ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 495 อัคคีจิตวิญญาณยักษ์
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวเหนือแม่น้ำ และก้มมองอย่างรวดเร็ว
จะเห็นว่าน้ำในที่นี้เป็นสีแดงราวกับเป็นหินหนืด
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกัน แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ออกมาจากแขนเสื้อ และกลายเป็นทรายสีเหลืองปกคลุมเขาไว้
“ตู๊ม!”
เขาร่วงลงไปในแม่น้ำราวกับก้อนหิน
แม้ว่าน้ำด้านล่างจะร้อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณแกร่งไว้ห่อหุ้มไว้ และยังมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์คอยช่วย เขาย่อมผ่านไปอย่างปลอดภัย
อึดใจเดียวเขาก็ดำลึกลงไปก้นแม่น้ำสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็ระงับกลิ่นไอบนตัวไว้ แม้กระทั่งคลื่นพลังของทรายทองคำร่วงก็ถูกระงับจนถึงขีดสุด
ผ่านไปไม่นาน มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านบน ทั้งยังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“หวังว่าจะสามารถปิดบังได้……” หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ในใจ
และขณะที่เขาคิดเช่นนี้ น้ำในแม่น้ำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง จระเข้เพลิงหลายตัวกำลังก่อกวนน้ำอยู่ และว่ายมาทางเขา
หลิ่วหมิงแอบกร่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกจากผิวน้ำ
และดูเหมือนจะมีอัคคีจิตวิญญาณยืนรออยู่ริมแม่น้ำนานแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิง พวกมันก็แผดเสียงแหลมออกมา จากนั้นอสูรเพลิงจำนวนมากที่อยู่ข้างหลังก็กระโจนเข้ามาทันที
หลิ่วหมิงได้แต่ปล่อยกระบี่บินออกไป พอสังหารอสูรเพลิงไปหลายตัวแล้ว ถึงหาจังหวะหลบหนี
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงใต้ดินที่ลึกลงจากเนินเขาบางแห่งไปพันกว่าจั้ง โดยที่มีแสงสีเหลืองห่อหุ้มตัวไว้
“ซ่อนอยู่ลึกขนาดนี้ ต่อให้เป็นพลังจิตของระดับผลึก ก็คงไม่อาจรับรู้ได้” พอพูดพึมพำจบ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงไป และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาสองก้อน เพื่อฟื้นฟูพลังเวท
หลังจากผ่านศึกใหญ่มาหลายครั้งและวิ่งหนีมาตลอดทาง ต่อให้หลิ่วหมิงจะมีพลังเวทหนาแน่นกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก แต่ก็ไม่สามารถแบกรับได้ไหว
แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าฌาน ก็มีเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมาจากด้านบน
หลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตรับรู้ออกไปดูด้วยความตกใจ ครู่ต่อมาเขาก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น
ด้านบนที่สูงขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง ตะขาบยักษ์สองตัวที่มีเปลือกแข็งแกร่งกำลังเคลื่อนไหวขายาวๆ ของมันอยู่ และขุดดินมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา หลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลือง ก็พุ่งขึ้นจากใต้ดินตรงเนินเขา และคิดจะหนีลอยนวลไปให้ไกลๆ
แต่พลันมีแสงไฟเปล่งประกายตรงหน้า อัคคีจิตวิญญาณที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดในก่อนหน้านั้นได้ปรากฏออกมา และมาขวางอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“รนหาที่ตาย!”
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา กะอีแค่อัคคีจิตวิญญาณระดับของเหลวขั้นต้นตัวหนึ่ง เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จุดแสงสีทองเปล่งประกายในแขนเสื้อทันที หมอกทรายสีทองขนาดใหญ่ม้วนตัวออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นมือยักษ์สีทองอร่ามคว้าอัคคีจิตวิญญาณเอาไว้แน่น
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง
แสงกระบี่สีฟ้าเปล่งประกายออกมา!
