินสีแดงดำบริเวณรากไม้ มีไอร้อนประทุออกมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนที่อยู่ภายในโพรงรู้สึกราวกับว่าอยู่ข้างเตาเผาขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นจูชื่อหรือนักพรตจง ต่างก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นบรรยากาศเหล่านี้
แต่จูชื่อกลับมองต้นไม้ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาช้าๆ
“เหมือนที่ข้าคาดไว้แต่แรกไม่มีผิด ผลจิตวิญญาณสุกไม่นาน ก็เป็นวันที่ไฟจากใต้พื้นพิภพประทุออกมา ช่างเสียดายต้นไม้นี้จริงๆ มิเช่นนั้นแค่รออีกไม่กี่ปีก็ได้เก็บผลหยกสวรรค์อีกครั้งแล้ว”
“ถ้าไม่สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ข้ากับเจ้าคงไม่รามือจากต้นจิตวิญญาณนี้โดยง่าย ไหนเลยจะมีวันนี้ที่ต้องมาแบ่งผลจิตวิญญาณกันอย่างเกรงอกเกรงใจ” ต้าจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รอไฟใต้พิภพประทุออกมา เกาะสยบมังกรทั้งเกาะก็ดำรงอยู่ไม่ได้อีกแล้ว และต้นจิตวิญญาณที่ถูกปลูกไว้ที่นี้มานานหลายปี พอไม่มีไฟใต้พิภพหล่อเลี้ยงก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นไฟ ใยจะต้องแย่งชิงกันด้วยเล่า! เอาล่ะ! ข้าได้สำรวจไปแล้ว ผลจิตวิญญาณบนต้นมีทั้งหมดสามสิบสามผลเหมือนกับตอนแรกที่เห็นโดยไม่หายไปแม้แต่ผลเดียว ต่อไปก็มาคุยกันเรื่องการประลองต่อสู้กันเถอะ” นักพรตจงกล่าวออกมา
“ข้าและศิษย์ย่อมไม่ต้องการประลองต่อสู้ที่ซับซ้อน ในเมื่อมีผลจิตวิญญาณสามสิบสามผล งั้นก็แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีสิบเอ็ดผล โดยผู้ชนะไปเก็บผลด้วยตนเองดีไหม แน่นอนว่านี่เป็นแค่การประลอง ถ้าหากในระหว่างการต่อสู้มีศิษย์ฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตพวกเราก็ยื่นมือเข้าไปห้าม แต่ว่าพอยื่นมือไปแล้วเท่ากับว่ายอมรับการพ่ายแพ้ของศิษย์ตนเอง” ต้าซั่งกล่าว
“สหายต้าซั่งดูเหมือนจะคิดการณ์ได้รอบคอบ ข้าจูชื่อไม่ขอคัดค้านใดๆ แต่ท่านทั้งสองคงจะไม่อนุญาตให้ศิษย์ใช้หุ่นขั้นสูง ถ้าหากว่าในการต่อสู้ศิษย์ของท่านใช้หุ่นขั้นสามหรือขั้นสามขึ้นไปก็นับว่าพ่ายแพ้การประลองรอบนั้น” จูชื่อกล่าวด้วยตาเป็นประกาย
“เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ต้าจื้อตอบรับด้วยความเต็มใจ
ดังนั้นเมื่อทั้งสองปรึกษากันไม่กี่ประโยคแล้ว ต้าซั่งก็เอาขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น ปลายเท้าจมลึกไปบนพื้นหลายชุ่น จากนั้นก็ขยับร่างโดยฉับพลัน ร่างแกว่งไหวเลือนลางอยู่แถวนั้นครู่หนึ่ง วงกลมขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ ก็ถูกวาดขึ้นบนพื้นหินแข็ง
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็เกิดอาการตกตะลึง
ผู้อาวุโสท่านนี้มีรอยย่นเต็มใบหน้าจนดูเหมือนแก่ง่อมเป็นอย่างมาก แต่เท้าทั้งสองกลับว่องไวดูไม่เหมือนกับเนื้อหนังที่เหี่ยวย่น
“เอาล่ะ ผู้ที่ยอมแพ้ ผู้ที่ออกจากวงกลม ผู้ที่ไม่สามารถทำการต่อสู้ต่อไปได้ ถือว่าแพ้! ตอนนี้ต่างฝ่ายสามารถส่งศิษย์หนึ่งคนเข้าไปในวงกลมเพื่อทำการต่อสู้ได้” ผู้อาวุโสต้าซั่งออกจากวงกลมแล้วกล่าวขึ้น
