ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 500 ของล้ำค่าใต้ดิน
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังก้องฟ้า!
ไอดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวเข้ามา และปะทะกับหอกยาวสีขาวอย่างรุนแรง
“เพล้ง!”
หอกเปลวไฟสีขาวสั่นสะท้าน และกระเด็นออกไป
มันคือกำปั้นที่หลิ่วหมิงชกผ่านอากาศเข้ามา จากนั้นก็กระโจนเข้าหาราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็มาอยู่ห่างจากมันไม่ถึงจั้งกว่าๆ
ราชาอัคคีจิตวิญญาณคำรามด้วยความโมโห และอ้าปากพ่นคลื่นอัคคีสีขาวออกมา
หลิ่วหมิงกระตุ้นเกล็ดสีแดงให้มาปรากฏบนแขนทั้งสองอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็กำมุกพลังวารีไว้ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากำปั้นจำนวนมาก
มีเสียงระเบิดดังออกมา!
ดูเหมือนเปลวไฟสีขาวจะถูกโจมตีจนสลายไป เงากำปั้นจำนวนมากทุบลงบนตัวราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้บาดแผลตรงท้องฉีกออกมา เผยให้เห็นแก่นบริสุทธิ์สีแดงที่เปล่งสีแดงอ่อนๆ อยู่ด้านใน
หลิ่วหมิงหดเงากำปั้นกลับมาด้วยตาที่เป็นประกาย ฝ่ามืออัปลักษณ์กางนิ้วทั้งห้า และคว้าไปที่ท้องของราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
แต่ขณะนั้นเอง ราชาอัคคีจิตวิญญาณที่หายใจแผ่วๆ พลันระเบิดตัวออกมา “ตู๊ม!” จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป
การระเบิดตัวในระยะใกล้เช่นนี้ หลิ่วหมิงคิดจะหลบหลีกก็คงเป็นไปไม่ได้ พอเปลวไฟสีขาวม้วนตัวขึ้นมา หลิ่วหมิงก็ถูกปกคลุมอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์
จั้งเสวียนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจจนต้องหลุดเสียงร้องออกมา!
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ฟู่!”
กลุ่มแสงสีขาวพุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว และพยายามพุ่งหนีไปยังปากทางเข้าหุบเขา
มีเงาร่างสีดำเกรียมอยู่ในม่านแสงสีขาว ซึ่งมันก็คือราชาอัคคีจิตวิญญาณนั่นเอง แต่ว่าร่างของมันเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า กลิ่นไอก็อ่อนลงกว่าก่อนหน้านั้นมาก พอมันเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่ที ก็หนีไปไกลเจ็ดสิบแปดสิบจั้งแล้ว
จั้งเสวียนที่เพิ่งได้สติกลับมา คิดจะไล่ตามก็ไม่ทันแล้ว
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดังออกมาจากทะเลเพลิงสีขาวที่ยังเหลืออยู่ ไอดำกลุ่มหนึ่งไล่ตามออกไปอย่างรีบร้อน
ท่ามกลางไอดำ หลิ่วหมิงกำลังถือโล่กระดูกสีดำบังอยู่ตรงหน้า พื้นผิวของมันมีเงาหัวกระโหลกเก้าใบส่งเสียงอยู่ไม่หยุด ความเร็วของเขารวดเร็วมาก คิดไม่ถึงว่าจะเร็วกว่าราชาอัคคีจิตวิญญาณในตอนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเกือบครึ่งหนึ่ง ครู่เดียวก็ตามหลังของมันทัน
ราชาอัคคีจิตวิญญาณดูเหมือนจะรู้ตัวว่าหนีไม่รอด จึงหยุดชะงักแล้วหันหน้ามาทันที จากนั้นก็พ่นเปลวไฟโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง และกลายเป็นลูกไฟที่มีขนาดใหญ่ราวกับล้อรถ และกลิ้งไปด้านหลังทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่ก็ยกโล่เล็กในมือขึ้นมาโบกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมันก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันหัวกะโหลกเก้าใบที่อยู่บนพื้นผิว ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า และอ้าปากออกมาพร้อม
“ฟู่!” “ฟู่!” “ฟู่!”
พริบตาที่ลูกไฟสีแดงสามลูกสัมผัสโดนเงากะโหลกทั้งเก้า มันก็ถูกดูดเข้าไปโดยที่ยังไม่ทันได้ระเบิดออกมา
“ฟู่!”
