ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 482 หุบเขาน้ำพุเงิน
“ในเมื่อศิษย์พี่เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน ศิษย์น้องก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตาม ความจริงแล้วข้ามาจากสถานที่ที่มีชื่อว่าเกาะอวิ๋นชวน เกาะแห่งนี้อยู่ในเขตทะเลชังไห่……” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็พินิจพิเคราะห์คำพูดที่เคยเล่าให้ผู้อาวุโสยอดเขาเลื่อนลอยฟังในวันนั้น และนำมาเล่าให้หญิงสาวตรงหน้าฟังอีกรอบ
เมื่อหลงเหยียนเฟยฟังจบ กลับเผยสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ ไม่นานนางก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“หลายพันปีมานี้ ตระกูลของข้าตามหาเบาะแสของบรรพบุรุษมาโดยตลอด วันนี้ต้องขอบคุณศิษย์น้องที่บอกให้รู้ นับว่าได้เติมเต็มความปารถนาของคนในตระกูลแล้ว”
“ศิษย์พี่พูดอะไรกัน ผู้อาวุโสลิ่วยินมีบุญคุณต่อข้า จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับไปตามมารยาท
“ศิษย์น้องหลิ่วเป็นศิษย์ของบรรพบุรุษข้า ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกไปหุบเขาน้ำพุเงินกับข้าสักคราหรือไม่? หลังจากท่านย่ารู้เรื่องบรรพบุรุษแล้ว ก็อยากจะพบหน้าศิษย์น้องด้วย” หญิงสาวคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ข้าน้อยเพิ่งเข้านิกายมาไม่นาน และตอนนี้ต้องจัดการเรื่องราวบางอย่างเล็กน้อย ไม่สู้รอผ่านไปซักระยะ ข้าน้อยจะไปเยี่ยมเยียนเองดีหรือไม่” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านในใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นรอผ่านไปสักระยะหนึ่ง แล้วข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน” หลงเหยียนเฟยได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย
หลิ่วหมิงย่อมได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
หลังจากทั้งสองสนทนากันอีกสองสามประโยคแล้ว หลงเหยียนเฟยก็ขี่เมฆขาวเหาะจากไป
พอหญิงสาวผู้นี้ไปไกลแล้ว หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง พอกลับเข้าไปในถ้ำ เขาก็เดินวนไปวนมาในห้องนอน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงถอนหายใจออกมา และล้มตัวนอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
เช้าวันที่สาม หลิ่วหมิงถึงตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม
เวลาต่อมา เขาไปตลาดที่อยู่ในนิกายรอบหนึ่ง เมื่อซื้อยันต์กับโอสถที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ก็รีบกลับไปกักตัวฝึกฝนอยู่ในห้องลับ
ในเมื่อตอนนี้เขาหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุสำเร็จแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือพยายามฝึกฝนพลังเวทของตนเองให้แข็งแกร่ง
อย่างที่รู้ว่า ตอนนี้อยู่ห่างจากเวลาที่ฟองอากาศลึกลับในร่างจะดูดกลืนพลังเวทไม่มากแล้ว
แต่ทว่าในขณะที่หลิ่วหมิงกักตัวฝึกฝนนั้น ในบรรดาศิษย์สายนอกกลับแพร่กระจายข่าวลือบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา
ภายในหอลี้ลับนอก