อัคคีจิตวิญญาณที่ถูกเขาจับตัวไว้ ถูกกระบี่ตัดคอโดยที่ไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงร้อง
“เอ๊ะ! กลิ่นไอเมื่อครู่นี้……” หลิ่วหมิงนำแก่นบริสุทธิ์ออกมา ขณะที่กำลังจะหมุนตัวพุ่งหนีไปนั้น พลันหันไปมองศพไร้หัวของอัคคีจิตวิญญาณด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ก่อนหน้านั้น เขาได้กลิ่นไออันคุ้นเคยจากซากศพอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่น มันคลับคล้ายคลับคลากับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่เขาพบเจอ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศพอัคคีจิตวิญญาณไร้หัวระเบิดออกมาทันที จากนั้นมันก็กลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางเปลวไฟที่พวยพุ่ง และแสงสีแดงก็พุ่งออกไปเพื่อคิดจะหลบหนี
แต่หลิ่วหมิงเป็นคนระดับใด? พอเขาขยับตัวโดยไม่ต้องคิด ก็มาปรากฏอยู่ข้างแสงสีแดง และคว้ามันเอาไว้
เขาปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดไปบนมือ
“ที่แท้กลิ่นไอนี้ก็เป็นของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์จริงๆ มันนำจิตรับรู้ส่วนหนึ่งแฝงไว้ในตัวอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป มิน่าล่ะ! ไม่ว่าจะหลบอย่างไร ก็ไม่อาจหนีการตามล่าของอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงได้ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ ในขณะที่อยู่ในแดนอบอ้าวที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟเต็มเปี่ยม เพียงแค่อยู่ในระห่างที่แน่นอน ก็หาศัตรูที่หลบซ่อนด้วยวิธีการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็เอามือทั้งสองมาถูกันทันที และพอบีบอัดจนแสงสีแดงดับลง เขาก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที
……
ผ่านไปไม่นาน ระหว่างหุบเขาคับแคบแห่งหนึ่ง มีแสงสีเขียว สีม่วงกระพริบผ่านไป และมีเมฆอัคคีสีแดงตามหลังไปติดๆ
บริเวณที่เมฆอัคคีเคลื่อนตัวผ่าน มีคลื่นความร้อนพวยพุ่งโจมตีเข้ามาเป็นระลอกๆ มีสะเก็ดไฟสีแดงปะปนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
ผ่านไปซักพัก แสงหลบหลีกหลายลำก็สลายตัวตรงปลายสุดของหุบเขา เผยให้เห็นร่างของคนที่อยู่ในนั้น ซึ่งก็คือจั้งเสวียนกับเฉินเติงและคนอื่นๆ นั่นเอง
“แย่แล้ว! หุบเขานี้ไม่สอดคล้องกับเครื่องหมายบนแผนที่ คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นหุบเขาทางตัน” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งจ้องมองเมฆอัคคีที่พวยพุ่งเข้ามา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่หันหลังชนฝาเผด็จศึกแล้ว” เฉินเติงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากคนเหล่านี้พบเจอกัน ก็ต่อสู้เป็นพัลวันจนมาถึงที่นี่ และพลังเวทก็หมดไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พอเผชิญกับฝูงอสูรเพลิงที่ถูกอัคคีจิตวิญญาณควบคุม จึงได้แต่ต่อสู้ไปพลางหนีไปพลางเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะหนีเข้าไปในหุบเขาที่เป็นทางตัน
พอเฉินเติงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสีฟ้าแปดอันก็ปรากฏอยู่ในมือ พอโบกด้วยมือข้างหนึ่ง มันก็หลุดออกจากมือ หลังจากปล่อยพลังใส่ติดต่อกันแล้ว ธงทั้งแปดก็กระจายไปรอบๆ ตัวพวกเขา พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าได้วางค่ายกลปกป้องวารีสวรรค์ไว้แล้ว แม้ค่ายกลจะมีพลังป้องกันธรรมดา แต่มันเป็นค่ายกลธาตุน้ำ คงพอจะต้านทานได้ชั่วระยะหนึ่ง” หลังจากเฉินเติงวางค่ายกลชุดนี้อย่างรวดเร็วแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เมฆอัคคีสีแดงกลุ่มนั้นก็มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
