ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 506 สัญญาเวท
จินอวี้หวนแหงนหน้ามองศิษย์สายนอกที่มาปรากฏตัวกระทันหันเหล่านี้ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ดวงตาทั้งคู่จ้องมองชายหนุ่มแก้มตอบปากแหลมที่อยู่ในนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกัน
“ศิษย์น้องจิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมคำสั่งของศิษย์พี่ซาทงเทียนไปแล้ว ทุกท่าน หากไม่มีธุระอะไรล่ะก็ อย่าได้เพิ่มปัญหาให้กับศิษย์น้องจินเลย” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยๆ ใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อหัวเราะเฮ่อๆ! และชิงพูดออกมาก่อน
หลังจากชายตัวเตี้ยพูดชื่อซาทงเทียนออกมาแล้ว ฝูงชนที่อยู่มุงดูอยู่ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา และเกิดความวุ่นวายขึ้น
“ซาทงเทียน”
“คือชายหนุ่มตะกูลซาที่กลายเป็นศิษย์สายในตั้งแต่อายุยังน้อยผู้นั้นหรือ?”
ไม่รู้ว่าใครกระซิบออกมา จากนั้นฝูงชนกว่าครึ่งหนึ่งก็หมุนตัวจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่วนคนที่ยังไม่เดินจากไป ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
บริเวณรอบๆ แผงของจินอวี้หวนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ที่มาของซาทงเทียนผู้นี้ แต่ฟังจากคำพูดของฝูงชนที่มุงดู ดูเหมือนว่าตระกูลซาจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง และดูเหมือนซาทงเทียนจะมีชื่อเสียงในกลุ่มศิษย์สายนอกไม่น้อย และพอมาคิดใคร่ครวญดูอีกที ที่หญิงผู้นี้นำยันต์ทะลวงเส้นลมปราณออกมาโดยง่ายเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีที่มาอะไรบางอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ซาให้พวกเรามาถามว่า เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น?” ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมเดินออกจากฝูงชนอย่างเงียบๆ และเผยสีหน้าพอใจออกมา จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
จินอวี้หวนมองดูชายหนุ่มทีหนึ่ง ใบหน้าของนางซีดขาวเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับดูเยือกเย็น และไม่พูดอะไรออกมา
“ศิษย์น้องจิน พวกเราก็ไม่ได้มาหาเข้าเป็นครั้งแรก ตามที่ข้ารู้มา เดิมทีตระกูลจินของเจ้ากับตระกูลซาต่างก็เป็นมิตรกันมาหลายร้อยปีแล้ว เรื่องดีงามราวกับเติมบุปผาลงบนผ้าดิ้นเงินดิ้นทองเช่นนี้ ใยต้องพิจารณาให้มากความด้วย?” พอชายที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตเห็นว่าหญิงสาวเงียบและไม่พูดอะไรออกมา เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนโยน
“พวกเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เถอะ! ข้าจะไม่ตอบรับซาทงเทียนอย่างเด็ดขาด” ขณะนี้ จินอวี้หวนกัดฟันพูดด้วยสีหน้าซีดขาว ดวงตาของนางดูเด็ดขาดเป็นอย่างมาก
พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มหน้าตอบแก้มแหลมกับชายเตี้ยอัปลักษณ์ก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตก็ส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
“ฮึ! ในเมื่อศิษย์พี่ซาพูดออกมาก่อนแล้ว ยังจะมีศิษย์สายนอกคนใดกล้าเสี่ยงอันตรายช่วยเจ้าอีกเล่า ศิษย์น้องจิน เจ้าลองคิดให้ดีๆ อีกครั้ง พวกข้าจะมาหาเจ้าอีกแน่นอน” ชายหนุ่มหน้าตอบแก้มแหลมตั้งใจพูดออกมาดังๆ
หลังจากคนเหล่านี้ส่งเสียงหัวเราะแล้ว ก็เดินจากไปด้วยท่าทีหยิ่งยะโสในทันที
ขณะนี้ จินอวี้หวนมีสีหน้าเขียวปัด พอแหงนหน้ามองผู้คนที่มุงดูอยู่ พวกเขาก็พากันหลบสายตาของนางทั้งหมด
นางรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเก็บแผง และเดินไปตามถนนทางใต้ที่เป็นทางออกอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน
พอออกจากตลาด นางก็ทำท่ามือเบาๆ จากนั้นก้อนเมฆสีขาวก็พยุงตัวนางขึ้นมา ไม่นานก็หายไปจากสายตาของผู้คน
ขณะนี้ ผู้คนที่เหลืออยู่ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ออกมา
“ตามที่ข้าทราบมา ตระกูลจินกับตระกูลซาเป็นมิตรกันจริงๆ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็มีศิษย์สายตรงระดับแก่นแท้ตระกูลละคน และทั้งสองตะกูลต่างก็สนิทสนมกันดี แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่บรรพบุรุษของจินอวี้หวนเสียชีวิต ในระยะร้อยปีมานี้ตระกูลจินก็ค่อยๆ ตกต่ำลง ตอนนี้ในตระกูลของนางไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกแม้แต่คนเดียว เหลือเพียงแค่จินอวี้หวนที่ยังอาศัยบารมีของบรรพบุรุษ ถึงกลายเป็นศิษย์สายนอกที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวได้” ผู้อาวุโสผมขาวที่สวมชุดศิษย์สายนอก อายุราวๆ หกสิบเจ็ดสิบปี หันไปพูดกับสหายไว้หนวดเคราผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ข้าไม่ค่อยรู้จักตระกูลจินมากนัก แต่ตระกูลซาข้าพอจะรู้จักอยู่บ้าง ตระกูลซามีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกหลายคน และซาทงเทียนก็มีคุณสมบัติไม่เลว ทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านการฝึกฝน ถูกผู้อาวุโสยอดเขากระบี่สวรรค์เห็นความสำคัญ และรับเป็นศิษย์สายในตั้งแต่อายุยังน้อย ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย สามารถพูดได้ว่าเป็นศิษย์ที่มีศักยภาพที่สุดของตระกูลซา ได้ยินมาว่าภายหน้าอาจจะได้เป็นศิษย์สายตรง จะว่าไปก็แปลก! ด้วยพลังของซาทงเทียนกับอิทธิพลของตระกูลซาในขณะนี้ การหาคู่รักฝึกฝนเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก แต่เขากลับต้องการจินอวี้หวน ไม่รู้มีเรื่องอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า” ชายไว้หนวดเคราที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมา
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า ที่สองตระกูลกลายเป็นศัตรูกันในหลายปีมานี้ ก็เพราะเรื่องที่นางไม่ยอมเป็นคู่รักฝึกฝนหรอกหรือ?” ผู้อาวุโสผมขาวได้ยินก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“นางปฏิเสธน้ำใจของตระกูลซาไปหลายครั้ง คาดว่าคงจะทำให้ซาทงเทียนโมโห คนผู้นี้ไปตักเตือนศิษย์สายนอก และศิษย์ธรรมดาที่เข้าใกล้จินอวี้หวนตามที่ต่างๆ และประกาศว่าหากใครช่วยเหลือจินอวี้หวนก็จะเป็นศัตรูกับเขา คนจำนวนหนึ่งกลัวจะหาเรื่องใส่ตัว จึงทำตัวห่างเหินกับจินอวี้หวน มิเช่นนั้นนางคงไม่ถึงกับต้องมาปรากฏตัวในตลาด และใช้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่มีมูลค่าน่าตกใจเช่นนี้ เพื่อหาคนช่วยนางหรอก” ชายที่ไว้หนวดเคราหัวเราะย่างขมขื่น และค่อยๆ กล่าวออกมา
คนอื่นๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
พอหลิ่วหมิงได้ยินว่า ซาทงเทียนผู้นั้นเป็นแค่ศิษย์สายในระดับของเหลว เขาก็คิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปทางที่จินอวี้หวนจากไป พอออกจากประตูใหญ่ของตลาดแล้ว ก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าทันที
……
ทางด้านใต้ของตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์ หลังจากผ่านเขาเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจั้งไปสองลูก ก็จะเป็นป่าเฟิงแดงที่หนาแน่นเป็นอย่างมาก พอทอดสายตามองออกไป จะดูคล้ายกับทะเลเพลิง
