ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 481 หลงเหยียนเฟย
แม้หลิ่วหมิงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังคงรู้สึกว่าโลหิตภายในร่างประทุขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันเมื่อปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ตามจุดชีพจรต่างๆ ซัดสาดจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็นำพามาซึ่งความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกทึ้ง เหมือนกับว่ามีมีดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกรีดแทงอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงที่ถูกปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ห่อหุ้มอยู่ เริ่มเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดเต็มหน้าผาก และไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เขาตะโกนออกมา และทำท่ามือด้วยมือเดียว พอไอดำพวยพุ่งออกจากตัว นี้ร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัวท่ามกลางเสียงดังกรอบแกรบ แขนขาทั้งสี่และกล้ามเนื้อเริ่มสั่นสะท้าน เส้นเอ็นสีเขียวค่อยๆ ปูดโปนขึ้นมา
พริบตาเดียว พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงก็ไหลวนเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ปราณจิตวิญญาณที่รวมอยู่ในร่าง ถูกนำพาไปยังทะเลจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นพลังเวท หลังจากที่มันหมุนวนผ่านไปไม่กี่รอบ ร่างกายกับชีพจรของเขาก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับปราณจิตวิญญาณอันหนาแน่นนี้ได้
“ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่หนาแน่นเช่นนี้ หากผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปเข้ามาที่นี่แล้วไม่ทันระวัง เกรงว่าคงถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนร่างระเบิดได้” หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ และพูดพึมพำออกมา
เขามีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคอยช่วย บวกกับมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป จึงปรับตัวเข้ากับถ้ำจิตวิญญาณระดับห้านี้ได้ทัน แต่หากเป็นถ้ำจิตวิญญาณระดับสี่ เกรงว่ามันคงไม่ง่ายถึงเพียงนี้
หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้ว ก็รีบกวาดสายตาดูสภาพแวดล้อมภายในถ้ำคร่าวๆ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มันไม่ใช่ถ้ำทั่วไปที่ก่อตัวขึ้นจากหิน ผนังรอบด้านรวมถึงพื้นล้วนเป็นสีเขียวครึ้ม ทั้งยังมีลวดลายลึกลับจำนวนหนึ่งสลักอยู่ และกำลังเปล่งแสงจิตวิญญาณจางๆ
ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าผนังหินเหล่านี้ เป็นผลึกหินธาตุไม้ชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพไม่เบา
บริเวณรอบด้านของถ้ำล้วนเป็นผนังหินชนิดนี้ มีเพียงแค่ด้านบนที่โปร่งแสงราวกับเชื่อมโยงกับโลกภายนอก แต่ก็ดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น
และที่นี่นอกจากมีเบาะวางอยู่ตรงมุมแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกเลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบไปนั่งขัดสมาธิ และเริ่มหลับตาเข้าฌาน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมา ดวงตาของเขามีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
เขาพลิกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และหยิบไผ่ว่างเปล่าออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาวางไว้ตรงหน้า
พอไผ่นี้ปรากฏออกมา ปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็พวยพุ่งไม่หยุด และพุ่งเข้าไปในไผ่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ลวดลายห้าสีบนพื้นผิวเปล่งประกายขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะแน่นหนากว่าโลกภายนอกมาก
แต่หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็ชี้นิ้วไปยังไผ่ว่างเปล่าที่เปล่งแสงสีเงินแวววาว
ทันใดนั้นไผ่ว่างเปล่าที่ยาวฉื่อกว่าๆ ก็ลอยขึ้นมา และหยุดอยู่กลางอากาศบริเวณหน้าอก
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวนิ้วอย่างรวดเร็ว พออ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์สีเขียวออกมา มันก็ค่อยๆ จมเข้าไปในไผ่ว่างเปล่า
ลวดลายห้าสีบนไผ่สีเงินเปล่งประกาย และเริ่มเลื้อยขยุกขยิกขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เริ่มร่ายคาถาออกมา ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งไม่หยุด ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วิชาลึกลับถูกปล่อยเข้าไปในไผ่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา
……
หนึ่งวันต่อมา
ไผ่ว่างเปล่าที่ลอยอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงดูโปร่งใสขึ้นมา ลวดลายห้าสีที่เลื้อยขยุกขยิกอยู่ ก็เริ่มพร่ามัวจนดูขาดๆ หายๆ