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราชาอัคคีจิตวิญญาณที่มีสภาพอ่อนแอเป็นอย่างมาก พอแขนของเขาพร่ามัว ฝ่ามือข้างหนึ่งก็เจาะท้องของมัน และคว้าเอาแก่นบริสุทธิ์สีแดงออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ราชาอัคคีจิตวิญญาณร้องออกมาอย่างเวทนา หลังจากแก่นบริสุทธิ์หลุดออกจากตัว ร่างของมันก็ดับสลายไป ทิ้งไว้เพียงผลึกพลังเวทแปดเม็ดลอยอยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจยาวออกมา และเก็บโล่กระโหลกเข้าไป จากนั้นก็คว้าเอาเม็ดผลึกทั้งแปดมาไว้บนมือ และหันตัวเหาะไปทางจั้งเสวียน และค่อยๆ ลอยลงในหลุมยักษ์
“ในที่สุดก็สังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ ครั้งนี้ต้องชื่นชมพี่หลิ่วที่มีพลังเหนือผู้อื่นแล้ว” จั้งเสวียนย่อมมองเห็นฉากที่หลิ่วหมิงสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณจากที่ไกลๆ แม้สีหน้าจะซีดขาวผิดปกติ แต่ก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นมาก
หลิ่วหมิงหัวเราะเหอะๆ! จากนั้นก็ยกมือเก็บทรายทองคำร่วงเข้าไป พอแบมือทั้งสองออก จะเห็นว่ามือข้างหนึ่งมีแก่นบริสุทธิ์วางอยู่หนึ่งเม็ด ส่วนอีกข้างก็มีผลึกพลังเวทวางอยู่แปดเม็ด และค่อยๆ กล่าวออกมา
“การสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณในครั้งนี้ ไม่อาจขาดพี่จั้งไปได้ ผลึกพลังเวททั้งแปดเม็ดนี้ เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการปรุงโอสถ และแก่นบริสุทธิ์ของราชาอัคคีจิตวิญญาณก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย มันเป็นสิ่งที่ใช้หลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอด ทั้งสองมีมูลค่าพอๆ กัน พวกเราแบ่งกันคนละอย่าง พี่จั้งมีความเห็นว่าอย่างไร?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าเลือกแก่นบริสุทธิ์ราชาอัคคีจิตวิญญาณก็แล้วกัน!” หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว จั้งเสวียนก็เลือกแก่นบริสุทธิ์ในมือหลิ่วหมิงอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และโยนแก่นบริสุทธิ์ออกไป จากนั้นก็เก็บผลึกพลังเวทเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน ผลึกพลังเวทเหล่านี้เป็นวัตถุดิบจำเป็นในการปรุงโอสถเพิ่มพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางกับขั้นปลาย แม้จะมีค่าไม่เท่าแก่นบริสุทธิ์ แต่สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาก
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งสองต่างก็ปีติยินดีด้วยกันทั้งสิ้น หลังจากทานโอสถและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปยุ่งอยู่ในหลุมยักษ์
จั้งเสวียนเก็บผลึกหินธาตุไฟจำนวนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นค่ายกลรูปขนมเปียกปูนที่เปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา และหาอะไรบางอย่างในหลุมยักษ์อยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงก็หยิบยันต์สีฟ้าออกมาผืนหนึ่ง หลังจากโยนออกไปกลางอากาศ มันก็กลายเป็นอักขระแสงสีฟ้าสองสามตัวหมุนวนรอบตัวไม่หยุด และเขาก็ทำท่ามือร่ายคาถาออกมา
ผ่านไปไม่นาน สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที และมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“แปลกจริง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเสาผลึกที่เป็นของล้ำค่าได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟในนี้ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย?” จั้งเสวียนกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งยังดูเหมือนจะหนาแน่นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย นอกเสียจากว่าเสาผลึกที่พวกเราทำลาย จะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของล้ำค่าที่แท้จริงคือสิ่งอื่น?” หลิ่วหมิงถอยหายใจและกล่าวออกมา
ครั้งนี้จั้งเสวียนเพียงแค่พยักหน้า และชี้ไปยังแผ่นค่ายกลโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเองก็ทำท่ามือกระตุ้นเคล็ดวิชาอะไรบางอย่างเงียบๆ
สุดท้ายแผ่นค่ายกลบนมือจั้งเสวียนก็สั่นสะท้าน แสงสีแดงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนอากาศเหนือใจกลางหลุมยักษ์ และหมุนติ้วๆ อย่างต่อเนื่อง
และทางด้านหลิ่วหมิง อักขระสีฟ้าสองสามตัวที่อยู่ข้างตัวก็พุ่งออกไป และค่อยๆ ลอยลงไปในตำแหน่งเดียวกับแผ่นค่ายกล ทั้งยังเปล่งประกายแสงสีฟ้าอยู่ไม่หยุด
“ดูท่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“อืม! ในกลุ่มอัคคีจิตวิญญาณทั้งหมด ก็มีแต่สถานที่แห่งนี้ที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง หากมีของล้ำค่าจริงล่ะก็ คงจะอยู่ด้านล่างแล้ว” จั้งเสวียนก็ตอบกลับโดยไม่เห็นต่างแต่อย่างใด
สถานที่ที่พวกเขาพูดถึง ย่อมเป็นตำแหน่งที่เสาผลึกตั้งอยู่ในก่อนหน้านั้น หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ทั้งสองก็มาถึงบริเวณนั้น
หลิ่วหมิงสังเกตดูพื้นสองสามที จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ ในฉับพลัน พอคว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ มุกพลังวารีสีดำเม็ดหนึ่งก็โผล่ออกมา ไอดำพุ่งออกมาเป็นสายๆ จากนั้นก็ทุบลงพื้นทันที
พอมีเสียงดังขึ้น หลุมยักษ์ก็สั่นไหว รูขนาดใหญ่ที่มีแสงสลัวๆ ปรากฏออกมา และแสงสีแดงก็พุ่งขึ้นมาจากด้านใน
“ดูท่าพวกเราทั้งสองคงต้องลงไปสำรวจดูข้างล่างแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เก็บกำปั้นขึ้นมา และหันไปกล่าวกับจั้งเสวียนอย่างราบเรียบ
จั้งเสวียนก็พยักหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ
……
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ใต้ดินใจกลางหลุมยักษ์ที่ลึกลงไปร้อยกว่าจั้ง!