หลังจากมีแสงไฟสว่างขึ้นมา เมฆอัคคีก็ค่อยๆ สลายไป อัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่มีเปลวไฟห่อหุ้มก็ปรากฏออกมา และข้างตัวของพวกมันก็มีวิหคเพลิงสีแดงเจ็ดแปดตัวกับหมาป่าเพลิงห้าตัว
แสงไฟเปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ของวิหคเพลิง ลวดลายสีแดงบนตัวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด มันส่งเสียงร้องแหลมออกมาตลอดเวลา ปีกทั้งสองกระพือจนเกิดเป็นคลื่นอัคคีอันพวยพุ่ง
หมาเพลิงก็พ่นเปลวไฟสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และส่งเสียงคำรามออกมา เขี้ยวแหลมคมทั้งคู่ยาวฉื่อกว่าๆ ดวงตาดุร้ายจ้องมองมาทางพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นอัคคีจิตวิญญาณสองตัวหรืออสูรเพลิงสิบกว่าตัว ล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลว มิน่าล่ะ! แม้แต่พลังระดับเฉินเติงกับจั้งเสวียน ก็ทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น
“ฆ่า ฆ่า……” ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณสองตัวจะออกคำสั่งที่ได้ยินไม่ชัดเจนออกมา แต่ตัวมันเองกลับไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่จ้องมองคนที่อยู่ด้านล่างเท่านั้น
หลังจากวิหคเพลิงเจ็ดแปดตัวที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำสั่ง เปลวไฟบนตัวก็ลุกฮือขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงไฟสีแดงจำนวนมาก และพุ่งใส่ผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา!
สีของแสงไฟกลางอากาศค่อยๆ เข้มขึ้น ขณะที่อยู่ห่างจากตรงหน้าคนเหล่านี้เจ็ดแปดจั้งนั้น สีของเปลวไฟก็กลายเป็นสีแดงเข้ม
เฉินเติงร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกัน ก็ชี้นิ้วไปกลางอากาศ ม่านแสงสีฟ้าปรากฏออกมาจากจุดที่ธงค่ายกลหายไป และปกคลุมพวกเขาไว้
แสงสีฟ้าหมุนวนท่ามกลางม่านแสง ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลรู้สึกถึงความเย็นชุ่มชื้นที่ปะทะเข้ามาทันที
“เพล้งๆ!” เกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง
พอวิหคเพลิงปะทะกับม่านแสง มันก็ถูกดีดกระเด็นออกไปท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย
แต่ครู่ต่อมา เปลวไฟอันร้อนแรงก็ลุกไหม้บริเวณที่ถูกวิหคเพลิงปะทะใส่ และต่อมาม่านแสงนี้ก็เดือดเป็นปุดๆ
เฉินเติงเห็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนท่ามืออย่างต่อเนื่อง พอแสงสีฟ้าหมุนอยู่บนม่านแสงชั่วขณะหนึ่ง บริเวณที่เดือดปุดๆ ก็กลับมาสงบดังเดิม
แต่ทว่าหลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ม่านแสงสีฟ้าก็เล็กลงกว่าเดิม
วิหคเพลิงที่ถูกดีดกระเด็นออกไป กลับหมุนตัวพุ่งลงไปพร้อมเสียงร้องแหลมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่ามกลางเสียงปะทะอย่างรุนแรง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ม่านแสงสีฟ้าก็เล็กลงกว่าเดิมหนึ่งในห้าส่วน
ขณะนั้นเอง หมาป่าเพลิงที่อยู่ด้านข้างอัคคีจิตวิญญาณ ก็มาปรากฏตัวอีกด้านหนึ่งของคนเหล่านี้อย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกัน มันก็อ้าปากพ่นเสาเพลิงสีแดงจำนวนมากออกมา และรวมตัวเป็นเสาเพลิงร้อนแรงที่ยาวหลายจั้ง จากนั้นก็พุ่งใส่ม่านแสงสีฟ้าด้วยอานุภาพอันน่าตกใจ
“พี่จั้ง รีบแสดงวิชาต้านทานหน่อย!” เฉินเติงก็รู้สึกตกใจที่หมาป่าเพลิงมาปรากฏตัวกระทันหัน ในใจเขารู้ดีว่าการป้องกันนี้ไม่มีพลังรับมือการโจมตีของหมาป่าเพลิงแล้ว ดังนั้นจึงตะโกนออกมาทันที
จั้งเสวียนเก็บหินจิตวิญญาณบนมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา โล่สีเหลืองอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า พอเขาร่ายคาถา โล่เล็กก็ปล่อยแสงสีเหลืองเจิดจ้าออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ถึงห้าหกจั้ง มีอักขระสีเหลืองหมุนวนอยู่บนพื้นผิวไม่หยุด
“ตู๊ม!”
