ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 493 หลบหนีการไล่ฆ่า
ในมือหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ถือแผ่นค่ายกลหลากสีอยู่ หลังจากใส่พลังเวทเข้าไปแล้ว มันก็สั่นสะเทือนเบาๆ
ขณะนี้เฉินเติงลอยอยู่กลางอากาศเหนือใจกลางค่ายกล และโยนแผ่นค่ายกลหยกเขียวในมือให้ลอยอยู่ตรงหน้า
เขาเริ่มร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปอยู่ไม่หยุด พลังแต่ละสายกระพริบเข้าไปในแผ่นค่ายกล
แสงสีเขียวลอยวนขึ้นมาจากแผ่นค่ายกลหยกเขียว จากนั้นแสงสีเขียวเล็กๆ ก็พุ่งออกมา และพุ่งไปยังแผ่นค่ายกลบนมือศิษย์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุด จากนั้นก็พุ่งไปยังศิษย์คนอื่นที่อยู่ข้างๆ
พริบตาเดียว แสงสีเขียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าครั้ง แค่ละครั้งแสงสีเขียวที่เชื่อมกับแผ่นค่ายกลอื่นๆ จะขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันพุ่งออกจากแผ่นค่ายกลที่อยู่บนมือของศิษย์คนสุดท้าย มันก็มีขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่
แต่ขณะที่แสงสีเขียวพุ่งกลับไปยังแผ่นค่ายกลตรงหน้าเฉินเติงนั้น ตาค่ายกลยี่สิบกว่าแห่งที่อยู่รอบด้าน ก็เชื่อมโยงกันทั้งหมด
“เปิด!”
ภายใต้การตะคอกเสียงของเฉินเติง ไม่รู้ว่ามีธงยักษ์สีเขียวปรากฏอยู่ในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และต่อมาเขาก็ทุ่มกำลังโบกสะบัดมัน
และในขณะเดียวกัน แสงสีเขียวตามจุดต่างๆ ก็เปล่งประกายออกมาพร้อมกัน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ทำท่ามือ และค่อยๆ ปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลในมือ
พื้นดินบริเวณที่ค่ายกลตั้งอยู่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อักขระจำนวนมากลอยขึ้นมารวมตัวเหนือค่ายกล และประสานกันไปมาจนกลายเป็นแผนภาพลึกลับ
มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา!
แผนภาพกลายเป็นพายุหมุนสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า และปะทะใส่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาที่อยู่ไม่ไกล
ครู่ต่อมา เมฆอัคคีขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งอย่างรุนแรงราวกับน้ำเดือด และเริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ธงยักษ์สีเขียวในมือเฉินเติงโบกสะบัดไม่หยุด พายุสีเขียวก็พุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวเมฆอัคคีที่หนาแน่นก็ถูกพัดออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ปราณอัคคีจิตวิญญาณในหุบเขาถูกลดไปมาก
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์รอบด้านที่มีอาการคันไม้คันมือก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แม้ว่าเมฆอัคคีที่เหลือจะยังนับว่ามีความหนาแน่นอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันแล้ว
“ไป! พวกเราบุกเข้าไป! ศิษย์น้องเฉิน พวกเจ้ากระตุ้นค่ายกลต่อไป อย่าให้เมฆอัคคีกลับมารวมตัวกันได้” ชายหน้าดำตะโกนบอก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกจากตัว จากนั้นเขาก็ทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งไปตรงทางเข้าหุบเขา
ศิษย์หลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็ตามติดไปอย่างไม่รอรี
พอคนกลุ่มนี้เข้าไปในหุบเขา ก็พากันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณ ขับไล่คลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามา ไม่นานก็หายลับไปท่ามกลางเมฆอัคคีที่เหลือ
ไม่นานก็มีเสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังมาจากส่วนลึกของหุบเขา ดูท่าพวกชายหนุ่มแซ่หลินคงจะปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่ด้านในแล้ว
