ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 491 หารือ
ขณะนั้นเอง พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศเหนือกลุ่มการต่อสู้ ชายหนุ่มหน้าขาวสวมชุดสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา และโบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นแสงสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งออกจากมือ และพุ่งใส่ฝูงหมาป่าที่ล้อมรอบหินยักษ์อยู่
“ฟิ้วๆ!” หมาป่าเพลิงสีแดงเจ็ดแปดตัวถูกแสงสีม่วงเจาะทะลุตัว หลังจากส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา มันก็ค่อยๆ ล้มลงพื้น
ชายหน้าขาวทำท่ามือด้วยมือเดียว พอเปลี่ยนเคล็ดวิชา แสงสีม่วงก็พุ่งจากทั่วทิศมารวมตัวกลางอากาศ และก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีม่วงขนาดเท่าศีรษะ ทั้งยังหมุนติ้วๆ อย่างบ้าคลั่ง
ดูเหมือนอัคคีจิตวิญญาณที่ต่อสู้กับศิษย์สายนอกทั้งสองจะรับรู้ถึงความผิดปกติได้ หลังจากส่งเสียงร้องแหลมออกมาแล้ว แสงไฟบนตัวก็สว่างขึ้นมา และกลายเป็นเปลวไฟสีแดงพุ่งหนีไปข้างหลัง
ในขณะเดียวกัน ลูกแสงสีม่วงก็ระเบิดเสียงดังออกมา แสงสีม่วงจำนวนมากพุ่งยิงออกไปปกคลุมเปลวไฟกลุ่มนี้ไว้ และเจาะทะลุจนกลายเป็นบาดแผลหลายร้อยรู
ศพอัคคีจิตวิญญาณร่วงลงมาทันที
พอชายหนุ่มชุดดำโบกมือ แสงสีม่วงเต็มฟ้าก็พุ่งกลับมาทันที และจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นถึงหันมาถามหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนด้วยสีหน้าสงบ
“ข้าน้อยเฉินเติง สาขาวายุทะยานฟ้า ไม่ทราบทั้งสองมีนามว่าอย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เฉิน ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า ท่านนี้คือพี่จั้งเสวียน ขอถามหน่อยว่าตอนนี้คนอื่นๆ อยู่ที่ใดกัน” พอหลิ่วหมิงเห็นอัคคีจิตวิญญาณถูกฆ่าไปหมดแล้ว เขากับจั้งเสวียนก็หยุดอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง และถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! ในเมื่อทั้งสองมาถึงที่นี่ได้ คิดว่าคงจะค้นพบความผิดปกติของแดนอบอ้าวเช่นกัน ตอนนี้ศิษย์นิกายเราได้รวมตัวกันในบริเวณนี้หลายสิบคนแล้ว ซึ่งอยู่นอกหุบเขาที่ห่างออกไปไม่ไกล ข้ากับคนไม่กี่คนออกมาลาดตระเวนกวาดล้างอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง และพาคนที่มาภายหลังไปยังจุดรวมตัว” ชายหน้าขาวพลิกฝ่ามือเก็บเข็มเล็กๆ สีม่วงเข้าไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนพี่เฉินแล้ว” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะ
“ศิษย์น้องซ่ง พวกเจ้าพาพวกพี่หลิ่วไปพักผ่อนที่จุดรวมตัวก่อน ไม่ต้องกลับมาแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่อีกซักพัก ดูว่ายังมีคนมาทางด้านนี้หรือไม่ หากไม่มีล่ะก็ อีกไม่นานข้าจะตามกลับไป” ชายหนุ่มหน้าขาวบอกกับชายหนุ่มผมแดง
“ทราบ! ศิษย์พี่เฉินรักษาตัวด้วย” ชายหนุ่มผมแดงกับพวกอีกสองคนกุมมือคารวะชายหนุ่มหน้าขาว และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียน ก็ตามคนทั้งสามพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
ชั่วเวลาราวๆ หนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงมองเห็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้ถูกเมฆสีแดงปกคลุมไว้นั้น พวกเขาก็ร่อนลงบนตีนยอดเขาลูกหนึ่ง
บนพื้นราบเรียบที่ค่อนข้างเร้นลับแห่งหนึ่ง มีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์รวมตัวอยู่ราวๆ ห้าสิบหกสิบคนแล้ว
พอเขากวาดสายตามองลงไป จะเห็นว่าคนเหล่านี้บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งรวมตัวกัน และกระซิบกระซาบเบาๆ บ้างก็นั่งหลับตาทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังเวท
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่อยู่ตรงมุมบางแห่ง ดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงทันที ซึ่งนั่นก็คือเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นนั่นเอง
เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่งเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์ชัดว่าได้ผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนมาถึงที่นี่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้เดินเข้าไป เพียงแค่พยักหน้าให้จากที่ไกลๆ จากนั้นเขากับจั้งเสวียนก็หาสถานที่นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท
เยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋นย่อมมองเห็นหลิ่วหมิง จึงเผยสีหน้าดีใจออกมา
สำหรับพวกเขาที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงแล้ว เมื่อเห็นเขามาปรากฏตัวย่อมหมายความว่าความปลอดภัยของพวกเขาก็จะมีมากขึ้น
จั้งเสวียนก็หาที่ราบสูงนั่งหลับตาพักผ่อน
ผ่านไปราวๆ ครึ่งวัน เฉินเติงกับศิษย์คนอื่นก็กลับมายังจุดรวมตัว
หลังผ่านไปสักพัก ชายหน้าดำที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ก็ยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชนในฉับพลัน และก้าวเข้ามาใจกลางจุดรวมตัว
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ แผ่นกลมๆ สีขาวหยกก็ปรากฏบนมือ เมื่อโยนมันขึ้นเหนือศีรษะ ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมา แผ่นกลมๆ ก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ และส่งเสียงดังเบาๆ
แสงไฟเป็นจุดๆ ปรากฏออกมารอบด้าน และลอยไปหาแผ่นกลมๆ อย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แผ่นกลมๆ ก็สว่างขึ้นมาราวกับลูกเปลวไฟที่ร้อนระอุ และลอยอยู่เหนือศีรษะของฝูงชน
ชายหน้าดำเห็นเช่นนี้ก็ชี้มือขึ้นฟ้า
“ตู๊ม!”
