ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 501 แมงป่องกระดูกฟื้นตัว
“ของสิ่งนี้เก็บยากจริงๆ แต่ข้ารู้จักเคล็ดวิชาหนึ่ง ไม่แน่อาจจะได้ผลก็ได้ แต่ต้องวางค่ายกลคอยช่วยเสริม” จั้งเสวียนจ้องมองเตาหลอมยักษ์ที่มีอักขระสามสีหมุนวนอยู่ไม่หยุด และกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“อ้อ! ในเมื่อมีจั้งมีความมั่นใจเช่นนี้ ก็ลองดูกันเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ครุ่นคิดทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงเองก็พยักหน้าตกลง จากนั้นก็ล้วงแขนเสื้อด้วยความดีใจ และควักเครื่องมือวางค่ายออกมา เพื่อลองเก็บเตาหลอมนี้
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังโครมครามบนอากาศที่สูงจากหลุมยักษ์หลายร้อยจั้ง และคลื่นอากาศก็สั่นสะเทือนขึ้นมา แสงสีเขียวเจิดจ้าปรากฎออกมาทันที มีอักขระสีเขียวจำนวนมากลอยออกมา ชั่วเวลาแค่สองอึดใจ มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระที่มีขนาดหลายจั้ง
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจมาก และทำท่าระแวดระวังพร้อมกันกันโดยมิได้นัดหมาย
พอจั้งเสวียนคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่ยาวสีเหลืองก็ปรากฏบนมือ
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ลอยออกไป และกลายเป็นหมอกทรายรายล้อมอยู่รอบตัว
ขณะนั้นเอง ค่ายกลอักขระกลางอากาศก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างมนุษย์หลายเงาที่มีแสงสีเขียวเปล่งประกายปรากฏขึ้นมาตรงกลาง
คนเหล่านี้ล้วนอกกว้างไหล่ผึ่งผายเอวกลม ใบหน้าพร่ามัวไปทั้งแถบ มองเห็นอวัยวะบนใบหน้าลางๆ เท่านั้น ทั้งยังสวมเสื้อเกราะสีเขียว บนนั้นมีรูปมังกร พยัคฆ์ และอสูรประหลาดตัวอื่นๆ สลักอยู่ บริเวณหน้าอกของเสื้อเกราะแวววาว ก็มีอักขระขนาดใหญ่ประทับอยู่ ‘ยันต์’ และยังเปล่งแสงสีเงินจางๆ ออกมา
“นักรบคุมกฎ เป็นคนของหอดำเนินการ!” พอจั้งเสวียนเห็นคนเหล่านี้ชัดเจน ก็หลุดปากส่งเสียงออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ลดกระบี่ยาวสีเหลืองในมือลงโดยไม่รู้ตัว
“นักรบยันต์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา แต่หมอกที่ลอยวนอยู่ก็ลดช้าลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์สายนอกของสาขาห่านฟ้าสินะ ชื่ออะไรกัน? ไม่ต้องลนลานไป พวกข้าเป็นทูตหอคุมกฎ เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ในแดนอบอ้าวค่อนข้างพิเศษมาก จึงต้องอาศัยร่างนักรบยันต์แหวกมิติเข้ามา” นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ามองหลิ่วหมิงทั้งสองทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อประกอบกับใบหน้าอันพร่ามัวของพวกเขาแล้ว จึงดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
และพอน้ำเสียงของนักรบยันต์ผู้นี้สิ้นสุดลง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายรูปสี่เหลี่ยมออกมา รูปภาพบนนั้นเหมือนกับที่หลิ่วหมิงเคยเห็นในตอนที่เข้านิกาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหอคุมกฎนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ที่หอคุมกฎ ข้าน้อยจั้งเสวียน ด้านข้างนี้คือพี่หลิ่วหมิง การทดสอบในครั้งนี้ แดนอบอ้าวเปลี่ยนไปไม่น้อย อัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงอยู่ๆ ก็สังหารอย่างบ้าระห่ำ ตราหยกส่งตัวของพวกเราก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้ศิษย์สายนอกเสียชีวิตไม่น้อย ไม่ทราบว่าทางนิกายมีการเตรียมการอื่นๆ สำหรับการทดสอบต่อไปนี้อย่างไร?” จั้งเสวียนกวาดสายตามองแผ่นป้าย และกล่าวอย่างนอบน้อม
แม้หลิ่วหมิงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็คุมมือคารวะเช่นกัน
“จั้งเสวียน หลิ่วหมิง……อืม! ในบัญชีรายชื่อมีชื่อของพวกเจ้าอยู่จริงๆ พวกเจ้ารอสักครู่!”
