ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 50 เกราะกลกระจกพิทักษ์
“ไม่ต้องแล้ว พวกข้าทั้งสองต่างก็พอใจกับผลการประลองในครั้งนี้แล้วไม่ต้องการประลองอีก” นักพรตจงกล่าวออกมาทันที
“แน่นอนว่าครั้งนี้เจ้าไป๋ชงเทียนคงโชคดีที่ชนะได้ แต่ถ้าจะให้ลงต่อสู้กับจินอวี่ล่ะก็ ดูอย่างไรโอกาสในการชนะก็มีน้อยมาก” จูชื่อเองก็รีบกล่าวปฏิเสธออกมา
ถึงแม้พวกเขาจะได้เปรียบในเรื่องของสิ่งของที่นำมาเดิมพัน แต่ถ้าไม่สามารถเอาชนะได้ย่อมเท่ากับว่าเอาตระกร้าไปวิดน้ำ
“ถ้าเช่นนั้น พวกข้าเพิ่มเหล็กบริสุทธิ์อีกร้อยชั่งเป็นไง?” ต้าจื้อขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเพิ่มของเดิมพันเข้าไปอีก
พอคำพูดนี้เปล่งออกมาจูชื่อก็ตกตะลึงในทันที นักพรตจงก็หยุดชะงักเช่นกัน
“ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม เพื่อผลจิตวิญญาณหนึ่งส่วนสหายทั้งสองถึงกับยอมเพิ่มเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่ง ราคาของเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่งเกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าผลจิตวิญญาณทั้งหมดในที่นี้” จูชื่อเรียกสติกลับมาแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“กล่าวอย่างไม่ปิดบังสหายทั้งสอง ครั้งนี้พวกข้าทั้งสองจำเป็นต้องได้ผลหยกสวรรค์นี้ทั้งหมด ถ้าไม่ได้มันทั้งหมดก็จะไม่เอาแม้แต่ผลเดียว สำหรับเหตุผลนั้นข้าไม่สามารถบอกได้ แต่สหายทั้งสองวางใจเถอะต่อให้ศิษย์ของท่านจะพ่ายแพ้ พวกข้าก็ยอมมอบเหล็กบริสุทธิ์ชดเชยให้” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
จูชื่อและนักพรตจงสบตากันครู่หนึ่ง ต่างก็มองเห็นแววตาประหลาดใจของกันและกัน
“ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้ากับศิษย์ขอปรึกษากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” จูชื่อกล่าว
“สหายทั้งสองปรึกษากันก่อนเถอะ ข้ารอได้” ผู้อาวุโสผมขาวตอบรับด้วยความเต็มใจ
“ชงเทียน เจ้ารีบพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าอีกสักครู่จะต้องประลองกันอีกสักครั้ง” นักพรตจงไม่ได้คัดค้าน และหันหน้าไปกล่าวหลิ่วหมิงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมกว่าปกติ
“ศิษย์รับทราบ”
หลิ่วหมิงตอบรับ แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่กลับรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าอาจารย์จิตวิญญาณของหุบเก้าช่องคิดที่จะทำอะไรกันแน่
ตอนนี้จูชื่อและนักพรตจงเดินไปยังมุมหนึ่ง ริมฝีปากทั้งสองขยับอยู่ไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเลย นี่คือวิชากระซิบเสียงอันลี้ลับมหัศจรรย์นั่นเอง
วิชานี้จะต้องก้าวสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายขึ้นไปจึงจะสามารถเรียนได้ ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิวเห็น หลังจากเขาดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่หลิ่วหมิงได้รับชัยชนะมาโดยไม่คาดคิด อวี๋เฉิงและเซียวเฟิงต่างก็มีหน้าที่ดูซับซ้อนกว่าปกติ โดยเฉพาะเซียวเฟิงนั้นคิดว่าตนเองเสียหน้าจนสุดที่จะทนได้
เขาเป็นถึงศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ศิษย์สามชีพจรอย่างหลิ่วหมิงกลับเอาชนะได้ ทั้งยังดูเหมือนกับว่าจะต้องแข่งกับฝ่ายตรงข้ามอีกรอบทำให้เขารู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก
สายตาที่มองไปยังหลิ่วหมิงแฝงด้วยแววตาริษยาอย่างห้ามไม่ได้
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา[1] จูชื่อและนักพรตจงปรึกษากันเสร็จแล้วเดินเข้ามาอีกครั้ง