ลูกเปลวไฟเปล่งแสงสีแดงออกมา และยิงลำแสงเจิดจ้าออกไปสิบกว่าลำ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เปลวไฟกลางอากาศก็กระพริบหายไป แผ่นกลมๆ หมุนตัวสองสามรอบ และร่วงลงบนมือชายหนุ่มอีกครั้ง
ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ก็ถูกทำให้ตกใจตื่นด้วยการกระทำของชายหนุ่มผู้นี้ และจ้องมองคนผู้นี้ด้วยความแปลกใจ
หลังจากหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เมื่อครู่ข้าเพียงแค่ทดสอบปราณพลังฟ้าดินของแดนอบอ้าว และค้นพบว่ามันไม่สอดคล้องกับที่เล่าลือ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟในสถานที่แห่งนี้ หนาแน่นกว่าที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หลายเท่า” คนผู้นี้มองดูแผ่นกลมๆ ในมือ และอธิบายให้กับผู้คนที่อยู่รอบด้าน
“ธาตุไฟหนาแน่นกว่าหลายเท่า? มิน่าล่ะ! อัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นถึงได้บ้าระห่ำขนาดนี้!”
“ด้วยเหตุนี้ อัคคีจิตวิญญาณที่พบเจอระหว่างทางถึงได้กลายพันธุ์สินะ!”
“ตอนนี้พวกเราไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้?”
พอชายหน้าดำกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็ฮือฮาขึ้นมา
“หลายวันก่อน ข้าเคยจับอัคคีจิตวิญญาณเป็นๆ มาได้ตัวหนึ่ง และใช้วิชาค้นจิตของมันจนได้มูลมาลางๆ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงในสถานที่แห่งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพิ่งมาเริ่มเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้” ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กที่มีสีหน้าเหลืองซีดกล่าวออกมา
“ข้าเองก็เคยได้ยินหัวหน้าสาขาพูดถึงอยู่ โดยทั่วไปแล้ว แดนลึกลับที่ดำรงอยู่หลายพันหลายหมื่นปี เมื่อปราณพลังฟ้าดินในนั้นถึงจุดสมดุลแล้ว หากไม่มีภัยพิบัติร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ นอกเสียจาก……จะมีของล้ำค่าบางอย่าปรากฏออกมา หรือผู้มีพลังระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปต่อสู้กับผู้คน ถึงทำให้ปราณพลังฟ้าดินของแดนลึกลับเกิดความวุ่นวายขึ้นมา” ชายหน้าดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสรุปออกมา
พอคำว่า ‘ของล้ำค่ากับระดับดาราพยากรณ์’ ออกมาจากปาก ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ฝูงชนเกิดการกระซิบกระซาบขึ้นมา
ระดับดาราพยากรณ์นี้ เกรงว่าทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์ก็คงมีไม่กี่คน และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมาปรากฏในแดนลึกลับเล็กๆ อย่างแดนอบอ้าว
และของล้ำค่าที่มาปรากฏตัวกลับมีโอกาสเป็นไปได้กว่ามาก!
