ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 487 อัคคีจิตวิญญาณ
สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขากระตุ้นปราณกระบี่ให้ฟันออกไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหลอมตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุแล้ว วิชาขี่กระบี่ของเขาย่อมฟื้นฟูอานุภาพกลับมาจนถึงขีดสุด ภายใต้การกระตุ้นด้วยพลังทั้งหมด เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นปลายก็ไม่กล้ารับมือโดยตรง แล้วนับประสาอะไรกับอีกาเพลิงตัวนี้ล่ะ
สุดท้ายภายใต้แสงกระบี่สีฟ้าที่เปล่งประกาย มันก็ฝ่าเปลวเพลิงไปอย่างง่ายดาย และฟันอีกาเพลิงตัวนี้จนกลายเป็นสองส่วน
พลังของกระบี่บินยังไม่หมดเพียงแค่นี้ มันยังพุ่งเข้าใส่ยังฝูงอีกาเพลิงที่เหลือ หลังจากแสงกระบี่สีฟ้าเปล่งประกายอย่างเนืองแน่น ก็มีเสียง “ฉับๆ!” ดังออกมา อีกาเพลิงสองสามตัวที่อยู่หน้าฝูงถูกสังหารในทีเดียว
หลังจากสังหารอีกาเพลิงไปหลายตัวแล้ว แสงกระบี่สีฟ้าครามก็มืดลงเล็กน้อย อีกาเพลิงตัวที่เหลือหลบหลีกด้วยความตกใจ
และกระบี่เล่มนี้หลิ่วหมิวเพิ่งได้มา ยังไม่ทันได้ทำการปรับแต่ง จึงไม่อาจกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้ และอานุภาพของมันก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน
หลิ่วหมิงโบกมือเรียกกระบี่สีฟ้ากลับมา และปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย เพื่อคิดที่จะสังหารอีกาเพลิงเหล่านี้ให้สิ้นซากในทีเดียว
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแหลมแสบแก้วหูที่ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด!
อีกาเพลิงที่เหลือจึงถือโอกาสหนีหลบหนีไปไกลๆ ไม่นานก็กลายเป็นจุดแสงสีแดงก่อนที่จะหายลับไปตรงขอบฟ้า
และไอดำที่ปกคลุมร่างหลิ่วหมิงในขณะนี้ ก็ประทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง และยังมีจุดแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ในแขนเสื้อ เม็ดทรายมีทองแต่ละเม็ดเปล่งประกายอยู่รำไร
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณนั้นอีกรอบ แต่กลับไม่ค้นพบสิ่งใดเลย
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูนั้น มันได้หายไปแล้ว
แม้ใบหน้าหลิ่วหมิงจะดูเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับระแวดระวังเป็นอย่างมาก
เสียงร้องแหลมขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยได้ยินเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเอ่ยถึง แต่มันกลับส่งผลกระทบต่อจิตรับรู้ของเขา ดูท่าอย่างน้อยคงมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลว
เขาคิดใคร่ครวญไปมาสองสามรอบ จากนั้นก็เก็บกระบี่สีฟ้าเข้าไป และถือโอกาสเก็บศพของอีกาเพลิงเหล่านี้ขึ้นมา หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย และฟื้นฟูพลังเวทจำนวนหนึ่งแล้ว ก็เดินทางไปทางทิศเหนือตามที่แผนที่บอก
หลังจากเดินไปได้ราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงก็เผชิญกับอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟอีกครั้ง จิ้งจอกเพลิงสิบกว่าตัวที่ลำตัวเปล่งแสงสีแดงยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา
ครั้งนี้เขากลับไม่ใช้วิชาขี่กระบี่ แต่กลับพุ่งเข้าไปในกลุ่มจิ้งจอกเพลิงจนกลายเป็นเงา ไอดำพุ่งออกจากมือขนาดใหญ่ และก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำ
มือใหญ่คว้าออกไปติดต่อกัน พริบตาเดียวก็คว้าจิ้งจอกเพลิงตัวหนึ่งไว้ และกดหัวของมันจนระเบิด
จิ้งจอกเพลิงเหล่านี้ก็เหมือนกับอีกาเพลิงที่มีพลังอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น มันไม่มีพลังตอบโต้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานจิ้งจอกเพลิงเจ็ดแปดตัวก็เสียชีวิตในมือหลิ่วหมิง
ขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาอีกครั้ง พอจิ้งจอกเพลิงที่ล้อมโจมตีหลิ่วหมิงอยู่ได้ยินเสียงนี้ ก็รีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าครั้งนี้เขาได้ปล่อยพลังจิตป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงไม่ถูกเสียงนี้รบกวนแต่อย่างใด และยังตามไปสังหารจิ้งจอกเพลิงเหล่านี้จนหมดสิ้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่สามารถจับตัวการที่เปล่งเสียงนี้ออกมาได้ จิตรับรู้ของเขาก็จับได้แค่คลื่นพลังจิตวิญญาณธาตุไฟบางๆ เท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ถูกอสูรธาตุไฟลอบโจมตีตลอดการเดินทาง