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็เก็บแผ่นป้ายเข้าไป และหยิบสิ่งของอีกอย่างออกมา เขาพลิกไปสองสามหน้าอย่างรวดเร็ว มันดูคล้ายกับเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ากล่าว
หลังจากนั้นก็เก็บคัมภีร์เข้าไป พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ก็มีสิ่งของอย่างหนึ่งโผล่ออกมา และแสงสีเขียวก็ทำให้ผู้คนมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจน
พอนักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้าปล่อยพลังออกมา แสงสีเขียวในมือก็สว่างขึ้นในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน บนพื้นที่เตาหลอมตั้งอยู่ก็สั่นสะเทือนโครมคราม อักขระสีเขียวจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นบริเวณนั้น และก่อตัวเป็นค่ายกลแสงสีเขียวรุบหรู่ตรงด้านล่างของเตาหลอมยักษ์
นักรบยันต์ที่เหลือก็พากันร่ายคาถา และปล่อยพลังสีต่างๆ เข้าไปในแสงสีเขียวบนมือคนที่เป็นหัวหน้า
“ฟู่!”
ลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากค่ายกลแสง พริบตาเดียวก็ปกคลุมเตาหลอมยักษ์ไว้
ท่ามกลางลำแสง เตาหลอมยักษ์สีแดงค่อยๆ ลอยขึ้นมา และเปลวไฟสามสีที่พ่นออกจากปากเตาหลอมกลับหายไปอย่างน่าประหลาดใจ
ที่แท้นักรบยันต์เหล่านี้ ก็กำลังเก็บของล้ำค่านี้อยู่
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หากก่อนหน้านั้นฝ่ายตรงข้ามไม่นำป้ายหอคุมกฎออกมา เกรงว่าพวกเขาคงจะลงมือขัดขวางอย่างแน่นอน
แต่ขณะนี้ หลังจากทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้ว ต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะเขียวที่เป็นหัวหน้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงขีดสุด พอโยนสิ่งของในมือออกไปเบาๆ กลุ่มแสงสีเขียวก็ลอยอยู่กลางอากาศ และนิ้วมือทั้งสิบก็คลื่นไหวอย่างรวดเร็ว และทำท่ามือต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อปล่อยอักขระลึกลับออกไป
ดูเหมือนเตาหลอมสีแดงจะถูกเรียก มันค่อยๆ ลอยไปยังกลุ่มแสงสีเขียวกลางอากาศ หลังจากพร่ามัวครู่หนึ่งแล้ว ก็จมหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
นักรบยันต์ที่เป็นหัวหน้ากวักมืออีกครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งกลับมาในมือของเขา
นักรบยันต์ที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็สบตากันทีหนึ่ง และดูเหมือนจะรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกัน
ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะเขียวถึงละสายตามาทางหลิ่วหมิงทั้งสอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เตาหลอมนี้เป็นสมบัติของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่หล่นอยู่ในแดนอบอ้าวแห่งนี้โดยไม่ตั้งใจ และก็เป็นเพราะปราณอัคคีในเตาหลอมรั่วไหลออกไป ถึงทำให้แดนลึกลับเปลี่ยนแปลงแบบแปลกประหลาด เรื่องนี้เป็นความลับของนิกาย ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองจะต้องรักษาความลับนี้ไว้ ห้ามบอกคนอื่นโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกทำโทษตามกฎ!”