และพอสิ้นสุดเสียง ดรุณีเสื้อแขนสั้นอายุสิบห้าสิบหกปีก็เดินออกมาจากกลุ่มศิษย์หุบเขาเก้าช่อง มีถุงหนังสีเหลืองติดอยู่ ถักผมเปียเล็กๆ เจ็ดถึงแปดเส้น ดวงตาแวววาวทั้งคู่ ปากเล็กๆ ยกขึ้นเล็กน้อย หน้าตาค่อนข้างสวยงาม
“อวี๋เฉิง ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น เจ้าไปประลองก่อนเถอะ” จูชื่อดูท่าทางของดรุณีน้อยแล้วระบุชื่อผู้ประลองออกไป
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดใช้แผนอะไรแล้ว ถ้าหากว่าพวกเขาส่งศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางอย่างเซียวเฟิงหรือหลิ่วหมิงลงไป ถึงแม้รอบแรกจะมีโอกาสชนะแปดถึงเก้าส่วน แต่ก็เท่ากับว่ายอมแพ้ในอีกสองรอบที่เหลือ แบบนี้จะทำลายชื่อเสียงของตนเองและไม่อาจได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ได้ เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จูชื่อและนักพรตจงอยากให้เกิดขึ้น
อวี๋เฉิงรับคำ แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าฮึกเหิม และพอเดินเข้าใกล้วงกลม ร่างของเขาก็ปรากฏรัศมีแสงสีเหลืองออกมาทันที
ดรุณีน้อยเห็นดังนั้นก็เม้มปากยิ้ม มือข้างหนึ่งล้วงไปหยิบลูกกลมๆ สีเหลืองบนเอวโยนออกไป
หลังจากเสียงดัง “ปัง” ลูกกลมๆ สีเหลืองขยายใหญ่ขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นอสรพิษสีดำขนาดยาวหกฉื่อขึ้นไป เกล็ดสีดำมืดมิดสะท้อนแสงเย็นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ามันคือหุ่นอสูร
“ไป”
ดรุณีน้อยทำท่ามือด้วยมือเดียว อีกข้างแตะไปยังหน้าผากของตนเอง ปากก็เปล่งเสียงสั่งออกไป
เสียงดัง “ฟู่”
หุ่นอสูรแค่สะบัดหางตบพื้นแรงๆ ก็ราวกับว่ามีลูกเกาทัณฑ์พุ่งยิงออกไปยังด้านหน้า
“ทำได้ดี”
หลังจากที่อวี๋เฉิงได้รับคำชี้แนะจากนักปราชญ์กุยไปช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็ค่อนข้างจะคุ้นชินกับหุ่นอสูร เห็นสถานการณ์ดังนี้เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาก้มตัวลงไป มือข้างหนึ่งกดลงพื้นทันที อักขระจิตวิญญาณหลายเส้นเปล่งประกายออกมาบนแขนของเขาทันที
หลังจากมีเสียงดังขึ้น แผ่นหินสีเขียวขนาดใหญ่แผ่นหนึ่งลอยขึ้นมาจากพื้น และพลิกตัวกลายเป็นกำแพงหินบังร่างของเขาไว้
ดรุณีน้อยเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน หุ่นอสูรอสรพิษกลับพุ่งชนใส่แผ่นหินโดยไม่คิดจะหลบหลีก
“เพล้ง” เสียงดังกึกก้อง แผ่นหินแตกสลายกลายเป็นผงกระจายหายไปภายในพริบตา หุ่นอสูรอสรพิษก็ดีดตัวร่วงลงบนพื้น
แต่พริบตาที่หุ่นอสูรตัวนี้ตกลงบนพื้น มันอ้าปากและมีแสงเย็นสะท้านพุ่งออกมา
มันคือเข็มเงินขนาดราวกับขนวัว และมันพุ่งผ่านละอองฝุ่นออกไป เสียงดัง “ฉึก! ฉึก!” เข็มปักลงไปบนวัตถุบางอย่าง
ดรุณีน้อยได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขาเปลี่ยนท่ามือร่ายคาถาเพื่อควบคุมให้หุ่นอสูรทำการโจมตีอีกครั้ง ทันใดนั้นมีแสงสีเหลืองเปล่งประกายขึ้นเหนือศีรษะของนาง ก้อนหินสีเหลืองขนาดเท่าหัวคนปรากฏขึ้นกลางอากาศ และทุบลงไปอย่างรุนแรง
ดรุณีน้อยรู้สึกตกใจรีบบิดเอวหลบ ก้อนหินเฉียดไหล่ของนางและหล่นลงไป
แต่ในตอนนั้นเองมีเสียงดัง “เพล้ง”
ลูกไฟสีแดงระเรื่อลูกหนึ่งยิงผ่านละอองฝุ่นมายังด้านหน้าของดรุณีน้อยแห่งหุบเขาเก้าช่องโดยไม่ทันตั้งตัว
