ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 490 เสียชีวิต
หลิ่วหมิงกระโดดขึ้นมา และขี่เมฆไปยังรับมือกับอสูรเพลิงที่อยู่ด้านหน้า
พอเขาเหาะเข้าไปใกล้ถึงค้นพบว่า อสูรเพลิงเหล่านี้ต่างก็เป็นวานรเพลิงกับโคเพลิงสามสิบกว่าตัวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ และมันก็พุ่งเข้ามาราวกับสายน้ำที่ไหลทะลัก แต่ดีที่มีพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็โปรยออกมา จากนั้นก็กลายเป็นค่ายกลทรายปกคลุมเต็มฟ้า และปิดล้อมอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟสิบกว่าตัวไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือ จากนั้นกระบี่เล็กสีฟ้าก็หลุดออกจากมือ และกลายเป็นเงากระบี่สีฟ้าฟาดฟันไปทางอสูรเพลิง
อสูรเพลิงเหล่านั้นค่อยๆ พ่นลูกเปลวไฟขนาดต่างๆ ออกมา แต่เนื่องจากมันเป็นธาตุที่ไม่ถูกกัน พอปะทะกับเงากระบี่จึงค่อยๆ ระเบิดออกมา
“ฟู่ๆ!”
หลังจากแสงกระบี่สีฟ้ากระพริบผ่านไป วานรเพลิงก็ถูกฟันเป็นสองส่วนแล้วค่อยๆ ร่วงลงมา
หลังจากหลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทรายทองคำที่แผ่คลุมเต็มฟ้าอีกด้านหนึ่ง ก็กลายเป็นคมดาบสีทองหมุนวนเข้าด้านในอย่างบ้าคลั่ง
อสูรเพลิงที่ถูกปิดล้อมอยู่ในค่ายกลทรายทองคำร่วง ถูกปั่นจนเป็นเนื้อเหลวในพริบตา
ภายใต้สถานการณ์ที่ทรายทองคำกลายเป็นหมอกทรายม้วนตัวเข้ามา และเงากระบี่จำนวนมากฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้วานรเพลิงกับโคเพลิงที่เหลือ ได้แต่วิ่งหนีท่ามกลางไฟที่พุ่งออกมาจากตัว และไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
ด้วยพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ย่อมเหลือเฟือที่จะจัดการกับอสูรระดับศิษย์จิตวิญญาณแล้ว แต่การสังหารอย่างราบคาบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางทั่วไปไม่อาจทำได้
ทางด้านชายหนุ่มชุดขาว พัดจิตวิญญาณสีดำในมือก็โบกสะบัดอยู่ไม่หยุด จนก่อเกิดพายุบ้าระห่ำเพื่อสลายการโจมตีของลูกเปลวไฟของอัคคีจิตวิญญาณ
ร่างของอัคคีจิตวิญญาณสองตัวปรากฏขาดๆ หายๆ แม้ว่ายังไม่ส่งเสียงแหลมโจมตีจิตรับรู้ แต่สำหรับชายหนุ่มชุดขาวที่เผชิญกับอัคคีจิตวิญญาณสองตัวในตอนนี้แล้ว นับว่ากินแรงเป็นอย่างมาก
ขณะที่พายุบ้าระห่ำจำนวนมากสลายลูกเปลวไฟที่ม้วนตัวเข้ามาแล้ว อัคคีจิตวิญญาณตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ระเบิดตัวกลายเป็นเมฆอัคคีม้วนตัวเข้ามา
พอชายหนุ่มชุดขาวเห็นว่ามีแสงสีแดงสว่างขึ้นตรงหน้า เขาก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลทันที และพัดสีดำก็ถูกสะบัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง คมวายุแต่ละสายพุ่งยิงออกไป แต่กลับพอที่จะต้านทานเมฆอัคคีได้เท่านั้น
ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟู่!” ตรงด้านหลังของเขา ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกอะไรบางอย่างโจมตีจนแตกกระจายในพริบตา จากนั้นความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณไหล่ก็ประดังประเดเข้ามา ฝ่ามือไหม้เกรียมสีดำข้างหนึ่งเจาะทะลุหัวไหล่ของเขา และดึงกลับไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