หลิ่วหมิงกับซินหยวนได้ยินเช่นนี้ แม้พอจะคาดเดาได้ลางๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่จชขณะนี้ย่อมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“อืม! สถานที่แห่งนี้มีชั้นกำจัดซ่อนเร้นที่ทางหอเราได้วางไว้นานแล้ว ก่อนหน้าที่พวกเจ้าต่อสู้กับราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างดุเดือดนั้น เป็นเพราะเคล็ดวิชา จึงไม่สามารถแหวกมิติส่งนักรบยันต์มาที่นี่ได้ทันที แต่ว่าผู้อาวุโสหอคุมกฎมองเห็นการต่ออย่างดุเดือดของพวกเจ้าผ่านชั้นจำกัดนี้ ด้วยสถานะศิษย์สายนอก แต่สามารถสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ นับว่าพวกเจ้าสร้างผลงานให้นิกายไม่น้อย ออกไปครั้งนี้ หอคุมกฎเราจะตอบแทนอย่างหนักแน่นอน” พอเห็นว่าทั้งสองมีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ นักรบยันต์ยันต์เกราะเขียวก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนย่อมกล่าวขอบคุณออกมา
“เอาล่ะ! เรื่องในแดนอบอ้าวได้สิ้นสุดลงแล้ว และทางด้านหัวหน้าสาขาทั้งแปด ก็คงจะซ่อมแซมค่ายกลเสร็จแล้ว แต่ว่าตราหยกในก่อนหน้านั้นไม่มีผลลัพธ์แล้ว หากพวกเจ้าอยากจะออกจากการทดสอบในตอนนี้ ก็ไปที่พื้นที่ท้องกระทะอัคคีบริสุทธิ์ทางด้านตะวันออกสุดของแดนอบอ้าว ที่นั่นสามารถส่งพวกเจ้าออกไปโดยตรงได้ พวกเจ้าทั้งสองอย่าลืมบอกเรื่องนี้ให้กับคนอื่นๆ เพื่อลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น”
นักรบยันต์เกราะเขียวกล่าวจบ ก็นำยันต์สีเขียวหยกแผ่นหนึ่งออกมาขยี้จนแหลกละเอียด จากนั้นค่ายกลตรงใต้เท้าก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย นักรบยันต์เกราะเขียวเหล่านี้กับค่ายกลก็หายไปพร้อมกัน
ขณะนี้หลิ่วหมิงทั้งสองถึงได้มองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
แม้หอคุมกฎสัญญาว่าจะมอบรางวัลให้กับพวกเขา แต่เมื่อเทียบกับรางวัลจากการนำของล้ำค่าไปแลกแล้ว ย่อมแตกต่างกันมาก
แต่ในเมื่อเตาหลอมนี้เป็นสมบัติของนิกาย พวกเขาทั้งสองก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก ทำได้แต่ยอมรับความโชคร้ายเท่านั้น
“ตอนนี้ของล้ำค่าที่ทำให้สถานแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถูกเก็บไปแล้ว ราชาอัคคีจิตวิญญาณก็ถูกสังหารแล้ว คิดว่าความบ้าระห่ำของอัคคีจิตวิญญาณกับฝูงอสูรเพลิงคงสงบลงไปด้วย พวกเรารีบบอกข่าวนี้กับคนอื่นๆ เถอะ!” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนอื่นพวกเรายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ” ชายหนุ่มเนตรอินทนิลกล่าวออกมา จากนั้นก็เดินไปข้างหลุมใหญ่แล้วมองลงไป
รูขนาดใหญ่ภายในหลุมยักษ์ จุดที่เดิมทีเตาหลอมยักษ์ตั้งอยู่ ในนั้นยังมีผลึกหินธาตุไฟเหลืออยู่ไม่น้อย ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เตาหลอมยักษ์ควบแน่นขึ้นมาในก่อนหน้านั้น มันมีสีแดงแวววาว และแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอยู่ ความบริสุทธิ์ของมันพอที่จะเทียบกับผลึกหินธาตุไฟระดับสูงได้ นำออกไปแลกได้กำไรไม่น้อย
และทั้งสองก็เก็บหินจิตวิญญาณเหล่านี้โดยไม่ต้องบอกกล่าว และแบ่งสรรปันส่วนกันทันที