ลวดลายสีเหลืองบนโล่เปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง คลื่นความร้อนกระจายออกไปรอบๆ เสาเพลิงสีแดงส่วนใหญ่ถูกโล่ยักษ์ต้านทานไว้ จนไม่อาจพุ่งไปด้านหน้าได้ชั่วขณะหนึ่ง
ทันใดนั้น แสงไฟตรงหน้าค่ายกลก็พุ่งขึ้นฟ้า ม่านแสงสีฟ้าถูกคลื่นสั่นสะเทือนจนสั่นไหวเบาๆ
และภายใต้สถานการณ์ที่พลังเวทของจั้งเสวียนยืนหยัดต่อไปไม่ไหว จึงไม่สามารถทำการโจมตีใดๆ ได้อีก
วิหคเพลิงสองตัวกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง พอมันส่งเสียงร้อง ลูกไฟสีแดงสองลูกมีมีขนาดเท่าศีรษะ ก็พุ่งโจมตีม่านแสงสีฟ้า
ขณะที่ลูกไฟอยู่ห่างจากคนเหล่านี้สิบกว่าจั้งนั้น ไอร้อนก็ปะทะเข้ามาถึงก่อน
ศิษย์สายนอกอีกสองคนเห็นเช่นนี้ ก็พยายามกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณต่างๆ เพื่อต้านทานไว้ แต่ภายใต้การโจมตีของลูกไฟจำนวนมาก แสงที่มาจากอาวุธจิตวิญญาณก็ดับมืดลง
เฉินเติงที่พยายามกระตุ้นพลังของค่ายกลเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา
ขณะที่พวกเขารู้สึกว่าชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น พลันมีแสงสีทองเจิดจ้าเปล่งประกายกลางอากาศ กำแพงทรายสีทองปรากฏอยู่เหนือม่านแสงสีฟ้า ตามด้วยสายรุ้งสีฟ้าที่ปรากฏตรงด้านหลังของวิหคเพลิง และแผ่แสงเย็นสะท้านอันน่าตกใจ
เดิมทีวิหคเพลิงสองตัวกำลังโจมตีค่ายกลตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง จึงไม่ได้ทำการป้องกันใดๆ หลังจากมีเสียงร้องดังออกมา มันก็ถูกสายรุ้งสีฟ้าแทงทะลุติดต่อกันจนร่วงลงไป
ขณะเดียวกัน ก็มีเงาร่างพร่ามัวมาปรากฏตัวท่ามกลางกองหินระเกะระกะที่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
พอเขาปรากฏตัวออกมา ก็ชี้ไปยังกำแพงทรายที่อยู่เหนือม่านแสงสีฟ้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ฟู่!”
กำแพงทรายกลายเป็นหมอกทรายสีทองม้วนตัวลงไป และปิดล้อมวิหคเพลิงตัวที่เหลือไว้
แสงสีทองและสีแดงปรากฏขึ้นในหมอกทราย วิหคเพลิงที่อยู่ในนั้นปะทะใส่ม่านทรายอยู่ไม่หยุด จนเกิดเสียงดัง “ตู๊มๆ!” แต่กลับไม่สามารถทะลวงออกมาได้
…………………………………