มันคืออัคคีจิตวิญญาณอีกตัวที่ถือโอกาสไปอยู่ด้านหลังของเขาในตอนที่คู่หูกลายเป็นเมฆอัคคี และทำการโจมตีอย่างไร้สุ้มเสียง
แม้ชายหนุ่มชุดขาวจะหลบพ้นจุดอันตรายไปได้ แต่แขนซ้ายยังคงมีเลือดไหลริน บริเวณที่เป็นสีเทาเกรียม เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยจากการถูกเผาไหม้
ชายหนุ่มชุดขาวหยิบยันต์มาแปะบาดแผลด้วยความตกใจ และมันก็สามารถหยุดเลือดได้ชั่วคราว จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่พัดสีดำ ทำให้อักขระบนพื้นผิวเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง หลังจากพัดไปทางเมฆอัคคีสองทีแล้ว ก็พัดไปด้านหลังหนึ่งทีอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมา!
พายุบ้าระห่ำสีดำลูกหนึ่งม้วนตัวไปด้านหลัง และโจมตีไปยังอัคคีจิตวิญญาณที่ลอบโจมตีเขา
ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำมีคมวายุสีแดงดำผสมปนเปอยู่เป็นจำนวนมาก และปกคลุมอัคคีจิตวิญญาณที่กำลังคิดจะหนีไว้
อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้รีบยกแขนทั้งสองขึ้นมาต้านทานไว้ และพอมีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เปลวไฟสีแดงรอบตัวของมันก็ถูกพัดกระจาย เผยให้เห็นร่างที่ดูคล้ายกับถ่านที่ไหม้เกรียม และมีบาดแผลลึกๆ ปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนอัคคีจิตวิญญาณตัวนี้จะรับรู้ได้ถึงอันตราย จึงส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมากลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งออกไปด้านหลัง ราวกับว่ากำลังขอให้อัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาช่วย
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังก้องฟ้า!
สายรุ้งสีฟ้าแวววาวพุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ มันหมุนวนรอบคออัคคีจิตวิญญาณตัวนี้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น หัวของมันก็กลิ้งลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
หลังจากหลิ่วหมิงสังหารอสูรเพลิงเหล่านั้นไปพอประมาณแล้ว ก็ฟันกระบี่มาทางด้านนี้
ชายหนุ่มชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ขณะที่คิดจะกล่าวขอบคุณนั้น เมฆอัคคีที่ถูกเขาพัดจนถอยออกไป ก็กลายเป็นคลื่นอัคคีที่สูงหลายจั้ง และม้วนตัวเข้ามาตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง
ชายหนุ่มรู้สึกตกใจจนดูเหมือนว่าจะโบกพัดในมือออกไปโดยไม่ต้องคิด ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา หมอกสีขาวพวยพุ่งออกจากร่าง และห่อหุ้มร่างของเขาไว้
แต่พลันมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังมาจากคลื่นอัคคี!
ภายใต้ระยะห่างใกล้เช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียนศรีษะในทันที และการกระทำก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง
“ฟู่!”
เงาดำเปล่งประกายในคลื่นอัคคี จากนั้นอัคคีจิตวิญญาณก็พุ่งออกมาจากในนั้น มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็กอดชายหนุ่มชุดขาวไว้แน่น ขณะเดียวกัน แสงสีแดงบนตัวก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่!”
ชายหนุ่มชุดขาวร้องออกมา และคิดที่จะแสดงวิชาผลักอัคคีจิตวิญญาณให้หลุดออกไป แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
พอมีเสียงดังขึ้นมา!