“เกรงว่าอีกไม่นานผู้คนที่อยู่ด้านนอกก็คงจะเข้ามาในนี้ ข้ากับเจ้าแยกย้ายกันเถอะ จะหาสมบัติอื่นเจอหรือไม่นั้น คงต้องอาศัยโชคของตัวเองแล้ว” จั้งเสวียนพูดออกไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และเหาะขึ้นไป แต่กลับเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
ในเมื่อหุบเขาแห่งนี้เป็นที่รวมตัวของอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มใหญ่ ปราณจิตวิญญาณธาตุไฟก็หนาแน่น ย่อมมีวัตถุจิตวิญญาณธาตุไฟชนิดต่างๆ ก่อกำเนิดขึ้นมา
ตอนนี้ศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ไม่อยู่ด้วย ย่อมเป็นโอกาสอันดีในการเก็บเกี่ยว ดังนั้นจึงแยกย้ายกันไปเก็บให้หมด
แต่หลังจากจั้งเสวียนจมหายไปในเมฆอัคคีได้ไม่นาน ก็มีเงาร่างเปล่งประกาย หลิ่วหมิงกลับออกมาจากเมฆอัคคีอย่างรวดเร็ว
เขามองไปทางที่จั้งเสวียนจากไป และปล่อยจิตรับรู้ออกไปสำรวจดูรอบด้าน หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงเดินไปยังจุดที่เคยวางเตาหลอมยักษ์ และกระโดดลงไป ขณะเดียวกัน ก็ควักยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งมาแปะไว้บนตัว
“ฟู่!” แสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้ และพุ่งลงไปในรูขนาดใหญ่ทันที
“เจ้าแน่ใจหรือว่าใต้หลุมนี้ยังมีของล้ำค่าอย่างอื่น และยังมีกลิ่นไอเหมือนกับเตาหลอมนั้นไม่มีผิด?” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบในฉับพลัน
หลังจากเตาหลอมยักษ์ถูกนำไปแล้ว ภายในถ้ำใต้ดินยังคงมีปราณอัคคีปกคลุมอยู่ ซึ่งหนาแน่นกว่าภายนอกมาก
“นายท่าน ไม่ผิดอย่างแน่นอน! แม้ข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา แต่ความสามารถใหม่ที่ได้มาบอกข้าว่า ด้านล่างมีของล้ำค่าอย่างอื่นจริงๆ” มีน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนี้ จะมีบุคคลที่สองอยู่ด้วย
หลิ่วหมิงเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบถุงหนังที่อยู่บนเอว พอปากถุงเปิดออกมา ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากในนั้น หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็กลายเป็นแมงป่องสีขาวเงินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งมันก็คือแมงป่องกระดูกที่เป็นหนึ่งในสองอสูรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงนั่นเอง
แต่ว่าร่างของมันเล็กลงไปมาก บนหลังมีลวดลายสีม่วงแปลกประหลาดประทับอยู่อย่างเนืองแน่น เกล็ดมังกรแดงในก่อนหน้านั้นหายไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกัน หางตะขอหัวอสรพิษด้านหลัง กลับกลายเป็นหัวมังกรที่ดูราวกับมีชีวิต
ตั้งแต่กลืนกินหัวปีศาจยักษ์ในเหลวลึกครั้งนั้น มันก็หลับอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ขณะที่หลิ่วหมิงสังหารราชาอัคคีจิตวิญญาณในหลุมยักษ์นั้น มันก็ฟื้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ และในตอนที่ค้นพบเตาหลอมสีแดง มันก็ส่งเสียงบอกหลิ่วหมิงว่า รับรู้ได้ถึงของล้ำค่าไม่ทราบชื่ออีกชิ้นอยู่ข้างใต้เตาหลอมยักษ์
…………………………………