ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 480 ถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงกลับถึงนิกายแล้ว เขาก็ตรงไปหาผู้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องในหอลี้ลับในทันที เมื่อมอบไข่แมงมุมขาหิมะไปแล้ว ก็ได้แต้มคุณูปการมาสามพันกว่าแต้ม
เมื่อเทียบแต้มคุณูปการเหล่านี้กับหนี้ที่เขาติดค้างนิกายแล้ว แม้จะถือว่าเป็นแต้มอันน้อยนิด แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้ เพื่อหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุได้แล้ว
หลังออกจากหอลี้ลับ หลิ่วหมิงก็เหาะไปยังยอดเขาที่มีไอหมอกดำจางๆ ลอยวนอยู่ ยอดเขาแห่งนี้แลดูอึมครึมเล็กน้อย
พื้นราบเรียบที่ซ่อนอยู่กลางไหล่เขา มีหอขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นอกหอไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เลย สีก็ดูคล้ายคลึงกับสีของยอดเขา ด้วยเหตุนี้หากไม่มองดูอย่างละเอียด ก็จะไม่เห็นมันโดยง่าย
สถานที่แห่งนี้ก็คือหอความเป็นความตายที่มีชื่อเสียงของเขาหมื่นวิญญาณนั่นเอง
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็ร่อนลงบนพื้นราบเรียบ และก้าวเข้าไปด้านในทันที
หอแห่งนี้ด้านนอกดูธรรมดามาก แต่ด้านในกลับเป็นโลกมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่ง แม้จะกว้างขวางไม่เท่าหอลี้ลับ แต่กลับตกแต่งคล้ายเคียงกันเล็กน้อย ผู้คนในนั้นก็มีอยู่น้อยมาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันโล่งไปหน่อย
ด้านหลังของแท่นหินสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดของผู้อาวุโสดำเนินการยืนอยู่ เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างเบาๆ กับศิษย์สายนอกสองคน บนแท่นหินมีศีรษะอัปลักษณ์ที่เปียกโชคไปด้วยเลือดวางอยู่สองใบ
พอทั้งสามได้ยินเสียงหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็หันมามองทันที
ผู้ดำเนินการวัยกลางคนมีโครงหน้าสี่เหลี่ยม สีหน้าไม่ใส่ใจใยดี หลังจากมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ละสายตากลับไป แต่ศิษย์สายนอกสองคนนั้น คนหนึ่งดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา สะพายกระบี่ยักษ์สีดำอยู่บนหลัง ส่วนอีกคนกลับเป็นชายฉกรรจ์ผิวดำวาว มือทั้งสองว่างเปล่า แต่มีถุงหนังตุงๆ อยู่บนเอวหลายใบ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
ทั้งสองสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความอยากรู้ เพราะตามหลักแล้ว คนที่สามารถมาหอความเป็นความตายได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ไร้นามแต่อย่างใด แต่ดูจากรูปร่างของหลิ่วหมิงแล้ว พวกเขากลับเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก
“เจ้ามาดูป้ายประกาศหรือมารับรางวัล?” ผู้ดำเนินการวัยกลางคนมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามอย่างราบเรียบ
“ขณะที่ศิษย์ออกไปด้านนอกในหลายวันมานี้ โชคดีสังหารมนุษย์ปีศาจที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตายได้ จึงนำมาแลกรางวัล” น้ำเสียงหลิ่วหมิงดูนอบน้อมมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ รูปร่างหน้าตาก็ดูธรรมดา แต่กลิ่นไอบนตัวกลับทำให้รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก
“อืม! ไปรอทางนั้นก่อน” ชายวัยกลางคนตอบรับทีหนึ่ง จากนั้นก็แหงนหน้ามองศิษย์สายนอกสองคนนั้น