ดรุณีน้อยสีหน้าลุกลน ทำได้แค่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาบังอย่างรวดเร็ว
เสียงดัง “ตู้ม!” กระสุนไฟระเบิดออกมา ร่างของดรุณีน้อยถูกปกคลุมอยู่ในนั้น
“ฮ่าๆ”
อวี๋เฉิงหัวเราะเสียงดัง และเดินออกมาจากละอองฝุ่น แต่ตอนนี้บนร่างเขาถูกปกคลุมด้วยดินสีเหลืองหนาๆ ราวกับว่ามันเป็นเสื้อเกราะที่ทำมาจากดิน
เข็มเงินที่หุ่นอสูรพุ่งยิงออกมาก่อนหน้านี้ แต่ละเล่มล้วนติดอยู่บนเสื้อเกราะพิภพ โดยที่เขาไม่เป็นอะไรเลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แอบรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ
วิชาเกราะพิภพนับว่าเป็นวิชาเฉพาะของพลังหยินพสุธา คนที่ฝึกฝนวิชาอื่น ถึงแม้จะอยากฝึกฝนวิชานี้ก็ต้องใช้พลังมากแต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ดีใจเร็วไปหน่อยไหม”
น้ำเสียงที่ฟังดูโมโหดังมาจากในเปลวไฟ เสียงดัง “พรึ่บ” เปลวไฟถูกลมพายุพัดจนม้วนหายไป
ปรากฏร่างของดรุณีน้อยขึ้นอีกครั้ง
แต่ตอนนี้บนแขนของนางมีโล่สีเหลืองแดงเล็กๆ ติดอยู่ มืออีกข้างคีบยันต์สีแดงระเรื่อผืนหนึ่ง มันเปล่งแสงสีแดงจางแผ่คลุมปกป้องร่างของนางไว้ ร่างกายไม่มีร่องรอยของการถูกไฟเผาเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นยันต์ในมือของดรุณีน้อยก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ถึงแม้เขาจะเข้าสู่โลกของการฝึกฝนได้ไม่นาน แต่ก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งของล้ำค่าและมีน้อย มันสามารถนำวิชามาเก็บไว้ในนั้นได้
นอกจากยันต์ไม่กี่ชนิดที่สามารถใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ยันต์ที่สามารถใช้โจมตีป้องกันแค่ครั้งเดียวนี้ แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณเองก็มีไม่มาก
“ยันต์เลี่ยงอัคคี! เพื่อชนะการประลองในครั้งนี้สหายทั้งสองถึงกับยอมทุ่มขนาดนี้! ยันต์นี้ต้องใช้วัสดุที่หายาก ผู้เชี่ยวชาญการประดิษฐ์ยันต์โดยทั่วไปประดิษฐ์เป็นร้อยครั้งก็ยังไม่รู้เลยว่าจะประดิษฐ์ได้สักผืนหรือเปล่า พวกเจ้ากลับมอบมันให้กับศิษย์” พอจูชื่อเห็นยันต์ในมือของดรุณีน้อยก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“เฮ่อๆ สหายทั้งสองเข้าใจพวกข้าทั้งสองผิดแล้ว ยันต์นี้พวกเราไม่ได้มอบให้ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเด็กนี่แซ่อะไร?” ต้าจื้อเห็นเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับหัวเราะ และถามย้อนกลับไป
“แซ่อะไร?” จูชื่อค่อนข้างประหลาดใจ
“นางแซ่หนาน!” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจ
“แซ่หนาน หรือว่าดรุณีนางนี้มีความสัมพันธ์อันใดกับไต้ซือหนาน?” จูชื่อตะลึงงัน แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ฮ่าๆ ในที่สุดสหายจูก็นึกขึ้นมาได้ ดรุณีน้อยนางนี้เป็นหลานสาวที่ไต้ซือรักมาก เพียงเพราะชอบวิชาการควบคุมหุ่นมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้เข้ามาเป็นศิษย์ในนิกายเรา ดังนั้นถ้าเด็กผู้นี้จะมียันต์ไว้ป้องกันตัวบ้างก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ” ต้าจื้อกล่าวตอบกลับด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
……………………………………….