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าของล้ำค่าที่ทำให้ปราณพลังฟ้าดินในแดนอบอ้าวเปลี่ยนไปคือสิ่งใดก็ตาม แต่มูลค่าของมันก็ยากที่จะประมาณการได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนจำนวนมากแย่งชิงมัน
“หากเป็นของล้ำค่าปรากฏออกมาจริงๆ ก็อธิบายได้ชัดเจนแล้ว แต่ของล้ำค่าฟ้าดินทั้งหมดที่ปรากฏในโลก จะต้องมีสัญญาณบ่งบอก ดูท่าของล้ำค่านี้จะต้องเป็นธาตุไฟอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และทำให้อสูรเพลิงบ้าระห่ำเช่นนี้” คนที่พูดคำพูดนี้ก็คือเฉินเติง ชายหนุ่มที่รอรับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ในก่อนหน้านั้น
“หากมีของล้ำค่าปรากฏในแดนลึกลับจริงๆ อย่างมากก็อยู่ในพื้นที่ที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟหนาแน่นที่สุดในแดนอบอ้าว ซึ่งก็คือสถานที่ที่อัคคีจิตวิญญาณส่วนใหญ่อาศัยอยู่ เห็นได้ชัดว่าที่อสูรเพลิงโจมตีพวกเราที่มาจากภายนอก ก็เพื่อปกป้องของล้ำค่าชิ้นนี้ จึงขัดขวางการเข้ามาใจกลางแดนอบอ้าวของพวกเรา” ชายหน้าดำได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ได้ยินทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสาเหตุนี้ และต่างก็ค่อยๆ พยักหน้า
“แต่ตามกฎของนิกาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากได้ของล้ำค่าระดับนี้ในแดนลึกลับของนิกาย จะต้องมอบให้กับนิกาย แต่ทางนิกายเองก็ปูนบำเหน็จรางวัลเป็นแต้มคุณูปการจำนวนมาก พอๆ กัน” เฉินเติงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
พอได้ยินว่าของล้ำค่าต้องมอบให้กับนิกาย ย่อมทำให้ศิษย์จำนวนมากรู้สึกผิดหวังไม่น้อย แต่พอได้ยินว่าจะมีแต้มคุณูปการให้จำนวนมาก หลายคนก็ใจเต้นขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแตกต่างออกไป และมักจะรู้สึกว่าสติปัญญาของอัคคีจิตวิญญาณสูงขึ้นอย่างกระทันหัน จึงดูเหมือนจะยังรู้สึกประหลาดใจอยู่
แต่พอเห็นคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาก็ไม่กล่าวอะไรออกมา ยังคงนั่งขัดสมาธิค่อยๆ ฟื้นฟูพลังเวท
“หุบเขาตรงหน้าก็คืออัคคีจิตวิญญาณกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ตามที่ศิษย์พี่ที่เคยเข้ามาทดสอบในครั้งก่อนๆ เล่ามา คงจะมีแค่สองร้อยกว่าตัว และส่วนมากก็ระเหเร่ร่อนอยู่ด้านนอก ตอนนี้พวกเรามีเจ็ดสิบกว่าคน หากพักผ่อนให้พลังเวทฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุด ภายในสถานการณ์ปกติก็ใช่ว่าจะไม่สามารถจัดการอัคคีจิตวิญญาณได้ทั้งหมดภายในอึดใจเดียว แต่มีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยก็คือ เหนือหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆอัคคี พลังธาตุไฟของอัคคีจิตวิญญาณจึงแข็งแกร่งกว่าภายนอกเป็นทวี” ชายหน้าดำจ้องมองกลุ่มเมฆสีแดงที่ลอยอยู่เหนือหุบเขาตรงหน้า และขมวดคิ้วกล่าว
พวกเขาได้ทำการตรวจสอบตั้งแต่แรกแล้ว อัคคีจิตวิญญาณกลุ่มที่อยู่ในหุบเขาล้วนถูกเมฆอัคคีพวยพุ่งปกคลุมอยู่
นอกจากอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงแล้ว หากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เข้าไป ไม่เพียงแต่จะถูกบั่นทอนพลังเท่านั้น อัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงเหล่านั้น ก็จะยิ่งดีใจเหมือนปลาได้น้ำ
“ศิษย์พี่หลิน จุดนี้วางใจได้! ข้ามีวิธีขับไล่เมฆอัคคีได้ชั่วคราว” เฉินเติงได้ยินเช่นนี้กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย
“อ้อ? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องเฉินมีวิธีการอะไรในการขับไล่เมฆอัคคี?” ชายหน้าดำฟังมาถึงจุดนี้ ก็เหมือนจะมีสีหน้าดีใจ แต่ดวงตากลับเป็นประกายเยือกเย็น
โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์ระดับของเหลวที่ถูกเลือกมาเป็นศิษย์สายนอกได้ ส่วนมากจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่ระดับของเหลวขั้นปลายกลับมีน้อยมาก ทั้งยังส่วนใหญ่จะมีเหตุผลพิเศษบางอย่าง ถึงได้เข้านิกายช้าเช่นนี้
และศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายในที่นี้ ก็มีแค่เขากับเฉินเติงเท่านั้น ศิษย์ส่วนมากย่อมคิดว่าพวกเขาทั้งสองเป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีศิษย์คนอื่นๆ เห็นต่างไปจากทั้งสอง
“บอกทุกท่านอย่างไม่ปิดบัง ข้าศึกษาค่ายกลมาตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าตนเองค่อนข้างประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และยังรู้ค่ายกลชุดหนึ่งที่สามารถขับไล่เมฆหมอกหลายรูปแบบได้ แน่นอนว่าเมฆอัคคีก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ข้าจะรู้วิธีการวางค่ายกลชุดนี้ แต่เนื่องจากอาณาเขตของหุบเขาในครั้งนี้กว้างไปหน่อย ต้องใช้คนยี่สิบคนมายืนตามจุดต่างๆ ของตาค่ายกล คอยรักษาค่ายกลถึงจะได้” เฉินเติงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
…………………………………