ขณะที่มีเสียงดังจนหูจะหนวกดังออกมาไม่ขาดสายนั้น ก็มีเสียงคำรามของอสูรเพลิงและเสียงปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณผสมปนเปมาด้วย
ฟังจากเสียงที่ดังออกมาจากด้านใน ศิษย์ที่ควบคุมค่ายกลอยู่ด้านนอกก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ในเมื่อมีอสูรเพลิงอยู่ด้านในจำนวนมาก ก็มีโอกาสเป็นได้มากว่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่ด้านใน
ศิษย์บางคนที่เลือกอยู่ด้านนอก รู้สึกเสียใจในภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้เข้าไป
พอถึงเวลาแบ่งแต้มคุณูปการ พวกเขาที่อยู่ได้นอกจะได้ส่วนแบ่งน้อยกว่าผู้ที่บุกเข้าไปมาก
หลิ่วหมิงมองไปทางหุบเขาด้วนสีหน้าสงบ ส่วนมือของเขาก็เปลี่ยนผลึกหินธาตุลมที่หมดพลังแล้วอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้ ค่ายกลแต่ละจุดยังคงกระตุ้นพายุสีเขียวแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับไล่เมฆอัคคีที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของหุบเขา แต่ดูเหมือนว่าเมฆอัคคีเหล่านี้ จะถูกพลังบางอย่างลากเอาไว้ พอมันถูกโจมตีจนกระจายออกไป ก็กลับมารวมตัวใหม่อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากเข้าไปทำศึกใหญ่ด้านในนั้น ค่ายกลขับไล่เมฆก็ดูเหมือนจะสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ซึ่งห่างจากที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ คาดคิดยิ่งนัก
พอส่งจิตกวาดดูยันต์เก็บของในมือ ก็ค้นพบว่ามีผลึกหินเหลืออยู่ในนั้นแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ผลึกหินธาตุลมที่ทำให้ค่ายกลดำรงอยู่เหล่านี้ รวบรวมมาจากศิษย์สายนอกที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ จากนั้นก็แบ่งคนให้ที่รักษาค่ายกลคนละเท่าๆ กัน แต่ดูจากการสิ้นเปลืองของมันในตอนนี้แล้ว พลังของค่ายกลคงยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก พอไม่สามารถขับไล่เมฆอัคคีได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมเกิดปัญหากับผู้คนที่บุกเข้าไปเป็นแน่
“พี่หลิ่ว ผลึกหินธาตุลมเหลือไม่มากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าค่ายกลคงยืนหยัดได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น” ขณะนี้ จั้งเสวียนก็ส่งเสียงมาข้างหูหลิ่วหมิง
“ตอนนี้ไม่อาจคิดอะไรได้มาก ยืนหยัดได้เท่าไหนก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงส่งเสียงกลับไปอย่างราบเรียบ
“ตามแนวโน้มนี้ หากไม่มีค่ายกลคอยประคับประคองไว้ เมฆอัคคีเหล่านี้จะต้องกลับมารวมตัวกันอย่างแน่นอน เมื่อมีเมฆอัคคีคอยช่วยเสริม เกรงว่าผู้คนที่เข้าไปในด้านใน คงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว……” จั้งเสวียนแหงนหน้ามองฟ้าและกล่าวอย่างสงบ
“ตอนนี้ทำได้แค่ลงมือตามโอกาส ข้ามักจะรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีเมฆอัคคี อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“อ้อ! หรือว่าพี่หลิ่วจะค้นพบอะไรเข้า?” จั้งเสวียนส่งเสียงกลับมาด้วยความแปลกใจ
“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับไป
สิ่งนี้ทำให้จั้งเสวียนหมดคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ขณะที่ทั้งสองส่งเสียงคุยกันนั้น พลันมีเสียงแผดร้องดังมาจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกาย และสายรุ้งสีฟ้าก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
พอแสงหลบหลีกสีฟ้ากลางอากาศดับลง ก็มีเงาร่างคนปรากฏออกมา ซึ่งก็คือชายหน้าดำแซ่หลินนั่นเอง!