สถานที่แห่งนี้มักจะมี ‘หนอนใบไม้แดง’ ที่กินใบเฟิงสีแดงเป็นอาหาร หนอนชนิดนี้นอกจากจะนำมาทำเป็นโอสถถอนพิษทั่วไปแล้ว ก็ไม่มีมูลค่าใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมาสถานที่แห่งนี้น้อยมาก
หญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงาม สวมชุดสีขาวกลับยืนอยู่ในส่วนลึกของป่า สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนจะมีเรื่องหนักใจเป็นอย่างมาก และนางก็คือจินอวี้หวนนั่นเอง
หนึ่งชั่วยามก่อน ขณะที่นางออกไปจากตลาดไม่นาน และผ่านยอดเขาไปสองลูกเพื่อเตรียมกลับถ้ำที่พักนั้น พลันได้ยินเสียงราบเรียบดังขึ้นข้างหู
“แม่นางจิน ข้ายินดีไปสถานที่อันตรายแห่งนั้นกับเจ้า เพื่อแลกกับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณผืนนั้น หากแม่นางยินยอมล่ะก็ อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง มาเจอกันตรงป่าเฟิงแดงทางด้านใต้ของตลาด”
และผู้ที่ส่งเสียงมานี้ ดูเหมือนจะมีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง จินอวี้หวนใช้เคล็ดวิชาสำรวจดูในระยะหลายลี้ ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากนางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งมายังป่าเฟิงแดงทางด้านใต้ในทันที
หลังจากรอจนเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ก็มีเสียงสวบสาบดังมาจากทิศทางบางแห่งของป่า จากนั้นเงาร่างสีดำก็กระพริบออกมา และหลังจากที่มันพร่ามัวแล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าจินอวี้หวน
ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“ไม่ทราบว่า……”
คำว่า “ท่าน” ยังไม่ทันออกจากปาก จินอวี้หวนก็ใช้พลังจิตกวาดออกไปดู และจ้องมองชายหนุ่มสวมชุดศิษย์สายนอก ที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางด้วยความประหลาดใจ
“แม่นางจิน ข้ายินดีไปสถานที่อันตรายกับเจ้า และรับรองความปลอดภัยให้ ตอนอยู่ในตลาด แม่นางยอมใช้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณเป็นข้อแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังคงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?” หลิ่วหมิงพูดออกมาตามตรง
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ว่าศิษย์พี่ผู้นี้ สถานที่ข้าจะไปนั้นอันตรายมาก หากพลังไม่พอล่ะก็ เกรงว่า……”
จินอวี้หวนสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที ชายหนุ่มตรงหน้ามีหน้าตาธรรมดา รูปร่างก็ธรรมดามาก ระดับการฝึกฝนก็ต่ำกว่าชายฉกรรจ์ในตลาดไปหน่อย สีหน้านางจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และตะคอกเสียงออกมาในฉับพลัน ไอดำพวยพุ่งออกมาจากตัว ขณะที่มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! แขนข้างหนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า และชกลงพื้นอย่างรุนแรง
ชั่วขณะนั้น หญิงผู้นี้ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่โผเข้ามา เทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมาทันที หลังจากมีเสียงดัง “ตู๊มต๊าม!” พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามาจากทั่วทิศ จนฝุ่นปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า หลังจากฝุ่นสลายไปหมดแล้ว ก็มีหลุมยักษ์ที่ลึกหลายจั้งปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด ในหลุมยังมีต้นเฟิงแดงจำนวนหนึ่งล้มระเนระนาดอยู่ในนั้น
จินอวี้หวนมองหลุมลึกบนพื้น และมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ
“ไม่ทราบว่าแม่นางจินพอใจหรือไม่?” หลิ่วหมิงเก็บไอดำเข้าไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านมีพลังน่าตกใจมาก หากยอมไปกับข้าในครั้งนี้ หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่สัญญาไว้ย่อมมอบให้กับท่าน”
“ดีมาก! แต่ข้าก็มีเงื่อนไขสองอย่างเช่นกัน” หลิ่วหมิงไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด จากนั้นก็เลิกคิ้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่มีเงื่อนไขอะไรก็พูดมาได้เลย” เห็นได้ชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีเงื่อนไขด้วย จึงเอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ประการแรก ข้าสามารถลงนามในสัญญาเวทนั้นได้ แต่ต้องมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณให้ข้าก่อน ประการที่สอง เรื่องที่ข้าช่วยเหลือแม่นางนั้น ข้าไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ และไม่อยากล่วงเกินศิษย์สายในกับตระกูลของเขาด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เงื่อนไขของพี่หลิ่วนั้น ข้าตอบรับก็ได้ แต่สัญญาเวทนี้ ก็ต้องลงนามในตอนนี้” พอจินอวี้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในตลาดแล้ว ก็คิดว่าต่อไปคนที่จะยอมยื่นมือเข้าช่วยนาง โดยที่ไม่สนใจว่าจะล่วงเกินซาทงเทียนนั้น คงมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นนางจึงกัดฟัน และตกปากรับคำทันที
พูดจบ นางก็หยิบสัญญาเวทของนิกายยื่นให้หลิ่วหมิง
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงเพียงแค่มองดูจากที่ไกลๆ ตอนนี้เขาเอามันมาแปะไว้บนหน้าผาก พอใช้จิตกวาดดู ก็จะเห็นว่ามีอักขระเล็กๆ ลอยขึ้นมาแถวหนึ่ง เนื้อหาของมันระบุว่าผู้ลงนามจะต้องไปสถานที่แห่งหนึ่งกับหญิงนางนี้ และขณะที่คุ้มครองความปลอดภัยของนาง ก็คอยช่วยนางทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จภายใต้ความสามารถที่มีอยู่
“นี่คือสัญญาเวทที่นิกายเราทำขึ้นมาโดยเฉพาะ พอใช้โลหิตบริสุทธิ์ลงนามแล้ว ผู้ลงนามทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ทำตามที่ระบุไว้ในสัญญา หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนล่ะก็ จะถูกพลังของสัญญาเวทสะท้อนกลับ อย่างเบาก็คือจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็คือโลหิตจะลุกไหม้จนเสียชีวิต แน่นอนว่าผู้ที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าสัญญาเวท ก็จะไม่อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดของสัญญาเวทแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสร้างสัญญานี้ขึ้นมาได้” พอจินอวี้หวนเห็นความลังเลในแววตาของหลิ่วหมิง นางก็รีบอธิบายออกมา
หลิ่วหมิงย่อมไม่คิดจะฝ่าฝืนสัญญาเวทแต่อย่างใด ทันใดนั้น เขาก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง จากนั้นก็เอามือจิ้มมัน และแตะลงบนสัญญาเวท
แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาบนสัญเวท โลหิตบริสุทธิ์ค่อยๆ จมหายเข้าไปในนั้น แสงโลหิตเปล่งประกายจางๆ ตรงมุมซ้ายล่าง ผ่านไปซักพัก อักขระสีเลือดแปลกประหลาดก็ก่อตัวขึ้นมา
เขาคืนสัญญาเวทให้กับจินอวี้หวนทันที
หลังจากนางมองดูรอยประทับโลหิตบนสัญญาเวทแล้ว ก็พยักหน้าด้วยอย่างโล่งอก จากนั้นก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา และประทับไว้ข้างๆ รอยประทับโลหิตของหลิ่วหมิง หลังจากหลิ่วหมิงมองดูแล้ว ถึงเก็บสัญญาเวทเข้าไปในอย่างระมัดระวัง
“พี่หลิ่วดูให้ดีๆ นะ นี่คือยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่เป็นค่าตอบแทน”
พอจินอวี้หวนโบกแขนเสื้อ ยันต์ที่มีแสงสีเขียวก็ลอยออกมา และค่อยๆ หล่นลงบนมือของหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง
…………………………………