ต้าจื้อ ต้าซั่ง เห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาแสดงสีหน้ารอคอยคำตอบ
“ในเมื่อสหายทั้งสองบอกว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ท่านก็ยินยอมมอบเหล็กบริสุทธิ์ให้ร้อยชั่ง เช่นนั้นข้าทั้งสองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ว่าข้าทั้งสองมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง!” จูชื่อกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เงื่อนไขอะไร ท่านทั้งสองรีบบอกมาเถอะ” ต้าจื้อ ต้าซั่ง มองหน้ากันครู่หนึ่งแล้วผู้อาวุโสผมขาวก็กล่าวออกมา
“ถ้าหากว่าศิษย์พวกข้าแพ้การประลองในรอบนี้ พวกข้าทั้งสองจะนำเหล็กบริสุทธิ์ไปจากที่นี่ส่วนผลจิตวิญญาณทั้งหมดมอบให้สหายทั้งสอง แต่ถ้าหากชนะแล้วล่ะก็สหายทั้งสองต้องบอกสาเหตุที่ต้องได้ผลหยกสวรรค์ทั้งหมดนี้” จูชื่อกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ข้าสามารถบอกเหตุผลแก่พวกท่านได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ผลจิตวิญญาณเหล่านี้ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังความลับนี้” หลังจากได้ยินเช่นนี้สีหน้าของต้าจื้อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พอคิดไตร่ตรองดูซักพักก็ตอบรับกลับไป
“ตกลงตามนี้” จูชื่อเลิกคิ้วขึ้นแล้วยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง
เสียงดัง “ป๊าบ” “ป๊าบ” “ป๊าบ” ผู้อาวุโสผมขาวกับจูชื่อแปะมือกัน จากนั้นอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสี่ก็เดินออกจากวงกลมไป
“ชงเทียน ข้าไม่รู้เจ้ายังจะมีไม้เด็ดอะไรหรือไม่ แต่การประลองรอบถัดไปจะต้องแสดงออกมาให้หมด ขอแค่ชนะเจ้าเด็กที่ชื่อจินอวี่นี้ได้ พวกข้าทั้งสองจะแบ่งผลประโยชน์หนึ่งในสิบที่ได้จากการประลองให้เจ้า” ตอนที่จูชื่อเดินผ่านหลิ่วหมิงเขาได้หันหน้าไปกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างเอาจริงเอาจัง
“ไม่เลว! ขอแค่เจ้าชนะการประลองในรอบนี้ข้าเองก็จะรักษาสัญญานี้” นักพรตจงกล่าวเสริมไปอีกหนึ่งประโยค
“ศิษย์รับทราบแล้ว ศิษย์จะพยายามอย่างเต็มที่” พอหลิ่วหมิงได้ยินว่าจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบ ใจเขาก็เต้นระทึก แล้วรีบก้มศีรษะตอบรับกลับไป
ขณะนี้ต้าจื้อ ต้าซั่ง ก็กำชับเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองสองสามประโยคแล้วปล่อยให้เขาเดินเข้าไปยังวงกลม
จินอวี่เดินเข้าไปในวงกลมด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก พอแขนเสื้อสะบัดลูกกลมๆ สีเหลืองก็กลิ้งออกมา และกลายเป็นหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวตัวหนึ่ง
“ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าชงเทียนมีโอกาสชนะกี่ส่วน?” จูชื่อถามนักพรตจง
“ถ้าเป็นก่อนการประลองรอบที่แล้ว ข้าพูดได้ว่ามีโอกาสแค่ครึ่งเดียว แต่ในเมื่อสำเร็จวิชากระสุนไฟขั้นต้นแล้ว ทั้งยังชนะการประลองได้อย่างง่ายดายเช่นนี้คิดว่ายังมีไม้เด็ดที่ยังไม่ได้งัดออกมา แต่รอบนี้ก็มีโอกาสชนะแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น เพราะพรสวรรค์หนึ่งจิตหลายพลังบวกกับหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวของเจ้าเด็กจินอวี่นั้น ทำให้มีพลังที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก” นักพรตจงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบกลับไป
“สามในสิบส่วนเหรอ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้พวกเราเดิมพันกันได้แล้ว ดูจากท่าทีของต้าจื้อ ต้าซั่งแล้วถ้าพวกเราไม่ยอมประลองรอบสุดท้ายนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่ยอมให้เราจากไปง่ายๆ” จูชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“อือ! ข้ากลับแปลกใจว่าทำไมพวกเขาทั้งสองถึงได้ให้ความสำคัญกับผลหยกสวรรค์นี้นัก” นักพรตจงค่อยๆ กล่าวออกมา
“เฮ่อๆ ถ้าหากชงเทียนสามารถชนะได้ล่ะก็พวกเราก็จะรู้เอง แต่ถ้าแพ้ล่ะก็ ได้เหล็กบริสุทธิ์กลับไปร้อยชั่ง ก็นับว่าไม่กลับไปมือเปล่าแล้ว” จูชื่อกล่าว
“ถูกต้อง สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้คือรอฟังผลอย่างเงียบๆ” นักพรตจงพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวออกมา
ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ลุกขึ้นยืน ไอสีดำม้วนตัวออกมาจากร่างของเขา เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว พอห่วงทองเหลืองบนข้อมือเปล่งแสงออกมาเคล็ดวิชาก็ซึมเข้าไปในร่างของเขา
ในขณะเดียวกัน ห่วงทองเหลืองก็ส่งเสียงดังวิ้งๆ โล่แสงกลมๆ ก็ปรากฏออกมาแนบติดอยู่บนแขนของเขา
“นี่คืออาวุธอาญาสิทธิ์ของเจ้า? ดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่!” จินอวี่มองดูห่วงทองเหลืองบนข้อมือของหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“มันจะร้ายกาจหรือไม่นั้น เจ้ามาลองดูก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงเขม้นตามองฝ่ายตรงข้าม และกล่าวอย่างเมินเฉย
“จริงหรือ งั้นข้าต้องลองสักหน่อยแล้ว” ดวงตาจินอวี่เปล่งประกายชั่วร้ายออกมา นิ้วมือหนึ่งแตะลงบนหน้าผาก
แขนทั้งสองของหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวกระแทกกันครู่หนึ่ง ปีกทั้งสองก็กางออกก่อให้เกิดเงาร่างมากมายกระโจนไปยังด้านหน้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบร่ายคาถา มือทั้งสองประกบกันระหว่างอก ในขณะเดียวกันแสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา แผ่นสีเขียวบางๆ ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว เขากระตุกข้อมืออีกครั้ง
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
คมวายุสามเส้นเกือบจะรวมตัวเป็นเส้นเดียวกันพุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าตอนปล่อยกระสุนไฟมาก ความเร็วของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวเลย
เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองเห็นเช่นก็รู้สึกตกใจรีบกระตุ้นหุ่นอสูร
เสียงดัง “เต้ง!” “เต้ง!” “เต้ง!” หุ่นอสูรยกแขนทั้งสองปัดคมวายุอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะปัดคมวายุสามเส้นออกไปได้ แต่ก็ต้องร่นถอยออกไปหลายก้าว
จินอวี่สีหน้าเคร่งขรึม มือข้างที่ว่างอยู่ทำท่ามือแล้วชี้ออกไปเพื่อควบคุมตั๊กแตนแสงเขียวผ่านอากาศ
หุ่นตั๊กแตนถูกกระตุ้นอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกันพอปีกทั้งคู่ของมันสั่นไหวก็กลับกลายเป็นเงาร่างพร่ามัวของตั๊กแตนสี่ตัวกระโจนเข้าใส่หลิ่วหมิง ทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่อาจแยกแยะได้ว่าร่างไหนคือร่างจริงร่างไหนคือร่างลวง
หลิ่วหมิงหรี่ตาลง แต่ปากยังร่ายคาถาอย่างกระชั้นชิด มือทั้งสองยกขึ้นอีกครั้ง
เสียงดังกึกก้องไปทั่ว
คมวายุสี่เส้นพุ่งออกไปอีกครั้ง พริบตาเดียวก็ทำลายเงาร่างตั๊กแตนไปสามเงา เหลือแค่ตัวสุดท้ายที่ใช้แขนปะทะคมวายุจนปลิวออกไป แต่ร่างที่หยุดชะงักกลางอากาศกลับล้มหงายหลังโดยไม่รู้ตัว และบินถอยห่างออกไป
ในขณะนี้เอง หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นกลางอากาศ เงาสีดำประกายขึ้นโซ่สีดำราวกับอสรพิษเส้นหนึ่งม้วนตัวไปยังหุ่นตั๊กแตน
“ฟู่!”