และหนูเพลิง มดเพลิง อสรพิษเพลิง และอสูรธาตุไฟชนิดอื่นๆ ก็ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์มาก ดีที่ว่าพลังของอสูรเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งมากนัก ส่วนมากอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ และมีระดับของเหลวแค่ตัวสองตัวเท่านั้น ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
และทุกครั้งที่เขาใกล้จะกวาดล้างฝูงอสูรได้ทั้งหมด ก็จะถูกเสียงร้องแหลมแปลกประหลาดนี้คอยรบกวน
หากไม่ใช่ว่าพลังจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เกรงว่าอสูรเพลิงที่เหลือคงหนีลอยนวลไปแล้ว
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกครั้งที่เสียงนี้ดังออกมา มันก็อำพรางตัวอย่างรวดเร็ว และยากที่จะจับตำแหน่งของมันได้
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้อย่างลางๆ หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็รีบลดความเร็วในการเดินทางลง
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ หลิ่วหมิงก็เผชิญกับการโจมตีของอสูรเพลิงกลุ่มหนึ่ง ครั้งนี้เป็นลิงทโมนเพลิงสามสิบกว่าตัว
อสูรชนิดนี้เป็นอสูรที่มีรูปร่างภายนอกคล้ายคนเล็กน้อย มีขนาดครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ แขนขาทั้งสี่สั้นและอวบ ดูไม่เข้ากับหัวขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มองเห็นร่องรอยอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าได้อย่างลางๆ
พอลิงทโมนเพลิงกลุ่มนี้ค้นพบหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ มันก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ
ดูจากคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกจากตัวของลิงทโมนเพลิงตัวหน้าสุดที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ เท่าตัว ทำให้รู้ว่ามันเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว
หลิ่วหมิวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จิตรับรู้แผ่ขยายออกไปในพริบตา ขณะเดียวกัน เท้าของเขาก็หยุดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าไปอยู่เหนือฝูงลิงทโมนเพลิงเหล่านั้น
มีคลื่นสั่นสะเทือนในแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ ราวกับว่ากำลังจะมีอะไรไร้รูปบางอย่างดีดออกมา
การเคลื่อนไหวอย่างกระทันทันหันของหลิ่วหมิง ทำให้ลิงทโมนเพลิงตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นมันก็อ้าปากพ่นดาบเพลิงขนาดเล็กๆ ออกมา ลิงทโมนพลิงที่อยู่ด้านหลังก็พากันพ่นลูกเปลวไฟออกมา พริบตาเดียว ก็หายไปในดาบเพลิงอย่างไร้ร่องรอย
ดาบเพลิงขยายใหญ่ขึ้นมา พริบตาเดียวก็มีขนาดหลายจั้ง และฟันไปทางหลิ่วหมิงด้วยเสียงดังก้องฟ้า
หลิ่วหมิงหมิ่งสะบัดแขนเสื้อลงด้านล่างโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นจุดแสงสีทองก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ
ครู่ต่อมา หมอกทรายสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และกลายเป็นกำแพงทรายสีทองบังอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ตู๊ม!”
ดาบเพลิงโจมตีใส่กำแพงทรายอย่างรุนแรง แต่มันเพียงแค่ทำให้แสงสีเหลืองหมุนวนชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟและหายไปกลางอากาศ
หลิ่วหมิงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง และปล่อยพลังใส่กำแพงทรายสีทอง จนทำให้แสงสีทองสว่างขึ้นมา พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นดาบยักษ์สีทองเล่มหนึ่ง และฟันใส่จ่าฝูงลิงทโมนเพลิง
ดูเหมือนจ่าฝูงจะรับรู้ถึงอันตรายได้ มันจึงอ้าปากพ่นผลึกกลมๆ สีแดงออกมาหนึ่งก้อน
ผลึกกลมๆ ขยายใหญ่หลายฉื่อ มีเปลวไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิว จากนั้นมันก็พุ่งไปรับมือกับดาบสีทอง
“เพล้ง!” ดาบแสงกับผลึกกลมๆ ปะทะเข้าด้วยกัน
หลังจากเกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ผลึกกลมๆ ก็เกิดรอยร้าวและกระเด็นออกไป
และในขณะเดียวกัน จ่าฝูงลิงทโมนเพลิงก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
ภายใต้การเปลี่ยนท่ามือของหลิ่วหมิง ดาบยักษ์สีทองก็พร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา ดาบยักษ์สีทองก็กระพริบไปปรากฏอยู่ตรงหน้าจ่าฝูง ซึ่งอยู่ห่างกันแค่ลัดมือเดียวเท่านั้น และฟันลงไปอย่างไร้สุ้มเสียง