หลิวหมิงสะบัดแขนเสื้อหยิบขวดหยกสีขาวออกมาในฉับพลัน พอเขากวักมือ โอสถสีเขียวหยกก็ลอยออกมาหนึ่งเม็ด และพุ่งเข้าไปในปากของเขา จากนั้นปราณจิตวิญญาณธาตุไม้บริสุทธิ์ในถ้ำ ก็เข้าไปในร่างของเขารวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง ภายในไผ่โปร่งใส มีไหมเงินโปร่งแสงเล็กๆ ลอยขึ้นมา และภายใต้การลอยวนของปราณจิตวิญญาณธาตุไม้ มันก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างของเขาราวกับไอหมอก
ภายในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิง ขณะที่ไหมโปร่งแสงทะลักเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ไอกระบี่อันอ่อนแอที่เกิดจากเศษตัวอ่อนกระบี่ที่ถูกทำลายในก่อนหน้า ก็ค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และก่อตัวเป็นเงากระบี่เล็กๆ
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู พอเห็นเช่นนี้ก็รีบทำตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง เขาแบ่งจิตออกเป็นหลายส่วน และควบคุมพลังเวทที่ไหววนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ทำให้ไหมโปร่งแสงพันรอบเงากระบี่เล็กอยู่ไม่หยุด
พอเงากระบี่เล็กสัมผัสกับไหมเงิน ก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ มันเริ่มกลืนกินไหมเงินทีละนิดๆ และทุกครั้งที่กลืนกิน กระบี่เล็กสีเงินก็จะชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่ไหมเงินโปร่งแสงทะลักเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของเงากระบี่เล็ก ก็เริ่มถูกเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเปล่งแสงสีเงินสว่างไสว
หกวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงสภาพนี้ไว้ คาถาที่ร่ายออกมาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าไผ่สีเงินตรงหน้าหลิ่วหมิงดูมืดลงไม่น้อย และไหมเงินเล็กๆ ที่ลอยออกจากในนั้น ก็มีขนาดเล็กลงไปมาก
เงากระบี่เล็กสีเงินที่ชัดเจนในทะเลจิตวิญญาณของเขา ก็ดูหรุบหรู่ลง และแสงห้าสีก็ปรากฏขาดๆ หายๆ
ผ่านไปอีกห้าวัน กระบี่เล็กในจุดตันเถียนของหลิ่วหมิง ก็มีสภาพโปร่งใสโดยสมบูรณ์ มีเพียงแค่เวลาที่มันหมุนวนเท่านั้น ถึงมองเห็นแสงห้าสีที่เปล่งประกายอยู่รำไร
“ตู๊ม!”
เมื่อไหมเงินเส้นสุดท้ายลอยออกจากไผ่ว่างเปล่า ไผ่จิตวิญญาณห้าสีที่เปล่งแสงสีเงินแวววาว ก็กลายเป็นไผ่สีเขียวธรรมดาๆ ท่อนหนึ่ง และพังทลายในพริบตา
หลิ่วหมิงยังคงร่ายถาคาไม่หยุด เพื่อควบคุมพลังเวทที่หมุนวนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ
ผ่านไปอีกสองวัน พลันมีเสียงกระบี่ดังขึ้นอย่างชัดเจนในทะเลจิตวิญญาณของเขา เงากระบี่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ ที่ปรากฏขาดๆ หายๆ ลอยไปลอยมาในทะเลจิตวิญญาณ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้หยุดร่ายคาถาลง พอส่งจิตกวาดดูภายในร่างแล้ว ก็เผยรอยยิ้มออกมา
ในที่สุดก็หลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุสำเร็จแล้ว ต่อไปก็แค่ใช้พลังเวทค่อยๆ บ่มเพาะก็พอ
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ พอใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ประเภทนี้เข้าไปตัวกระบี่ และทำให้มันกลายเป็นอาวุธจิตวิญญาณประจำตัวแล้ว มันก็สามารถไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย ทำให้ศัตรูไม่อาจป้องกันได้
หลิ่วหมิงย่อมพอใจในผลลัพธ์นี้มาก
ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ตัวอ่อนกระบี่ประเภทนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากวิธีการที่ถูกต้อง จึงต้องใช้เวลาบ่มเพาะนานกว่าตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปมาก และเมื่ออานุภาพของมันถึงขีดจำกัด ก็ยากที่จะยกระดับให้สูงขึ้นได้
แต่เทียบกับการที่ไม่อาจหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ข้อเสียเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสนใจอีก
หลิ่วหมิงนำโอสถออกมาทานหลายเม็ดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และหยิบหินจิตวิญญาณออกมาฟื้นฟูพลังเวท
การหลอมตัวอ่อนกระบี่ติดต่อกันสิบกว่าวัน ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทและพลังกายไปไม่น้อย จึงถือโอกาสที่ยังมีเวลาอยู่ในสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น ทำการฟื้นฟูเล็กน้อย
หนึ่งวันต่อมา
เวลาในการใช้ถ้ำจิตวิญญาณก็สิ้นสุดลง หลิ่วหมิงรู้สึกว่าลวดลายบนผนังรอบด้านเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง และค่ายกลแสงก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้า จากนั้นภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็พร่ามัว และเขาก็กลับมาในห้องข้างห้องโถงของวิหารห้าธาตุอีกครั้ง
เขารีบเดินออกมาด้วยความตะลึงงัน เมื่อออกจากวิหารห้าธาตุแล้ว ก็ขี่เมฆทะยานฟ้าเหาะไปทางสาขาห่านฟ้าทันที
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในถ้ำที่พัก และรีบล้มตัวนอนลงบนเตียงหินอย่างเอาเป็นเอาตาย
ครึ่งเดือนมานี้ เขาหลอมรวมตัวอ่อนกระบี่จนร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า ย่อมต้องพักผ่อนให้มากๆ
แต่เขาหลับได้ไม่นาน ก็มีเสียงรื่นหูของหญิงสาวดังมาจากนอกประตู
“ศิษย์น้องหลิ่วกลับถ้ำที่พักแล้วใช่หรือไม่ ข้าหลงเหยียนเฟยจากยอดเขาเลื่อนลอยมาเยี่ยมเยียน!”