“เมื่อครู่ได้ตรวจสอบกับรูปภาพบนบัญชีความเป็นความตายแล้ว ศีรษะทั้งสองที่พวกเจ้านำมานี้ คือนักพรตแทงจันทราที่จัดอยู่ในอันดับที่เก้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ด และมนุษย์ปีศาจชุดแดงที่อยู่อันดับที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบ นำป้ายประจำตัวมาให้ข้าเถอะ!” ชายวัยกลางคนเก็บศีรษะบนแท่นหินแล้วกล่าวออกมา
ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็รีบยื่นป้ายประจำตัวออกไป
ชายวัยกลางคนหยิบพู่กันหยกออกมาอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากมอบแต้มคุณูปการให้ทั้งสองคนละพันกว่าแต้มแล้ว ก็มองไปทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบเดินเข้าไปหาทันที เขาหยิบถุงหนังออกมาใบหนึ่ง และวางลงบนแท่นหิน พอเปิดปากถุงออก ศีรษะก็กลิ้งออกมา
“เอ๊ะ? ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นทารกเทียนฉานของลัทธิเสวียนหมู่นี่ เหมือนจะอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยกว่า เจ้าสังหารคนผู้นี้หรือ?” ชายวัยกลางคนกวาดสายตาดูทีหนึ่ง และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ? ทารกเทียนฉาน?!” เดิมทีศิษย์สายนอกทั้งสองคิดจะเดินจากไปแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องหันมาด้วยความตกใจ
หลิ่วหมิงรู้ที่มาของทารกเทียนฉานจากปากเยี่ยนหมิงแล้ว หลังจากตอบรับไปหนึ่งคำ เขาก็ยืนรออย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าสงบ
ชายวัยกลางคนสังเกตดูหลิ่วหมิงอีกครั้งแล้วพยักหน้ากล่าว
“สามารถสังหารคนผู้นี้ได้ เจ้าย่อมมีพลังไม่ธรรมดา นำป้ายประจำตัวมาเถอะ!”
หลิ่วหมิงรีบยื่นป้ายประจำตัวออกไปทันที
“ทารกเทียนฉาน ศิษย์ลัทธิเสวียนหมู่ เชี่ยวชาญการซ่อนตัวลอบโจมตี เขาเคยสังหารศิษย์นิกายเราไปเก้าคน มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบเก้า รางวัลตอบแทนห้าพันแต้มคุณูปการ” ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนก็หยิบป้ายหยกสีขาวออกมา และโบกไปทางศีรษะของทารกเทียนฉาน มีแสงแวววาวเปล่งประกายบนป้าย และก่อตัวเป็นเงาร่าง ซึ่งเป็นภาพของทารกเทียนฉานนั่นเอง
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ทันใดนั้นพู่กันหยกในมือก็เปล่งประกาย แสงลำหนึ่งตกลงบนป้ายของหลิ่วหมิง พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าบนนั้นมีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาห้าพันแต้ม
“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก มีแต้มคุณูปการห้าพันแต้มแล้ว ก็สามารถทำเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้น
ชายวัยกลางคนมองดูเขาอีกที จากนั้นก็หิ้วศีรษะของทารกเทียนฉานเดินเข้าไปด้านใน
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องผู้นี้สามารถฆ่าทารกเทียนฉานได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ศิษย์น้องดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย คงเป็นศิษย์มาใหม่สินะ! ไม่ทราบว่าฝึกฝนอยู่สาขาใด?” ขณะนี้ศิษย์สายนอกทั้งสองก็เดินเข้ามา และผู้ที่เอ่ยปากออกมาก็คือชายหนุ่มผิวขาวนั่นเอง
“อ้อ! ข้าน้อยหลิ่วหมิง จากสาขาห่านฟ้า ศิษย์พี่ทั้งสองคือ……” หลิ่วหมิงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่ว พวกข้าทั้งสองเป็นศิษย์สาขาวายุทะยานฟ้า ปกติไม่ค่อยจะรับภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับ แต่มักจะสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตาย และก็เคยศึกษาความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องสนใจเข้าร่วมกับพวกข้าทั้งสองหรือไม่? หากพวกเราทั้งสามร่วมมือกันล่ะก็ สามารถท้าสู้มนุษย์ปีศาจที่มีรายชื่อในอันดับต้นๆ ได้” ชายหนุ่มผิวขาวกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“เรื่องนี้……ช่วงนี้ข้าน้อยวางแผนกักตัวในนิกายระยะหนึ่ง กะว่าจะไม่ออกไปรับภารกิจชั่วคราว” หลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลโดยไม่ต้องคิด เพราะขณะนี้แต้มคุณูปการเพียงพอแล้ว เขาย่อมไม่สนใจเรื่องราวที่ไม่สำคัญอีก