อัคคีจิตวิญญาณที่กอดชายหนุ่มแน่น ก็ระเบิดตัวเองออกมา เมฆอัคคีรูปดอกเห็ดพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวกลายเป็นเถ้าธุลี
หลิ่วหมิงคิดจะมาช่วย แต่พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
และอัคคีจิตวิญญาณสามตัวที่ต่อสู้กับจั้งเสวียนอยู่กลับดูฮึกเหิมผิดปกติ พวกมันส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมา ดูเหมือนว่าจะร้องเรียกพวกพ้องให้มาช่วย และต่อมาก็เคลื่อนตัวหลบหลีกกระบี่บินสีเหลือง และไม่ทำการโจมตีอีก
และขณะนั้นเอง มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และเมฆอัคคีกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏออกมา
“พี่จั้ง ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ต้องรีบเผด็จศึกให้ไวที่สุด” หลิ่วหมิงเพิ่งจะเรียกกระบี่เล็กสีฟ้ากลับมา พอเห็นฉากเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พอกระตุ้นทรายทองคำร่วง อสูรเพลิงตัวที่เหลือก็ถูกปั่นจนกลายเป็นเนื้อเหลว
“ได้! ดูท่าหากไม่ใช้ความสามารถที่แท้จริงคงจะไม่ได้แล้ว!” จั้งเสวียนได้ยินก็ตะโกนตอบกลับไปทันที
เขากระตุ้นกระบี่บินสีเหลืองให้พุ่งไปมาท่ามกลางอัคคีจิตวิญญาณ ขณะเดียวกัน ก็ตบมืออีกข้างลงไปด้านล่าง
“ฟู่!” แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนพื้น จากนั้นก็มีอะไรบางอย่างนูนขึ้นมา และมีหัวกับแขนขางอกออกมาอย่างรวดเร็ว มันดูคล้ายกับมนุษย์ดินเหลืองตัวหนึ่ง
จั้งเสวียนอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์สีเหลืองรุบรู่ออกมา และมันก็จมเข้าไปในร่างของมนุษย์ดิน
ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์ดินเปล่งประกาย จากนั้นก็จมหายไปในดินราวกับว่ามีชีวิต
ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “ตู๊ม!” เสาหินสีเหลืองอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้น และพุ่งใส่อัคคีจิตวิญญาณตัวที่อยู่ด้านบนพอดี
อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้โบกมือทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเปลวไฟสีทองก็ก่อตัวเป็นกำแพงไฟอยู่ตรงหน้า
และพอเสาหินปะทะเข้ามา กำแพงไฟก็ลุกไหม้อย่างรุนแรง ในขณะที่มันพุ่งเจาะกำแพงไฟนั้น ขนาดของมันก็แหลมเล็กลงเรื่อยๆ แต่ทว่าพอปลายเสาหินด้านหนึ่งเจาะทะลุกำแพงไฟไปแล้ว ก็มีเสียงระเบิดดังออกมาในฉับพลัน
กลุ่มแสงสีเหลืองพุ่งออกมาท่ามกลางเศษหินที่สาดกระเด็น และโจมตีหัวของอัคคีจิตวิญญาณจนระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ
พอแสงสีเหลืองดับลง ก็เผยให้เห็นว่ามันคือมนุษย์ดินในก่อนหน้านั้น
อัคคีจิตวิญญาณอีกสองตัวเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งและกลายเป็นแสงสีแดงกระพริบหายไปกลางอากาศ
จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น ดวงตาสีม่วงทั้งคู่ยิงแสงสีม่วงออกมา และกวาดไปทางฝ่ายตรงข้ามที่หลบหนีอยู่
บริเวณที่แสงสีม่วงกวาดผ่าน จะเห็นร่างของวิหคเพลิงแปลกประหลาดปรากฏออก
“ฟู่!” แสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากมนุษย์ดินพุ่งเข้ามา วิหคเพลิงแปลกประหลาดร้องเสียงแหลม และแยกเป็นเปลวไฟสองกลุ่ม จากนั้นก็พุ่งไปคนละทิศทาง
ขณะนั้นเอง สายรุ้งสีฟ้าแวววาวก็พุ่งเข้ามา และทะลุผ่านเปลวไฟกลุ่มหนึ่งไป
พอแสงไฟดับลง อัคคีเพลิงที่ดำราวกับถ่านก็ร่วงลงมา บนหัวมีรูสีดำขนาดเท่ากำปั้นอยู่รูหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง แสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากมนุษย์ดินก็ตามเปลวไฟอีกกลุ่มทันอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็โจมตีใส่เปลวไฟ
“ตุ๊บ!” ศพสีดำที่ทีสภาพบุบสลายร่วงมาจากอากาศ
“ไปกันเถอะ!”