จ่าฝูงลิงทโมนเพลิงส่งเสียงคำรามออกมา ตอนนี้มันเรียกแก่นผลึกกลับมาไม่ทันแล้ว เปลวไฟสีแดงดำพุ่งออกจากตัวเพื่อพยายามต้านทานการโจมตีนี้
ความจริงแล้วการป้องกันนี้สามารถต้านทานอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ แต่พอแสงสีทองเปล่งประกาย ร่างของจ่าฝูงลิงทโมนก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วนจนลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ และลิงทโมนเพลิงธรรมดาอีกสองตัวที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ก็ไม่ทันได้ระวัง หลังจากแสงดาบระเบิดตัวในฉับพลัน มันก็ถูกฟันไปพร้อมกัน
หลิ่วหมิงโบกมือเรียกผลึกกลมๆ เข้ามาในมือ แต่เนื่องจากการปะทะในก่อนหน้านั้น จึงมีรอยร้าวจางๆ อยู่บนพื้นผิว
เขาเก็บมันเข้าไปด้วยความเสียดาย แต่พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงดาบสีทองก็กลายเป็นหมอกทรายปิดล้อมฝูงลิงทโมนเพลิงไว้ในทันที
ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะแสดงวิธีการอันร้ายกาจ เพื่อสังหารลิงทโมนเพลิงเหล่านี้ให้สิ้นซากนั้น เสียงร้องแหลมแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงหยุดการกระทำในฉับพลัน และยืนนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ
ลิงทโมนเพลิงที่ถูกปิดล้อมอยู่ก็พ่นเปลวไฟออกมา แขนของมันเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง และโจมตีม่านทรายทองคำอย่างต่อเนื่อง
ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียง “ฟู่!” ดังมาจากอากาศบางแห่งที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปสามสิบกว่าจั้ง เงาร่างมนุษย์สีทองจางๆ เปล่งประกายออกมา กำปั้นสีทองอร่ามข้างหนึ่งชกออกไปอย่างรุนแรง
เกิดเสียงดังขึ้นมา
คลื่นอากาศสีทองม้วนตัวออกไป เงามนุษย์สีแดงสองเงาโซซัดโซเซออกมาจากอากาศบริเวณนั้น
หลังจากดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเป็นประกาย ก็มองเห็นเงาร่างมนุษย์ทั้งสองอย่างชัดเจน ซึ่งก็คืออัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่มีเปลวไฟห่อหุ้มอยู่
แต่ตัวประหลาดทั้งสองมีขนาดตัวเท่ามนุษย์ ร่างสีดำถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ มีแขนขาครบครัน แต่อวัยวะบนใบหน้าพร่ามัวไปหมด ซึ่งเหมือนกับอัคคีจิตวิญญาณกับที่เว่ยจ้งเรียกออกมาไม่มีผิด เพียงแต่ดูเหมือนว่ากลิ่นไอของมันจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
เงามนุษย์สีทองจางๆ ที่ลงมือโจมตีในเมื่อครู่ กลับเป็นนักรบเกราะทองคำที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับหลิ่วหมิง ซึ่งมันกลายร่างมาจากยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นอัคคีจิตวิญญาณอย่างพวกเจ้าที่แอบชักใยอยู่เบื้องหลัง! ไม่ว่าวิชาอัคคีหลบหลีกจะยอดเยี่ยมแค่ไหนในแดนอบอ้าว จนข้าไม่อาจจับตัวพวกเจ้าได้ในครั้งสองครั้ง แต่ติดตามข้ามานานขนาดนี้ หากข้ายังไม่สามารถรับรู้ได้ล่ะก็ คงหัวสมองทึ่มแล้ว” หลิ่วหมิงมองดูอัคคีจิตวิญญาณทั้งสองด้วยสีหน้าปกติ แต่กลับพูดพึมพำออกมาเบาๆ
ที่แท้ในขณะที่หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้านั้น ก็ได้ปล่อยยันลึกลับออกไปแล้ว และมันก็ได้กลายเป็นนักรบเกราะทองคำแฝงด้วยอยู่ด้านข้าง
เมื่ออัคคีจิตวิญญาณสองตัวส่งเสียงโจมตีจิตรับรู้หลิ่วหมิงอีกครั้ง ก็ถูกเขาจับตำแหน่งที่แม่นยำได้ และควบคุมให้นักเกราะทองคำทำการโจมตีทันที สุดท้ายก็ทำลายการซ่อนตัวและวิชาอัคคีหลบหลีกของมันได้
ทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าการจู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเผลอ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าหลิ่วหมิงได้จับตำแหน่งของพวกมันจากการโจมตีหลายครั้งในก่อนหน้าได้แล้ว แต่กลับทำเป็นไม่รู้เฉยๆ
เมื่อหลิ่วหมิงพูดพึมพำจบ แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายในมือ จากนั้นกระบี่บินสีฟ้าครามก็ฟันออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
เกิดเสียงดังฟิ้วๆ!
ทันทีที่แสงสีฟ้าเปล่งประกายกลางอากาศ ตัวประหลาดสองตัวที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้ม ก็ถูกแสงกระบี่ยักษ์สีน้ำเงินฟาดเข้าใส่
“เต๊ง!” “เต๊ง!” อัคคีจิตวิญญาณสองตัวกระเด็นออกไปพร้อมกัน และยังส่งเสียงร้องแหลมออกมาโดยมิได้นัดหมาย ขณะเดียวกัน แสงไฟบนตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นมันทั้งสองรวมตัวเป็นหนึ่ง และพุ่งหนีไป
…………………………………