“เช่นนี้หรอกหรือ น่าเสียดายจริงๆ ผู้ที่มีรายชื่ออันดับร้อยกว่าๆ ในบัญชีความเป็นความตาย มีค่าหัวมากสุดแค่ไม่กี่พันแต้มคุณูปการเท่านั้น ที่คุ้มค่าสุดยังคงอยู่ในร้อยอันดับแรก” ชายผิวขาวเกลี้ยงเกลากล่าวอย่างเสียดาย
ชายฉกรรจ์ผิวดำที่อยู่ข้างๆ กลับไม่กล่าวอะไรออกมา ราวกับว่าให้คู่หูเป็นหัวหน้า
“ศิษย์พี่ทั้งสองคุ้นเคยกับบัญชีความเป็นความตายเช่นนี้ ไม่ทราบว่าสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตายเป็นใครบ้าง?” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา และถามด้วยความอยากรู้
“ในนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อร้อยอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตายที่พวกข้ารวบรวมขึ้นมา ศิษย์น้องดูก่อนได้ หากสนใจล่ะก็ ไปหาพวกข้าทั้งสองที่สาขาวายุทะยานฟ้าได้ตลอดเวลา” พอชายหนุ่มผิวขาวเห็นว่าหลิ่วหมิงดูเหมือนจะสนใจอยู่บ้าง เขาจึงควักแผ่นหยกออกจากอก และยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ และนำไปแปะไว้บนหน้าผาก พอใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่ารายชื่อในร้อยอันดับแรก มีค่าหัวหนึ่งหมื่นแต้มคุณูปการขึ้นไป อันดับยิ่งสูงแต้มคุณูปการก็สูงตามไปด้วย
อันดับที่สิบ ‘เซียนผีเสื้อดำ’ ก็มีค่าหัวเกินห้าหมื่นแต้มคุณูปการแล้ว ส่วนอันดับหนึ่งอย่าง ‘ราชาโลหิต’ ก็มีค่าหัวถึงล้านแต้มคุณูปการ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน!
อย่างที่รู้ว่า รายชื่อบนบัญชีความเป็นความตาย ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ทางนิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศรางวัลนำจับ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง จะมีค่าหัวถึงหนึ่งล้านแต้มคุณูปการ
“หากสามารถฆ่าคนผู้นี้ได้ ก็ไม่เท่ากับว่าหนึ่งล้านแต้มคุณูปการที่ติดค้างนิกาย สามารถใช้คืนได้หมดในทีเดียวหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นโครมครามเล็กน้อย แต่ความคิดนี้ก็ถูกเขาลบทิ้งไปในทันที
ในเมื่อราชาโลหิตอยู่อันดับแรกของบัญชีความเป็นความตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา เกรงว่าลำพังแค่พลัง ก็คงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกโดยทั่วไปแล้ว ย่อมไม่ใช่คู่สู้ของเขาในตอนนี้อย่างแน่นอน
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสองที่แจ้งให้ทราบ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงกวาดดูแผ่นหยกคร่าวๆ อีกรอบ หลังจากจดจำข้อมูลสองสามคนแล้ว ก็คืนมันให้กับทั้งสอง และกุมมือคารวะก่อนหมุนตัวออกไปจากหอ
“จุ๊ๆ! คิดไม่ถึงว่าสาขานอกของนิกายเราจะมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้” ชายผิวขาวจ้องมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่เดินจากไป และทอดถอนใจเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“หากคนผู้นี้บุกเดี่ยวสังหารทารกเทียนฉานจริงๆ ล่ะก็ การประลองใหญ่ในภายหน้า จะต้องเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอย่างแน่นอน” ชายฉกรรจ์ที่เงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากออกมา
ชายผิวขาวไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับยืนนิ่งและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
……
พอออกจากหอความเป็นความตาย หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆตรงไปวิหารห้าธาตุทันที
ขณะนี้ คนในวิหารมีไม่มาก หลิ่วหมิงจึงเดินตรงไปหาศิษย์ดำเนินการคนหนึ่ง ศิษย์ผู้นี้เป็นชายฉกรรจ์ที่มีรอยแผลปรุบนใบหน้า อายุราวๆ สามสิบกว่า
“ศิษย์น้องผู้นี้ ต้องการใช้ถ้ำห้าธาตุเพื่อฝึกฝนหรือ?” ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก ชายที่มีแผลปรุบนใบหน้าก็ถามออกมาก่อน
“ใช่แล้ว ข้าน้อยกะจะเช่าถ้ำจิตวิญญาณธาตุไม้ระดับห้าเป็นเวลาครึ่งเดือน” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล
“ได้! ข้าจะจัดการให้ศิษย์น้องเดี๋ยวนี้ แต่ตามกฎแล้ว การใช้ถ้ำจิตวิญญาณหนึ่งวัน ต้องใช้สองร้อยแต้มคุณูปการ ศิษย์น้อง…..” ชายที่มีแผลปรุบนใบหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
เพราะต้องใช้แต้มคุณูปการมากถึงเพียงนี้ สำหรับศิษย์สายนอกระดับของเหลวขั้นกลางผู้หนึ่งแล้ว ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ควรจ่ายแต้มคุณูปการเท่าใดข้าน้อยย่อมรู้ดี” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล และยื่นป้ายประจำตัวออกไปทันที
ชายฉกรรจ์ผู้นี้แตะพู่กันหยกสีขาวลงบนป้ายเบาๆ หลังจากนำแต้มคุณูปการออกไปสามพันแต้มแล้ว ก็ยิ้มด้วยสีหน้าเหยเก และยื่นแผ่นหยกสีเขียวให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็อธิบายวิธีการใช้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงรับแผ่นหยกไปแล้ว ก็เดินไปข้างวิหารเหมือนกับคนอื่นๆ
ไม่นาน เขาก็มาถึงหน้าประตูหินทั้งห้าที่ยืนเรียงเป็นแถว จะเห็นว่าจากด้านซ้ายมาด้านขวา เป็นประตูสีทอง เขียว ฟ้า แดง เหลือง ตามลำดับ ประจักษ์ชัดว่าสอดคล้องกับธาตุทั้งห้า ซึ่งก็คือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินนั่นเอง
หลิ่วหมิงพลันเดินไปหน้าประตูหินสีเขียวที่เป็นธาตุไม้ หลังจากปล่อยพลังเวทใส่แผ่นหยกเล็กน้อยแล้ว ก็โบกไปทางประตูหิน
แสงสีเขียวเปล่งประกายบนแผ่นหยก และพุ่งไปยังประตูหินทันที
แสงทรงกลดสีเขียวเปล่งประกายบนประตูหินเช่นเดียวกัน หลังจากมีเสียงดังแกร๊กกร๊าก ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นถึงพื้นว่างเปล่าสีขาวสลัวๆ ตรงกลางมีค่ายกลส่งตัวประทับอยู่หลังหนึ่ง และมันกำลังเปล่งแสงอยู่
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปกลางค่ายกลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย เขาก็หายไปจากที่เดิมทันที
เมื่อเขาได้สติกลับมา ก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีพื้นที่หลายจั้ง
จุดสิ้นสุดของสายตาเป็นไอหมอกสีเขียวครึ้ม และเนื่องจากมีคนภายนอกบุกเข้ามา มันจึงพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด
พอหลิ่วหมิงสูดดมเบาๆ ก็ได้กลิ่นหอมจรุงใจของต้นไม้ใบหญ้า กลางอากาศเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณธาตุไม้อันหนาแน่น จนเกือบจะยึดติดกัน
ครู่ต่อมา ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ก็เริ่มพุ่งเข้าไปในร่างหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง โดยที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย
พริบตานั้น หลิ่วหมิงรู้สึกว่าจุดชีพจรต่างๆ เต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่หนาแน่นจนถึงขีดสุด และทะเลจิตวิญญาณในจุดตันเถียน ก็เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
…………………………………