ภายใต้การห่อหุ้มของกลุ่มแสงสีเหลืองกับไอสีดำ หลิ่วหมิงก็จ้องมองเตาหลอมยักษ์สีแดงตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เตาหลอมสูงสามสี่จั้ง มีอักขระสีแดง เหลือง ฟ้า ประทับอยู่บนพื้นผิว ฝาเตาหลอมเปิดกว้าง ไอหมอกขาวลอยเป็นเกลียวออกจากปากเตา และพ่นเปลวไฟสามสีออกมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟบริเวณนั้นควบแน่นเป็นผลึกสีแดงอย่างรวดเร็ว และสลายตัวเป็นแสงสีแดงลอยขึ้นด้านบน
จั้งเสวียนที่ถูกแสงสีม่วงปกคลุมอยู่ ก็จ้องมองเตาหลอมยักษ์ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ปรานจิตวิญญาณธาตุไฟที่เตาหลอมนี้แผ่ออกมาแข็งแกร่งมาก เป็นอย่างที่ได้ยินมาก่อนหน้านั้นจริงๆ ดูท่าสิ่งที่ทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง คงเป็นของล้ำค่าชิ้นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย” จั้งเสวียนส่งเสียงไปหาหลิ่วหมิง
“ทำไมล่ะ! หรือว่าพี่จั้งจะมองเบื้องหลังของเตาหลอมนี้ออก?” หลิ่วหมิงมองชายหนุ่มดวงตาสีม่วงทีหนึ่งแล้วส่งเสียงออกไปถาม
“พี่หลิ่วล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเกิดในขอบแดนแผ่นดินจงเทียน ไหนเลยจะเคยเห็นของล้ำค่าระดับนี้ แต่พลังอัคคีจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในเตาหลอมนี้ไม่อาจคาดเดาได้ จะต้องมีที่มาอันยิ่งใหญ่แน่นอน ใช่สิ! พี่หลิ่วมีความรู้กว้างไกล พอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่?” จั้งเสวียนได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา
หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดในแดนอบอ้าวมาหลายครั้ง และยังเห็นพลังที่ไม่ธรรมดาของหลิ่วหมิง เขาย่อมละทิ้งความหยิ่งยโสของตนเองลง คำพูดคำจาก็ดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“พี่จั้งถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าเองก็มีความรู้เพียงเปราะบาง ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร?” หลิ่วหมิงส่ายหน้ากล่าว
“ไม่ว่าของสิ่งนี้จะมีที่มาอย่างไร พวกเราก็ต้องย้ายมันออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องอย่างอื่นดีหรือไม่?” ดวงตาของจั้งเสวียนเป็นประกาย และกล่าวออกมา
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จั้งเสวียนได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีม่วงก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม……
ครู่ต่อมา มีเสาเพลิงสามสีลำหนึ่ง พุ่งออกจากรูขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางหลุมียักษ์ จากนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เตาหลอมยักษ์สีแดงค่อยๆ ถูกดันขึ้นมา จนพื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ และหลังจากขยับไปด้านหนึ่งแล้ว มันก็ตกลงพื้นเสียงดัง “โครม!”
“ฟู่!” “ฟู่!”
เงาร่างสองเงาพุ่งออกจากรู หลังจากพร่ามัวไปทีหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นข้างเตาหลอมยักษ์
ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองหายใจหอบแฮ่กๆ! และมีเหงื่อออกเต็มตัว
“คิดไม่ถึงว่ามันจะหนักขนาดนี้ หากพวกเราไม่รวมพลังกัน เกรงว่าคงไม่อาจนำมันขึ้นมาได้” จั้งเสวียนผ่อนคลายลมหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“แต่นี่ก็ยิ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า มันมีที่มาไม่ธรรมดา ตอนนี้ข้ากลับกลุ้มใจว่า ทำอย่างไรถึงจะเก็บของล้ำค่านี้ได้ ก่อนหน้านั้นข้ากับเจ้าก็ได้ลองดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมบัติย่อส่วนหรือว่ายันต์เก็บของ ก็ไม่อาจเก็บของสิ่งนี้เข้าไปได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วกล่าวออกมา
…………………………………