ตั๊กแตนแสงเขียวที่อยู่ด้านหน้าเกือบจะถูกโซ่สีดำรัดตัวอย่างไม่เต็มใจ แต่มันกลับกระพือปีกแล้วบินเฉียงออกไป
โซ่สีดำม้วนลงตรงที่ว่างเปล่า
แต่ช่วงจังหวะที่จินอวี่กำลังลังเลอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็ยกมือทั้งสองขึ้น เสียงดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง คมวายุสองเส้นพุ่งตรงออกไป เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ใช่หุ่นตั๊กแตน แต่หลังจากที่มันประกายออกมาก็พุ่งไปยังด้านหน้าของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองอย่างดุเดือด
การลงมือของหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ ยังไม่ได้ใช้พลังที่เขามีทั้งหมด
พลังเวทย์บริสุทธิ์ของเขาบวกกับวิชาคมวายุที่ฝึกสำเร็จขั้นสมบูรณ์แบบ พลังที่แสดงออกมามันรวดเร็วมาก รวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้สามถึงสี่ส่วน
ถึงแม้จินอวี่จะมีอุปนิสัยที่ป่าเถื่อน แต่พอตกอยู่ในสถาณการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“ฉับ!” “ฉับ!”
คมวายุฟันเข้าไปตรงหน้าอกของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง แต่กลับมีแสงสีเหลืองกะพริบออกมา บังเกิดเสียงดังราวกับฟันลงบนไม้แห้ง
“เกราะกลนักรบ ต้าจื้อ ต้าซั่ง พวกเจ้ากลับมอบของล้ำค่านี้ให้กับเขา การประลองครั้งนี้ข้าไม่นับ!” จูชื่อที่เดิมทีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเห็นฉากนี้ก็บันดาลโทสะตะคอกใส่ผู้อาวุโสผมขาว
นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็ทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา
“ฮึ! พวกเจ้าดูดีๆ หรือยัง สิ่งของที่อวี่เอ๋อร์ใช้ ไม่ใช้เกราะกลนักรบของพวกข้าในครั้งนั้น แต่เป็นเกราะกลกระจกพิทักษ์ที่เขาสร้างขึ้นเอง”
“กระจกพิทักษ์”
จูชื่อได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนนี้ จินอวี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วดึงเสื้อบนร่างกายออกมา เผยให้เห็นถึงชุดสีขาวที่แนบติดอยู่ในนั้น แต่ด้านหน้าหลังของเสื้อผ้าต่างก็มีแผ่นไม้กลมๆ ที่ดูคล้ายกับกระจกแนบติดอยู่กับหน้าอกและแผ่นหลัง
……………………………………….
[1] หนึ่งถ้วยชา หมายถึง ช่วงเวลาที่ถ้วยน้ำชาถูกยกขึ้นมาแล้วค่อยๆ จิบจนหมดถ้วย ใช้เวลาประมาณ 10 -15 นาที