หลิ่วหมิงเก็บทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินกลับมาพร้อมกัน จากนั้นก็ตะโกนออกมา
จั้งเสวียนย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ต่อมา ทั้งสองก็รีบเก็บแก่นบริสุทธิ์จากศพอัคคีจิตวิญญาณ และทะยานขึ้นฟ้าเหาะจากไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวต่อมา ทั้งสองก็มาปรากฏตัวนอกถ้ำที่ค่อนข้างเร้นลับแห่งหนึ่ง
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ในถ้ำ
ศึกในก่อนหน้านั้นทำให้ชายหนุ่มชุดขาวเสียชีวิต และทั้งสองก็สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย ต้องรีบฟื้นฟูเป็นการเร่งด่วน
หลังจากนั่งสมาธิไปได้ครึ่งไว้แล้ว พลังเวทของทั้งสองก็ฟื้นฟูแปดถึงเก้าในสิบส่วน จากนั้นก็เดินทางไปตามเส้นทางที่วางแผนไว้ในก่อนหน้า เพื่อเดินทางไปยังใจกลางแดนอบอ้าว
แน่นอนว่าทั้งสองย่อมรู้สึกหดหู่ใจกับการเสียชีวิตของชายหนุ่มชุดขาว และรู้สึกระมัดระวังอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นมากขึ้นกว่าเดิม
ต่อมา นอกจากทั้งสองจะถูกอสูรเพลิงหลายตัวโจมตีแล้ว ก็ไม่พบกับอัคคีจิตวิญญาณอีก
และอสูรเพลิงที่ไม่มีอัคคีจิตวิญญาณควบคุม พลังของมันก็ลดลงไปมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด ทั้งสองเพียงแค่กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเล็กน้อย ก็สังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย
หลังจากเดินทางเช่นนี้ไปได้ครึ่งวัน ทั้งสองก็เข้าไปถึงใจกลางแดนอบอ้าว
ขณะที่ออกมาจากป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก็ค้นพบว่ามีเสียงต่อสู้ดังมาจากตีนเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง
ทั้งสองดักซุ่มดูเงียบๆ ถึงค้นพบว่า มีศิษย์สายนอกที่ไม่รู้จักสามคนกำลังต่อสู้กับหมาป่าเพลิงสิบกว่าตัวอย่างดุเดือด
ภายในสามคนนั้น ชายหนุ่มผมแดงกำลังยืนถือธงสีฟ้าอยู่บนก้อนหินยักษ์ แสงสีฟ้าม้วนตัวออกจากธง และกลายเป็นคลื่นวารีกลิ้งไปรับมือกับลูกเปลวไฟที่หมาป่าเพลิงพ่นออกมา
อีกสองคน คนหนึ่งถือกระบี่จิตวิญญาณอยู่ในมือ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็กำลังโบกสะบัดผ้าดิ้นสีทองต่อสู้กับอัคคีเพลิงเพียงหนึ่งเดียวที่คอยก่อกวนอยู่
อัคคีจิตวิญญาณตัวนี้มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย ดูเหมือนจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้านั้น
หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง และพุ่งออกไปช่วยพร้อมกัน
…………………………………