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ศิษย์จำนวนมากจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขากำลังเลือกภารกิจบนป้ายประกาศนอก เพื่อการฝึกฝนในภายหน้า จึงต้องสะสมแต้มคุณูปการอย่างยากลำบาก
“ศิษย์พี่จาง ท่านได้ยินข่าวลือที่ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันในช่วงนี้หรือไม่?” ศิษย์ธรรมดาที่มีหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง กระซิบถามสหายที่อยู่ข้างๆ
“ที่เจ้าพูดคือเรื่องใด?” ศิษย์พี่จางกล่าวโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากป้ายประกาศลี้ลับ
“ท่านไม่รู้หรอกหรือ? ทารกเทียนฉานแห่งลัทธิเสวียนหมู่ ที่มีรายชื่อติดอันดับที่หนึ่งร้อยกว่าในบัญชีความเป็นความตาย ถูกคนจัดการไปแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่สังหารเขาเป็นแค่ศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่” ชายหน้าตาอัปลักษณ์หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ทารกเทียนฉาน? มีคนฆ่าเขาได้จริงๆ หรือ?” ประจักษ์ชัดว่าศิษย์พี่จางรู้จักทารกเทียนฉาน ในที่สุดเขาก็ละสายตาออกจากป้ายประกาศลี้ลับแล้วกล่าวออกมา
“เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ข้าได้ยินมาจากศิษย์พี่เยี่ยน ในขณะที่ข้าไปทำภารกิจที่เขาที่เขาหนานผานเมื่อวานนี้ ศิษย์พี่เยี่ยน ศิษย์พี่เสวี่ย และศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกสามคน ไปล่าปีศาจอสูรที่เทือกเขาตะวันมืดด้วยกัน และบังเอิญเจอกับทารกเทียนฉานเข้า หลังผ่านการต่อสู้ไปหนึ่งรอบ พวกศิษย์พี่เยี่ยนก็ไม่สามารถสู้ได้ และคนของพวกเขาก็เสียชีวิตในเงื้อมมือของมนุษย์ปีศาจนี้ไปสามคน” ชายหน้าตาอัปลักษณ์เห็นว่าฝ่ายตรงหน้าให้ความสนใจ เขาจึงพูดคุยโวออกมา
“รีบเล่ามา ตอนท้ายเป็นอย่างไรบ้าง?” ศิษย์พี่จางยังไม่ทันได้ถาม อีกคนที่อยู่ด้านข้างก็ถามด้วยความอยากรู้ คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินเช่นนี้ ต่างก็กรูกันเข้ามา
ชายหน้าตาอัปลักษณ์เห็นคนจำนวนมากมองเขาเช่นนี้ เขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา หลังจากกระแอมไอแล้ว จึงเล่าด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“พูดถึงสถานการณ์ในวันนั้นแล้ว ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ศิษย์พี่เยี่ยนกับศิษย์พี่เสวี่ยไร้ทางหนีทีไล่นั้น พลันมีเสียงตะโกนดังออกมา จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดศิษย์สายนอกผู้หนึ่ง ก็พุ่งเข้ามาราวกับพายุ และปล่อยอาวุธจิตวิญญาณที่มีแสงสีทองออกมาชิ้นหนึ่ง……ส่วนจะเป็นอาวุธอะไรนั้น ศิษย์พี่เยี่ยนก็เห็นไม่ค่อยชัด……แต่ทว่าเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ทารกเทียนฉานผู้นั้นก็ถูกฟันเป็นเจ็ดแปดชิ้น โดยไม่มีแรงตอบโต้เลยแม้แต่น้อย……”
ชายหน้าอัปลักษณ์พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ราวกับว่าเขาเป็นคนลงมือเอง แต่ผู้คนรอบด้านดูเหมือนจะไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอวี๋ เจ้านี่พูดเลยเถิดไปหน่อยมั้ง ไปฟังละครเพลงมาล่ะสิ?”