ขณะนี้ เขามีท่าทีกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าบนตัวขนาดรุ่งริ่งไปกว่าครึ่งหนึ่ง เส้นผมและเสื้อผ้ามีรอยไหม้ปรากฏอยู่
“ทุกท่านรีบหนี! ในหุบเขามีอสูรเพลิงจำนวนมาก ไม่เพียงแต่จะมีอสูรระดับของเหลวมากมาย แต่ยังบ้าระห่ำผิดปกติ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!” พอชายแซ่หลินมาปรากฏตัว เขาก็รีบตะโกนออกมา
และด้านหลังของเขา ก็มีศิษย์ที่เข้าไปในก่อนหน้านั้นพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะมีบาดแผลตามตัว โลหิตไหลอาบครึ่งตัว ท่าทีดูลนลานเป็นอย่างมาก
คนสี่สิบกว่าคนที่เข้าหุบเขาในก่อนหน้านั้น ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามสิบคน!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ ขณะที่แสงสีแดงเปล่งประกายบนอากาศเหนือหุบเขา เมฆอัคคีจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมา มีจุดแสงสีแดงจำนวนมากเปล่งประกายอยู่ในเมฆอัคคี เสียงอสูรคำรามดังออกมาเป็นระยะๆ เห็นได้อย่างลางๆ ว่า อสูรเพลิงจำนวนมากตามหลังผู้คนที่หนีออกมาติดๆ
พอผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนโยนแผ่นค่ายกลในมือทิ้งไป และหยิบอาวุธกับยันต์ออกมาโดยไม่สนใจค่ายกลอีก
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหุบเขากันแน่ ทำไมถึงมีอสูรเพลิงจำนวนมากเช่นนี้ แต่สถานการณ์ตรงหน้าย่อมไม่สามารถคิดอะไรได้มากนัก เอาชีวิตรอดไว้ก่อนเป็นเรื่องสำคัญ
แสงหลบหลีกหลากสีพุ่งขึ้นมา ผู้คนที่มีท่าทีตอบสนองไวก็พุ่งหนีไปนานแล้ว
พอจั้งเสวียนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายบนตัว ทันใดนั้นร่างของเขาก็มุดลงใต้ดิน พริบตาเดียวก็หนีไปไกลหลายสิบจั้ง
และเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นก็รีบนำอาวุธจิตวิญญาณที่ดูคล้ายเรือใบออกมา เมื่อกระโดดขึ้นไป มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งออกไปอีกด้านหนึ่ง ความเร็วของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเลย
แต่ว่าหากพูดถึงผู้ที่ลงมือไวที่สุด ยังคงเป็นหลิ่วหมิงที่จ้องมองไปทางหุบเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาทิ้งแผ่นค่ายกล และขี่เมฆดำพุ่งหนีไปนานแล้ว
เขาไม่ตามชายหนุ่มแซ่หลินไปเหมือนกับคนจำนวนมาก แต่กลับเลี้ยวไปยังทิศทางที่จากมา
เฉินเติงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ถอนหายใจเบาๆ และเก็บธงค่ายกลยักษ์อย่างรวดเร็ว และนำรถเหาะออกมาโดยไม่ทันได้สนใจธงค่ายกลอันอื่นอีก จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปรถเหาะ และพุ่งออกไป
ฉากเช่นเดียวกันนี้ เกิดขึ้นในบริเวณอื่นๆที่มีกลุ่มอัคคีจิตวิญญาณเช่นกัน
บริเวณเหล่านี้ต่างก็มีศิษย์สายนอกรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย และอัคคีจิตวิญญาณแต่ละกลุ่มก็มีอสูรเพลิงรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังกระหน่ำโจมตีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่พวกมันพบเจอ