“อะไรนะ! ศิษย์สายใน?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก เขารีบลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันที
ไม่นานเขาก็เปิดประตูด้วยความสงสัย
หญิงสาวสวมชุดสีม่วงอ่อนยืนอยู่หน้าประตู นางดูมีอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้าราวกับรูปวาด
“ข้าน้อยคือหลิ่วหมิง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่คือ……” พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
การกลายเป็นศิษย์สายในในขณะที่อายุยังน้อยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าผู้อื่นมาก จึงถูกผู้อาวุโสยอดเขารับเป็นศิษย์สายใน และพอเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะอย่างไม่ชักช้า
พอนางเห็นหลิ่วหมิงออกมา ดวงตางดงามก็เป็นประกาย และหลังจากได้ยินหลิ่วหมิงบอกชื่อแซ่แล้ว นางก็ยิ้มและกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องหลิ่วอยู่จริงๆ ด้วย ดีจังเลย! เจ้ารู้ไหมว่า ข้ามาสาขาห่านฟ้าหลายครั้งเพื่อหาเจ้า จะว่าไปแล้วศิษย์น้องกับตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงินของเรา ก็ค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำ”
“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร……” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ตามที่ได้ยินมา ปกติศิษย์สายในจะค่อนข้างเก็บตัว และไม่มาปรากฏตัวโดยง่าย
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะมาหาถึงที่ ทั้งยังพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมทำให้เขารู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วเป็นศิษย์สายตรงของลิ่วยินเจินเหริน และลิ่วยินเจินเหรินก็เป็นบรรพบุรุษของตระกูลหลงเรา ปีนั้นได้หายตัวไปโดยไม่คาดคิด และไม่เคยกลับมาอีกเลย ในเมื่อศิษย์น้องเป็นผู้สืบทอดในนิกายที่ท่านปู่ก่อตั้งขึ้นมา ย่อมมีความพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลหลงเรา” หญิงที่เรียกตนเองว่าหลงเหยียนเฟยหุบยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! ศิษย์พี่เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง
ที่เขาสามารถเข้ามาฝึกฝนในนิกายยอดบริสุทธิ์นี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าได้พบเจอกับจิตรับรู้ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้น จึงโชคดีได้รับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งมา
และวันนี้เขาได้พบกับทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน เดิมทีควรจะมอบตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณให้กับนางตามที่ปรมาจารย์ลิ่วยินได้ขอร้องไว้ถึงจะถูก
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามนั้น ตัวอ่อนกระบี่นี้ถูกจิตปีศาจที่แย่งชิงร่างเขาในก่อนหน้า ผสานมันเข้ากับตัวอ่อนกระบี่ของเขา และตอนที่ต่อสู้กับราชาปีศาจสมุทรบนเกาะตะพาบน้ำ เขาก็ใช้มันป้องกันตัวจนระเบิดไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พอเห็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยินมาปรากฏตัว หลิ่วหมิงจึงรู้สึกใจฝ่อแบบแปลกๆ แต่ดีที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ
ขณะนี้ หลังจากหลงเหยียนเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว นางก็เอ่ยปากออกมา
“ความจริงแล้ว ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะคำสั่งของท่านย่า ท่านอยากรู้เรื่องราวที่ท่านปู่ซัดเซพเนจรไปยังถิ่นอื่น หวังว่าศิษย์น้องจะช่วยส่งเสริมเล็กน้อย”
…………………………………