“นั่นน่ะสิ ทารกเทียนฉานผู้นั้นเจ้าเล่ห์กลับกลอกแค่ไหน แม้แต่ศิษย์พี่โจว ศิษย์สายนอกที่ถูกจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรก ยังเคยตามหาร่องรอยของเขาตั้งหลายเดือน แต่ก็ยังหาไม่เจอเลย”
“ใช่แล้ว! เขาจะเสียชีวิตง่ายๆ ได้อย่างไร ทั้งยังเป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่เป็นคนลงมือด้วย……”
“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงทุกประการ หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปถามศิษย์พี่เยี่ยนได้” ชายหน้าตาอัปลักษณ์เถียงจนหน้าดำหน้าแดง
ศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ย่อมสงสัยในคำพูดของเขา
ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักแห่งหนึ่ง ชายสามคนที่สวมชุดศิษย์สายนอก กำลังนั่งจิบชาพูดคุยกันอยู่
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักดูเป็นคนที่มีอายุน้อยสุด ปลายคิ้วงอนไปถึงจอนผม ดวงตาคมกริบ หากมีศิษย์สายนอกคนอื่นๆ อยู่ในนั้น ก็จะรู้ว่าคนผู้นี้ก็คือหวังเทียนเหิง ที่จัดอยู่ในอันดับที่สิบของการประลองใหญ่ในรอบที่แล้ว
“ศิษย์พี่หวัง ว่ากันว่าทารกเทียนฉานที่มีชื่อในบัญชีความเป็นความตายมานานสิบกว่าปี ถูกสังหารไปแล้ว” ชายร่างบึกบึนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังเทียนเหิงกล่าว
คนผู้นี้มีโครงหน้าสี่เหลี่ยม แต่หนวดเคราใต้คางรุงรัง ดูเหมือนกับไม่ได้รับการใส่ใจมานานแล้ว
“มนุษย์ปีศาจผู้นี้สังหารศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราไปมาก ข้าอยากจะกำจัดเขานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีเวลาว่างมาโดยตลอด ตอนนี้กลับมีคนลงมือแล้ว ไม่ทราบว่าคนผู้นี้คือใครกัน?” หวังเทียนเหิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ว่ากันว่าเป็นศิษย์สายนอกสังกัดสาขาห่านฟ้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มีชื่อว่าหลิ่วหมิง ศิษย์พี่หวาก็เป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า คิดว่าคงจะรู้เรื่องนี้!” ชายมีหนวดยิ้มแล้วหันไปกล่าวกับชายหนุ่มอีกคน
คนผู้นี้ก็มีอายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่สีผมกลับขาวครึ่งดำครึ่ง แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ไม่ผิด! ก่อนหน้านั้นข้าก็เคยได้ยินศิษย์ภายนอกพูดถึงเรื่องนี้ หากพบหน้ากันโดยบังเอิญก็สามารถสังหารทารกเทียนฉานได้ล่ะก็ คิดว่าคงมีพลังไม่ธรรมดา” ศิษย์พี่หวาปราดตามองหวังเทียนเหิงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
หวังเทียนเหิงก็หัวเราะด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! ก็แค่เป็นการเติมไฟให้ข่าวลือเท่านั้น กะอีแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ต่อหน้าผู้มีพลังแข็งแกร่ง ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
ชายมีหนวดกับศิษย์พี่หวาสบตากันทีหนึ่ง และหันกลับไปจิบชาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกภายนอกเหล่านี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย แต่ละวันเขาเอาแต่กักตัวฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอยู่ในถ้ำที่พัก
จนเวลาผ่านไปสองเดือน แสงสีเขียวลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้า และพุ่งลงมาหน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นใบหน้าหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งนางก็คือหลงเหยียนเฟยนั่นเอง
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นศิษย์พี่หลงผู้นี้อีกครั้ง ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกทันที
ตั้งแต่นางจากไปในครั้งนั้น ภายในระยะเวลาสองเดือนนี้ ดูเหมือนว่าทุกๆ สิบกว่าวันนางจะมาหาหนึ่งครั้ง แม้นางจะอยู่พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกฝนในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่นาน แต่คำพูดในตอนท้ายกลับชวนเขาไปพูดคุยกับท่านย่าของนางที่หุบเขาน้ำพุเงิน
ครั้งนี้ หลังจากนางชวนหลิ่วหมิงอีกครั้ง หลิ่วหมิงก็คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และได้แต่พยักหน้าตอบรับ
นางได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นทั้งสองก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งออกไปจากเขาหมื่นวิญญาณ
และตั้งแต่เรื่องทารกเทียนฉานแพร่กระจายไปยังสาขาอื่นๆ หลิ่วหมิงก็นับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในบรรดาศิษย์สายนอก
แม้ปกติเขาจะปรากฏตัวน้อยมาก แต่ถูกศิษย์พี่สายในที่มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นมาเยี่ยมเยียนติดต่อกันบ่อยครั้ง ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
เหตุการณ์ที่เขาออกไปพร้อมกับหลงเหยียนเฟยในครั้งนี้ ถูกศิษย์ภายนอกจำนวนหนึ่งที่ผ่านมาพอดีค้นพบเข้า ข่าวนี้จึงเล่าลือไปในนิกาย และก่อให้เกิดความฮือฮาไม่น้อย
……
ภายในถ้ำฝึกฝนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเลื่อนลอย
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าศิษย์น้องหลงไปหาเจ้าเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงแล้ว ทั้งสองยังออกไปพร้อมกันด้วย?” ห้องโถงใหญ่ภายในถ้ำ ชายหนุ่มที่สวมชุดศิษย์สายใน ใบหน้าหล่อเหลา แต่สีหน้าอึมครึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ถูกต้อง! เรื่องนี้ศิษย์สาขาห่านฟ้าจำนวนมากเห็นกับตา จะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน” ชายร่างเล็กแต่งชุดศิษย์สายนอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม กล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย
“เพล้ง!”
แก้วหยกในมือชายหนุ่มถูกบีบจนแตกกระจายเป็นผุยผงก่อนร่วงลงพื้น
……
และในขณะเดียวกัน หลังจากหลิ่วหมิงเหาะตามหลงเหยียนเฟยผ่านเทือกเขาสูงต่ำหลายลูกแล้ว ก็พลันมีแสงสว่างขึ้นตรงหน้า และหุบเขาเล็กๆ เขียวชอุ่มปรากฏแก่สายตา
ประมาณครึ่งหนึ่งของหุบเขา ถูกครอบครองโดยทะเลสาบสีฟ้า พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีไอหมอกสีขาวจางๆ ปกคลุมอยู่เหนือทะเลสาบ
และใจกลางทะเลสาบ มีตาน้ำพุขนาดใหญ่สะดุดตาที่มีน้ำพุพุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย และยังได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากที่ไกลๆ
น้ำพุที่พุ่งออกมาสูงหลายจั้ง ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดประกายสีเงินแวววาวท่ามกลางหมอกขาวที่ลอยวน แลดูมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า สถานที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาน้ำพุเงินที่หลงเหยียนเฟยพูดถึงนั่นเอง
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงและหลงเหยียนเฟยก็ร่อนลงตรงปากทางเข้าหุบเขา จากนั้นก็เดินตามทางคดเคี้ยวเล็กๆ เข้าไปด้านใน
หลังจากทั้งสองเดินข้ามสะพานหินที่พาดผ่านสายน้ำที่ไหลรินแล้ว ก็มาถึงหน้ากระท่อมสองสามหลังที่ดูโกโรโกโส
ด้านหนึ่งของกระท่อมเป็นแปลงสมุนไพรที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ในนั้นมีพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งปลูกอยู่ และด้านหลังก็เป็นต้นไม้โบราณที่ออกผลสีชมพูเต็มไปหมด อีกด้านก็เป็นลานบ้านเล็กๆ นอกจากจะมีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินไม่กี่ตัวแล้ว ยังมีกระถางไม้ดอกสีแดงเพลิงที่ดูเตะตาวางอยู่สองสามใบ
ที่นี่ก็คือหุบเขาน้ำพุเงินที่มีชื่อเสียงเล็กๆ ในเขาหมื่นวิญญาณนั่นเอง
…………………………………