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งแดนอบอ้าวถูกเงาเลือดปกคลุมไว้
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นราบเรียบในป่าสีแดงเพลิงที่อยู่ห่างจากหุบเขาไปไม่ไกล หลิ่วหมิงถูกหมาป่าเพลิงเจ็ดแปดตัวปิดล้อมอยู่
ดวงตาของหมาป่าเพลิงเหล่านี้เต็มไปเส้นเลือด มันกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงคำราม
หลิ่วหมิงขยับตัวแค่เล็กน้อย ก็หลบหลีกการโจมตีหลากหลายครั้งได้อย่างง่ายดาย พอสำรวจดูคร่าวๆ เขาก็ค้นพบความผิดแผกของหมาป่าเพลิงเหล่านี้
ระหว่างทางไปหุบเขาในก่อนหน้านั้น เขาก็เคยเผชิญกับอสูรเพลิงชนิดนี้ แม้ว่าอสูรเพลิงเหล่านั้นจะดุร้าย แต่ก็ยังพอจะมองเห็นสติสัมปชัญญะของมันได้บ้าง
แต่ดวงตาแดงก่ำของหมาป่าเพลิงในขณะนี้ ไม่สติสัมปชัญญะใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มันได้แต่โจมตีผู้คนที่พบเห็นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้มันได้กลายเป็นตัวประหลาดที่กระหายเลือดโดยสมบูรณ์แล้ว
หลิ่วหมิงยกแขนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบี่บินสีฟ้าครามในมือพุ่งออกไปด้วยเสียงที่ดึงหวึ่งๆ และม้วนออกไปเป็นสายรุ้งแวววาว
ในขณะที่หมาป่าเพลิงตัวหน้าจะทำเสียงฮึดฮัดแต่ยังไม่ได้ทำนั้น มันก็ถูกฟันเป็นสองส่วน จนฝนโลหิตและเครื่องในร่วงลงมาราวกับใบไม้แห้ง
แต่ว่าหมาป่าเพลิงตัวที่เหลือตรงด้านหลัง ดูเหมือนจะไม่สนใจฉากนี้ ยังคงกระโจนเข้ามาพร้อมเสียงเห่าหอน
สายรุ้งสีฟ้าพร่ามัวกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก ขณะที่มันส่งเสียงดัง “ฟู่ๆ!” กลางอากาศ ก็ได้ปกคลุมหมาป่าเพลิงทั้งหมดไว้
เมื่อมีเสียงราวกับผ้าฉีกขาดดังออกมา หมาป่าเพลิงในนั้นก็ถูกฟันออกเป็นหลายสิบชิ้น เศษซากศพกระจายตามพื้นพร้อมกับเลือดที่เปียกโชก
หลังจากปราณกระบี่สีฟ้าดับไป เงากระบี่กลางอากาศก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และกลับมาเป็นกระบี่เล็กสีฟ้าอีกครั้ง พอหลิ่วหมิงกวักมือ มันก็บินกลับมาหา
ต่อมา เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็เข้าไปในป่าสีแดงเพลิงบริเวณนั้น
พอหลิ่วหมิงหายตัวไปไม่นาน ก็มีเสียงอสูรคำรามมาจากที่ไกลๆ จากนั้นฝูงอสูรเพลิงขนาดใหญ่ก็ทะลักเข้ามาจากทั่วทิศ และตามติดเข้าไปในป่า
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลามกองหินระเกะระกะ
หลิ่วหมิงยืนอยู่ในนั้นท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่ง ตรงหน้าของเขาคือโคป่าที่เป็นอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟตัวหนึ่ง มันมีขนาดสองสามจั้ง และแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวออกมาลางๆ
บนหัวของมันมีเงาโค้งๆ อยู่คู่หนึ่ง หัวขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เต็มไปด้วยความโหดร้าย บนตัวมีลายพาดกลอนสีดำแดงปกคลุมเต็มไปหมด
ทันใดนั้น อสูรเพลิงตัวนี้ก็กระทืบเท้าหลังลงพื้น และพุ่งเข้ามาราวกับเขาลูกเล็กๆ
…………………………………